ความจริงแล้ว ที่เป่าไฟง่ายที่สุดคือการทำจากกระบอกไม้ไผ่
เพราะตรงกลางของไม้ไผ่จะกลวง ใช้อีกด้านของกระบอกไม้ไผ่ชี้ไปที่ปากเตา และให้คนเป่าลมจากอีกด้าน เปลวไฟจากเตาจะค่อยๆ ลุกโชน
ต้องให้ปากหลอดตรงกับปากเตา ต้องใช้แรงเป่าลมไม่ใช่หรือ เจ้าต้องใช้แรงเป่าอย่างมากก็ต้องเหนื่อยอยู่ดี ถ้าเป่าไม่ดีขี้เถ้าอาจจะลอยกลับมาเปื้อนใบหน้า และอีกอย่าง ใช้ปากเป่าก็ต้องเหนื่อย จะแตกต่างจากเวลาไม่มีที่เป่าไฟอย่างไรกัน
ไม่เช่นนั้นนางจะต้องหาวิธีถนอมแรงในการเป่าไฟ
ถึงตอนนั้น นางแค่นั่งสบายๆ บนตั่งหน้าเตา ไม่ต้องใช้แรงเป่า ไฟก็ค่อยๆ ลุกโชนขึ้น ก่อไฟก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น
ซ่งฝูหลิงใช้กิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่แล้วขุดหลุมจากพื้นดิน
นางใช้หมี่โซ่ววิ่งกลับไปเอาไม้ขีดไฟกับซ่งฝูเซิง
เมื่อหมี่โซ่ววิ่งกลับมา หลุมถูกขุดไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่หมี่โซ่วจะวิ่งกลับไป กิ่งไม้กับใบหญ้าก็ถูกนำลงไปในเตาแล้ว
“พี่สาว ทำอะไรหรือ”
“ใส่กิ่งไม้เป็นเชื้อไฟในหลุมแล้วเผาฟืน หลุมนั้นกันลมได้ เมื่อลมพัดมา ไฟเบาๆ ในหลุมจะไม่ดับ”
ซ่งฝูหลิงจุดไฟในหลุม เมื่อจุดไฟเสร็จ แล้วนั่งลงข้างๆ เตา หันไปเล่นดินเหนียว
นางนำดินเหนียวมาปั้นให้เป็นเส้นยาว แล้วนำเส้นดินเหนียววางไว้ให้เป็นชั้นรอบๆ ปากหลุม ทำให้เป็นปากหลุมเป็นวงคล้ายกับทรงกระบอก ถ้าให้ดี ต้องเหลือช่องไว้ให้ไส่ฟืน ซึ่งนางคิดว่าลักษณะคล้ายกับเตาในบ้านที่มีช่องไส่ฟืน
หลังจากนั้น รีบนำดินเหนียวมาปั้นให้เป็นเส้นยาวอีกเส้น มือเล็กๆ ของนางนำดินทั้งสองเส้นมาปะกบกัน แล้วใช้มือลูบเพื่อทำให้ขอบของดินเหนียวเรียบ
“พี่สาว ทำอะไรอีกหรือ”
“พี่จะทำเตาเผาอันเล็ก ไม่ว่าพวกเราจะปั้นอะไร ปั้นจาน ทำที่เป่าไฟ เมื่อใช้ดินเหนียวปั้นเสร็จแล้วจำเป็นต้องใช้ไฟเผาอีกครั้ง เครื่องปั้นเมื่อผ่านการเผาจะแข็งแรงขึ้น ดังนั้นขั้นแรกที่พวกเราจะต้องทำก็คือปั้นเตา ปั้นเสร็จแล้วถึงนำสิ่งที่เราปั้นลงไปวางในเตาเผา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เตาดินเหนียว เจ้าคอยดูนะ”
เฉียนหมี่โซ่วรู้สึกสงสัย “เตาต้องเป็นรูปทรงสูง ทำไมพี่ถึงปั้นดินเหนียวให้เป็นเส้นยาวเส้นแล้วเส้นเล่าล่ะ”
“สิ่งที่เราปั้นอยู่ตอนนี้เป็นดินเหนียว ถ้าเจ้าปั้นให้เป็นรูปทรงสูง ใช้งานไม่นานเตาจะต้องพังลง”
เตาที่ทำขึ้นไม่เหมือนกับการก่อจากอิฐ และก็ไม่เหมือนกับการก่อจากอิฐดิน
ผู้ใหญ่คงไม่ยอมให้อิฐดินพวกเรานำมาก่อเล่นแน่ พวกเขาต้องเข้าใจว่า พวกเราจะทำให้เสียของ พวกเราต้องพึ่งตัวเองแล้ว
อาศัยดินเหนียวอย่างเดียว จะทำให้เป็นรูปทรงสูง ต้องเริ่มจากทำดินเหนียวเป็นเส้นยาวๆ หลายๆ เส้น แล้วค่อยๆ วางซ้อนกัน พันให้ขึ้นเป็นรูปทรงต่างๆ”
หลังจากที่ซ่งฝูหลิงพูดเสร็จ ก็หันไปสอนหมี่โซ่ว
“เจ้าวางเส้นดินเหนียวซ้อนกันให้เป็นรูปทรงต่อจากเส้นที่วางไว้ก่อนหน้า หมี่โซ่วมองลักษณะมือของพี่สาวในการปั้น หลังจากนั้นนางก็ใช้มือลูบช่องว่างระหว่างดินเหนียวทั้งสองเส้นให้เรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ระหว่างที่พวกเขาปั้นเส้นดินเหนียว ไฟที่อยู่ในหลุมก็ค่อยๆ เผาดินเหนียวที่ก่อไว้ก่อนหน้า ดินที่เผาแห้งแล้วก็จะไม่พังลง เจ้าเข้าใจหรือยัง”
เฉียนหมี่โซ่วเหลือบตามองไปที่เตาเผาความสูงไม่ถึงสามเท่า มองยังไงก็ไม่คล้ายกับเตา เขากระซิบว่า “แค่เรียนก็ทำเป็นแล้ว แต่ว่า? ข้าไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่อยากจะบอกว่า มันสกปรกมาก”
“เล่นดินเหนียวจะสกปรกอะไร เร็วเข้า ช่วยข้าปั้นเส้นดินเหนียว ทำให้เป็นเส้นยาวๆ เจ้าดูข้าแล้วทำเป็นหรือยัง”
สุดท้ายแล้ว เฉียนหมี่โซ่วนั่งลงข้างๆ เพื่อช่วยซ่งฝูหลิงปั้นดินเหนียวเป็นเส้นยาว
ครั้งแรกเด็กน้อยยื่นมือเล็กๆ ของเขาไปที่กองดินเหนียว สีหน้าขยะแขยง คิ้วก็ขมวด ทั้งใบหน้ารู้สึกได้ถึงความทรมาน
สกปรกมากกก
ซ่งฝูหลิงไม่ได้สนใจดูสีหน้าน้องชาย ใจจริงแล้ว นางชื่นชมน้องชายอย่างจริงใจ
น้องชายของนางฉลาดมาก ได้ยินอะไรก็จำได้หมด เห็นอะไรก็ทำได้หมด
มือเล็กๆ สองมือ ปั้นเส้นดินเหนียวเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างดี และยังวางเส้นดินเหนียวลงในเตาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสามเซนติเมตรด้วย น้องชายยังรู้จักหลบเปลวไฟข้างล่างที่กำลังร้อนไม่ให้ถูกไฟลวก ฉลาดเหลือเกิน
วางใจได้ ข้าไปข้างนอกสักครู่ ปล่อยให้หมี่โซ่วอยู่ตรงนี้ทำงานต่อ
“พี่ไปเดี๋ยวเดียวจะกลับมา เจ้าอยู่นี้ช่วยปั้นเส้นดินเหนียวรอนะ”
พูดเสร็จ ซ่งฝูหลิงวิ่งกลับไปที่บ้านหลังคามุงจาก
ซ่งฝูหลิงเพิ่งกลับมาถึงบ้าน พอดีกับจังหวะที่มีคนมาส่งข้าวสาร ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายมากที่สุด
ลองคิดดู ข้าวสารหลายพันจินต้องมีคนเข็นรถมาส่ง มีคนต้อนรับ มีคนช่วยชั่งน้ำหนักข้าวแต่ละคันรถ โดยมีท่านลุงซ่งเป็นคนบันทึกข้อมูล คนที่มาส่งข้าวสารจำนวนไม่น้อย บวกกับคนของพวกเขาก็ไม่น้อยเช่นกัน บรรยากาศหน้าบ้านหลังคามุงจากในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนบรรยากาศครึกครื้นมาก
มีเด็กบางคนแยกไม่ออกว่าคิ้วกับดวงตาอะไรอยู่สูงอยู่ต่ำ บรรยากาศตื่นเต้นและครึกครื้น ในขณะเดียวกันผู้ใหญ่มักไม่ชอบเด็กที่เข้ามาสร้างความวุ่นวาย ทำให้ถูกทำโทษ
วันนี้ข้าวสารที่มาส่งยังไม่ครบตามจำนวน รอบแรกส่งมาก่อนแค่ไม่กี่พันจิน
พ่อบ้านตระกูลเริ่น แจ้งว่าเริ่นจื่อเซิงจะแบ่งส่งข้าวให้เสร็จภายในสามวัน ดังนั้นสามวันนี้จะค่อยๆ ทยอยมาส่งข้าวสาร รบกวนให้ซ่งฝูเซิงเซ็นใบรับสินค้าให้ด้วย
และยังบอกอีกว่า พวกเขาออกจากเมืองเฟิ่งเทียนตั้งแต่เช้าตรู่ พอตะวันเริ่มแตะขอบฟ้าก็รีบออกเดินทาง เมื่อมาถึงที่นี่พบว่าสะพานหักทำให้ข้ามแม่น้ำไม่ได้ ดังนั้นจะต้องเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อเดินอ้อมภูเขาเป็นระยะทางไกล ต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม
ซ่งฝูหลิงได้ยินคำพูดไม่กี่คำก็หลบไปอีกด้าน มุ่งไปที่กองฟืน
นางหาต้นไม้ที่มีลักษณะต้นหนา อายุค่อนข้างเยอะ และใช้มือดึงเปลือกไม้จากบนลงล่าง ดึงเปลือกไม้ที่แข็งและหนาที่สุดออกมาและไปหยิบเชือกหญ้าแห้งมาอีกหนึ่งกำมือ และยังวิ่งไปหาท่านลุงรองซ่งฝูสี่เพื่อเก็บแผ่นไม้คล้ายๆ กับเขียงใช้หั่นฝัก ใช้รักแร้หนีบแผ่นไม้วิ่งไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว
ที่ซ่งฝูหลิงต้องวิ่งเร็วเพราะกลัวว่าท่านย่าจะมาเจอ ถึงตอนนั้นนางต้องเรียกไปช่วยทำงานแบกข้าวสารเป็นแน่
ตอนนี้ผู้ชายร่างกายกำยำบางคนไปตัดต้นไม้บนเขา และบางคนไปช่วยทำนา ยังมีอีกกลุ่มไปช่วยขนฟักทอง ที่เหลือก็เป็นแรงงานผู้หญิงที่ทำงานอยู่ เห็นว่าพี่เถาฮวาและผู้เด็กหญิงหลายคนเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว ดูแล้วคนที่เคยทำหน้าที่เผาถ่านก็ถูกเรียกกลับมาช่วยแบกข้าวสาร
นางไม่ใช่ไม่อยากช่วยแบกข้าวสาร แต่ว่านางแบกไม่ไหวจริงๆ
อย่าบอกว่าท่านย่าหม่ามองไม่เห็นหลานสาวคนเล็ก ท่านย่ากำลังอ้าปากเรียกให้ซ่งฝูหลิงหยุด แต่น่าเสียดายที่หลานสาววิ่งเร็วมาก นางวิ่งผ่านเหมือนลมพัด ท่านย่ายังไม่ทันอ้าปาก ลมก็พัดนางไปแล้ว
“เฮ้ย เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้ไปที่ไหนอีกแล้ว ท่านย่าหม่าบ่นพึมพำคนเดียว”
ซ่งฝูหลิงวิ่งกลับมาเสียงฝีเท้าดัง ตึกๆ สายตาเป็นประกายวาว น้องชาย เจ้าทำได้เก่งมาก
ตอนนี้ดินเหนียวเส้นยาวถูกวางซ้อนกันเป็นระเบียบ มีความสูงเจ็ดถึงแปดเซนติเมตร ฐานภายในก็ถูกปิดแล้ว
หมี่โซ่วตื่นเต้นดีใจ ก่อนไป วัตถุทรงกระบอกที่ปั้นค่อนข้างเตี้ย ดูไม่ออกว่าเหมือนอะไร เมื่อเขาตั้งใจนั่งทำจนเท้าชาขาเปลี้ย ก็พบว่าที่เป่าไฟซึ่งเป็นทรงกระบอกกลวงๆ นั้นเขาสามารถประดิษฐ์ขึ้นมาเองได้ เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะพี่สาวที่เป็นคนพูดตรงๆ เขาไม่ค่อยได้ยินนางชมใครเช่นนี้มาก่อน
หมี่โซ่วตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง สองมือเล็กๆ ยิ่งปั้นเส้นดินเหนียวเร็วยิ่งขึ้น
ซ่งฝูหลิงไม่แค่พูดยอน้องชาย มือของนางก็จับไปที่ดินเหนียว สองมือนวดดิน นวดๆ ปั้นๆไม่นานก็มีดินเหนียวที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องสมบัติอยู่ในมือของนาง
“เอ้า! นี่คือรางวัลของเจ้า รอข้าปั้นได้ซักสิบอัน พวกเราจะเอาไปเผาในเตา รอให้เผาจนแข็งแรงไม่แตกแล้ว ถึงตอนนั้นจะคิดวิธีจะทำให้เป็นสีเงิน สีทอง และนำไปวางไว้ตรงระเบียงหน้าต่าง”
หมี่โซ่วยิ้มออกมาหนึ่งที พี่สาวช่างเหมือนเด็กน้อยเหลือเกิน ท่านปั้นขึ้นมาก็ใช้งานไม่ได้ของพวกนี้ก็เป็นของปลอม พี่สาวเสียเวลาปั้นของปลอม ยังสามารถปั้นเส้นดินเหนียวอีกหลายเส้นไว้ระเบียงหน้าต่างบ้านพวกเรา ท่านแม่บอกแล้วจะวางกระถางสำหรับปลูกต้นหอม
“…”
พูดเมื่อไหร่ว่าจะเอาไว้ปลูกต้นหอม ทำไมนางถึงไม่รู้
ไม่…ไม่…เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าปั้นเสร็จแล้วก็ใช้ไม่ได้
หมี่โซ่วอายุแค่ห้าขวบ ทำไมไม่น่ารักแบบนี้ ไม่เข้าใจความรู้สึกรักสนุก ชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ
รอข้ามีเวลาว่าง ข้าจะปั้นจริงๆ จะต้องมีคนชื่นชอบแน่ อย่างเช่น ท่านย่าของนาง
ฮ่า ฮ่าๆ นางจะปั้นเงินแท่งและทองคำแท่งให้กับท่านย่าของนางเต็มบ้านไปเลย
เมื่อคิดถึงบรรยากาศตอนนั้น ซ่งฝูหลิงเอามือปิดปากหัวเราะ แต่ว่ามืออีกข้างของนางก็ไม่หยุดที่จะทำงาน นางนั่งยองๆ อยู่หน้าเตาไฟ อันแรกเพื่อตรวจสอบงานปั้นที่เป่าไฟของหมี่โซ่วว่ามีรอยรั่วหรือไม่ อันที่สอง เพื่อย่างเปลือกไม้ในมือที่มีขนาดพอเหมาะให้แห้ง
เมื่อย่างให้แห้งแล้วจึงนำเปลือกไม้ทั้งสองมาวางลง ใช้หินที่มีความคมตัดช่องสี่เหลี่ยมเป็นปากหนึ่งช่อง ใช้เปลือกไม้สองแผ่นวางทับกันให้เป็นเครื่องหมายบวก นั่นก็คือ กังหันลักษณะคล้ายเครื่องหมายบวก
หลังจากนั้นนางลุกขึ้นยื่น ก่อนที่จะเดินไปที่หมี่โซ่ว นางไปที่กองฟืนสำหรับดังไฟ เลือกท่อนฟืนขนาดสั้นยาวพอเหมาะออกมาหนึ่งท่อน
นางใช้ขาหนีบท่อนไม้ให้ตั้งขึ้น และยังใช้ก้อนหินบางขนาดเล็ก ค่อยๆ กดอีกด้านของท่อนไม้เพื่อให้ท่อนไม้แยกออกเป็นซีก แล้วใช้มือหยิบเชือกหญ้าแห้งที่เพิ่งเอามาจากที่บ้าน ใช้กังหันเสียบที่ปลายไม้ที่เพิ่งทำเสร็จลงไป ใช้เชือกหญ้าแห้งมัดให้แน่นแล้วยกขึ้น “หมี่โซ่ว เจ้าดูนี่”
หมี่โซ่วกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงาน คิดไม่ถึงว่า เมื่อเงยหน้าขึ้นมา พี่สาวจะทำ “กังหันลม”เสร็จแล้ว
ไม่เลวเลย ในสายตาของเด็กน้อย ใบพัดถูกเสียบไว้บนท่อนไม้ เมื่อวิ่งต้านลมลักษณะจะคล้ายกับกังหันลม
“อันนี้คือสิ่งที่พี่สาวบอกว่าใช้เป็นที่เป่าลมหรือ”
ซ่งฝูหลิงส่ายหัว ยังไม่ใกล้ความจริง
และยังกระตุ้นให้หมี่โซ่วรีบทำที่เป่าลม โดยใช้มือทั้งสองปั้นดินเหนียวเป็นก้อนขนาดใหญ่ ตีลงบนไม้กระดานที่นางถือมาจากลุงคนรอง
ไม้กระดานไม่ได้ช่วยอะไรได้เท่าไหร่นัก
แต่ซ่งฝูหลิงเข้าใจว่า ทำงานต้องทำให้ดี ถ้าทำไม่ดีก็อย่าทำเลยดีกว่า
ไม้กระดานนี้เหมือนเป็นโต๊ะทำงานของนาง
อยู่บนโต๊ะทำงาน ซ่งฝูหลิงใช้ดินปั้นหม้อไฟออกมาหนึ่งอัน พูดตามความจริงแล้ว
ลักษณะคล้ายกับที่ตักน้ำหรือทัพพีน้ำเต้า
ไม่ว่าจะเป็น “หม้อไฟ”หรือเป็น “ทัพพีน้ำเต้า” สิ่งที่ปั้นขึ้นมา ตรงกลางจะกลวง หลังจากนั้นตรงกลาง“หม้อไฟ” จะควักดินออกเป็นวงรี
ถ้าเป็นอย่างนั้น ตรงกลางจะเข้าได้พอดีกับหลุม เมื่อทำเสร็จก็นำ “หม้อ”ไปวางข้างในเตาเผาอีกครั้ง เมื่อเผาเสร็จหม้อก็จะแข็งแรง แล้วจึงนำหม้อออกมาวางคว่ำลงบนดิน
ไม่ถูก ซ่งฝูหลิงส่ายหัวกับตัวเอง
นางต้องทำที่วางให้อีกด้านของกังหัน ด้ามกังหันเสียบตรงฐานที่วาง และให้กังหันพัดไปมาบนฐานที่วาง
ทำได้แบบนี้จึงเรียกว่าประสบความสำเร็จแล้ว ถึงตอนนั้นกังหันลมที่ถูกวางบนฐานหม้อที่คว่ำลง แค่ใช้มือปั่นท่อนไม้ ใบพัดจะหมุนไปมาบนหม้อ แค่ให้ใบพัดปั่นลมตรงกับเตาไฟ ลมจะพัดไปที่ไฟ ทำให้ไฟลุกโชน ฮ่าๆๆๆ
ซ่งฝูหลิงหัวเราะชอบใจที่ทำออกมาจนสำเร็จ นางจึงรีบไปทำฐานที่ตั้งให้เสร็จในขณะเดียวกันมีเด็กหลายคนวิ่งเข้ามา
“พี่พั่งยา ท่านทำอะไรอยู่” เด็กที่ถูกผู้ใหญ่ไล่ตะเพิดและเกือบจะถูกตีเมื่อครู่คือ ซ่วนเหมียวจื่อถามขึ้น
ซ่งฝูหลิงบอกว่า พวกเรากำลังทำเรื่องที่มีความหมายอย่างมาก ถ้าทำสำเร็จแล้ว ของสิ่งนี้จะช่วยพวกเราลดการใช้แรงงาน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าเป็นผู้ใหญ่จำเป็นต้องก่อไฟต้มน้ำจะต้องขอบคุณข้า ตอนนี้ข้าขอประกาศว่า ให้หมี่โซ่วสอนพวกเจ้า พวกเจ้าต้องเรียกหมี่โซ่วว่า อาจารย์ พวกเจ้าต้องทำงานให้ข้าแล้ว
ยายานั่งลงข้างหมี่โซ่ว “อาจารย์ กำลังทำอะไรอยู่หรือ”
กำลังดีเลย ไม่กี่นาทีต่อมา มีเด็กสิบกว่าคนช่วยกันปั้นเส้นดินเหนียว
ซ่งฝูหลิงกลัวว่ากลุ่มเด็กๆ จะหนาว จึงช่วยก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่น ให้เด็กๆ นั่งล้อมกองไฟ ช่วยกันปั้นเส้นดินเหนียวอย่างตั้งใจ