อาหารสองมื้อต่อวัน บรรยากาศแบบนี้ ซ่งฝูหลิงต้องพาเด็กสิบแปดคนและเด็กเล็กอีกหนึ่งคน คือซ่งจินเป่า

พวกเขารีบดื่มน้ำซุปหัวผักกาด แล้ววิ่งไปที่ทางฝั่งใกล้ๆ ท่าน้ำ

พวกเด็กๆ ไม่ได้ไม่รู้เรื่อง มาถึงพวกเขารีบก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่น แล้วกลับมาทำงานต่อ

เพราะว่าพี่พั่งยาบอกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องรักษาบรรยากาศการทำงานให้อบอุ่น

พวกผู้ใหญ่มองเด็กๆ วิ่งหนีแบบไร้เงาแล้วรู้สึกรำคาญ เพราะเมื่อถามเด็กๆ ทุกคน พวกเจ้ากำลังยุ่งอะไร จากที่ดูพวกเจ้าน่าจะยุ่งกว่าพวกข้าอีก เด็กๆ ตอบพร้อมกัน “เล่นปั้นดินเหนียว”

ซ่งฝูเซิงได้ยินคำตอบก็อดหัวเราะไม่ได้ ลูกสาวของเขาโตขนาดนี้แล้วยังพาเด็กไปเล่นปั้นดินเหนียวอีก

เล่นจนกางเกงหมี่โซ่วเปรอะเปื้อนโคลน รองเท้าหนังลาที่ซื้อมาใหม่ก็สกปรกไปด้วย

ตามใจ พวกเจ้าอยากเล่นก็เล่นไป เมื่อหลายปีที่ผ่านมา เขาส่งลูกสาวไปเรียนศิลปะ เวลาเรียนปั้นดินเหนียวยังต้องจ่ายเงินค่าเรียน

ผู้ใหญ่คนอื่นไม่มีใครอยากหยุดพวกเขา และก็ไม่มีใครสนใจว่าซ่งฝูหลิงพาเด็กๆ ไปเล่นดินเหนียวอย่างไร ทุกคนคิดเหมือนกันว่า อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้วิ่งไปเล่นสะเปะสะปะ ไม่ทำให้ยุ่งกว่าเดิมก็พอแล้ว

ฤดูกาลแบบนี้ ช่วงหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มฟ้าก็มืดแล้ว ฟ้ามืดเร็วจนมองไม่เห็นอะไร มองไปไกลๆ เตาของซ่งฝูหลิงถูกก่อขึ้นเรียบร้อย

พวกเขาใช้เวลาทำงานช่วงเช้าบวกกับช่วงบ่าย ตัวของเตาถูกจุดไฟเสร็จแล้ว และตัวที่ตั้งดินก็กำลังก่อขึ้น ที่สำคัญคือ น่าแปลกใจตรงที่เตาไม่พังลงมา

ไม่เพียงแค่นั้น เครื่องเป่าไฟของฝูหลิงก็ถูกเผาเสร็จเรียบร้อย

นางนำ “หม้อไฟ”และเครื่องเป่าไฟประกอบกันบนพื้นดิน ลองใช้แรงเคาะดู หม้อไม่แตกเป็นใช้ได้แล้ว

ซ่งฝูหลิงนำเครื่องเป่าไฟเข้าสู่กระบวนการทดลอง

นางเปิดปากเครื่องเป่าไฟ หันหน้าใบพัดไปที่ปากเตา แล้วใช้มือหมุนด้ามกังหันไปมา ฐานที่มีพัดหมุนไปมาทำให้เกิดลม ตัวลมวิ่งไปตามกระบอกที่ปิดไว้ ลมวิ่งไปถึงปล่องใส่ฟืนตามช่องว่าง ไฟข้างในที่ติดไม่แรงแต่ก็ลุกโชติช่วงขึ้นทันที

“ฮ่าๆๆ สำเร็จแล้ว”

เด็กๆ กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ พร้อมตะโกนออกมาว่า สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว

ซ่งจินเป่าพูดขึ้น “เร็ว…พี่สาว ขอให้ข้าลองหมุนเล่นบ้าง”

ขณะที่ซ่งจินเป่ากำลังหมุนที่จับ ซ่งฝูหลิงขมวดคิ้วขึ้นทันที “จินเป่า เจ้าหมุนแล้วเจ็บมือหรือไม่ ถ้าต้องหมุนทั้งวันต้องเจ็บมือแน่ๆ”

นางยังต้องการรักษามือให้เนียนเรียบสวยงามอยู่นะ

นางต้องการทำลายความเคยชินที่ผ่านมาว่ามือชาวนาต้องหยาบกระด้าง

ในอนาคต นางจะต้องเป็นชาวนาที่หน้าตาสวยงาม ใบหน้าต้องเนียนนุ่มกว่าหญิงสาวที่มีชาติตระกูลในเมือง

ถ้ารู้ว่า นางดูแลรักษามืออย่างดี ก็จะขาวเนียนเรียบสวยงาม มือที่ยื่นออกมา บ่งบอกถึง

หน้าตาของพ่อนาง ข้อนี้บ่งบอกถึงความสามารถของพ่อนาง ที่ไม่ให้นางกับแม่ต้องลำบากยากเข็ญ

อืม…ต้องปรับปรุง ต้องการปรับปรุง ให้นางสงบนิ่งเพื่อพิจารณาก่อน

ซ่งฝูงหลิงจ้องไปที่เปลวไฟ กำลังหาทางแก้ปัญหา

ซ่งฝูเซิงออกมาตามหาลูกสาว ตอนนี้กี่โมงแล้ว กำแพงไฟของพ่อทำจนเสร็จแล้ว เด็กพวกนี้ยังเล่นปั้นดินเหนียวไม่เสร็จอีก

เมื่อซ่งฝูเซิงอยู่ห่างจากเตาสิบกว่าเมตร อาศัยแสงไฟจากฟืน มองเห็นเตาอยู่ไกลๆ สายตาเบิกกว้างจ้องไปที่เตา

เขารีบเดินจ้ำเข้าไปชี้ที่เตาเผา “นี่ นี่ คืออะไร” ข้าอยากถามว่า พวกเจ้าก่อเตาตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่ซ่งฝูเซิงรีบร้อนถามลูกสาวอีกคำถาม

เขาชี้ไปยังลูกสาวที่กำลังทำท่าทางเล่นเอ้อร์หู

เขามองไปที่ลูกสาวซึ่งถือไม้คล้ายกับคันธนู ด้ามไม้ยังมีเชือกพันอยู่ กำลังยืดและดึง ยืดและดัง และระหว่างการยืดและการดึง ไฟเบาๆ กำลังลุกโชนขึ้น

ซ่งฝูเซิงอ้าปากค้าง “อันนี่คืออะไร”

ซ่งฝูหลิงเงยหน้ามองท่านพ่อ “ข้าทำกระบอกเป่าไฟเอง”

หมี่โซ่ววิ่งไปกอดขาซ่งฝูเซิงแล้วถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ท่านลุง ท่านรีบมาดู พี่สาวเก่งมาก พี่สาวเก่งจริงๆ ไม่ต้องใช้มือหมุนแท่งไม้ แค่นำแท่งไม้ด้านล่างเสียบลงในใบพัดแค่นั้น ด้ามใบพัดสามารถหมุนอยู่ในปากหม้อ เขาแค่ลากด้ามไม้ ใบพัดจะหมุนรอบทิศ ใช้งานง่ายมาก ไม่ต้องใช้แรง จริงๆ นะท่านลุง ท่านลองลากดู ถ้าไม่เชื่อ ท่านลองลากเอง ลองลากดูเร็วๆ”

ซ่งฝูเซิงหัวเราะชอบใจ นั่งคุกเข่าลงมองแล้วมอง ก่อนพูดขึ้นว่า

“ข้าไม่ต้องลากก็รู้ว่าใช้งานได้ดี ลูกสาว เพิงปลูกพริกของข้าต้องมีที่เป่าไฟหนึ่งอัน เจ้าเอาอันนี้ให้ข้าเถอะ และยังมีอีกสี่ห้องที่ต้องการใช้ที่เป่าไฟ ความจริงแล้ว ทุกบ้านจำเป็นต้องใช้ที่เป่าไฟเมื่อต้องทำกับข้าว ก่อไฟไม่ใช่หรือ ในช่วงฤดูหนาว ไม้ฟืนมักจะมีความชื้นติดไฟได้ยาก พ่อต้องรบกวนให้เจ้า ทำให้ก่อนสักยี่สิบอัน”

“หา?” ซ่งฝูหลิงตกตะลึงตาเบิกกว้าง

ท่านย่าหม่าเดินไปตามท้องถนน ทำสีหน้าภาคภูมิใจอีกครั้ง แต่ว่าเป็นคนต้องรู้จักถ่อมตน

ดังนั้น นางชี้จึงไปที่เป่าไฟแล้วพูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าเห็นแล้วใช่ไหม หลานสาวคนเล็กของข้า เพื่อความขี้เกียจที่มีอยู่เยอะ แต่วิธีที่ใช้ถือว่าก็ยังฉลาดอยู่”

ในขณะเดียวกันท่านลุงซ่ง เกาถูฮู่และพวก มีซ่งฝูเซิงเป็นคนเดินนำถือไฟจากฟืนส่องทาง รีบเดินไปที่ฝั่งแม่น้ำไป เพื่อดูรายละเอียดที่ซ่งฝูหลิงทำเตา

ตอนกลางวัน เตาเล็กใช้ก่อไฟ ภายในมีแต่เปลวไฟ ในตัวเตายังร้อนจนแตะต้องไม่ได้ จึงเข้าไปดูอย่างละเอียดไม่ได้

ตอนนี้ไฟในเตามอดแล้ว เขาสามารถดูโครงสร้างข้างในอย่างละเอียด

หวังจงอวี้เดินรอบเตาหนึ่งรอบพร้อม ทำเสียงจื่อ…จื่อ… เขาบอกว่าอัศจรรย์จริง โครงสร้าง

ข้างในค่อนข้างซับซ้อน พวกเจ้าเข้ามาดูภายในมีหลากหลายชั้น

ซ่งฝูกุ้ยบอกว่าความคิดของพั่งยาใช้งานได้ดีกว่าเขา ถึงแม้เขาเป็นผู้ชายและทำงานมาหลายปี แต่ทำเตาออกมาเป็นชั้นแบบนี้ไม่ได้ เพราะในความคิดของเขาไม่มีโครงสร้างแบบนี้เลย

เกาถูฮู่บอกว่า “ข้าขอพูดบ้าง พั่งยาของพวกเราเป็นสมบัติล้ำค่า วาสนาก็ไม่มีใครเทียบ แค่ลองปั้นเตาธรรมดา คล้ายมีเทวดาเป็นผู้ชี้นำ ทำออกมาได้อย่างสวยงาม”

ซ่งฝูเซิงถืออิฐขึ้นมาหนึ่งก้อนแล้วชี้ให้ทุกคนดู

“ลูกสาวข้าหาดินจากฝั่งแม่น้ำ ขึ้นรูปแบบก้อนอิฐ โยนเข้าไปในเตาเผา…

…พวกเจ้าดูอิฐพวกนี้ ถึงแม้ไม่สามารถก่อเตาได้ เพราะเกรงจะรับน้ำหนักไม่ไหว ดินนี้ไม่ใช่ดินเหนียวสีเหลืองแต่ว่าเป็นดินริมฝั่งแม่น้ำ คุณภาพพอใช้ได้ ภายในดินยังมีความเหนียวอยู่บ้าง…

…คำพูดของลูกสาวที่พูดกับข้าคือ ดินฝั่งแม่น้ำ ขนาดน้ำยังกัดเซาะเข้าไปไม่ได้ จะไม่มีความเหนียวได้อย่างไร…

…ดังนั้นพวกเราลองปฏิบัติตามวิธีของนาง ใช้เวลาในการเผาอิฐให้มากขึ้น ใช้อิฐแบบนี้ไว้ก่อเตาในบ้านทุกหลัง และยังก่อแบบตั้งตรงถึงหลังคาปล่องไฟ มันจึงไม่พังลงมา”

ท่านลุงซ่งหัวเราะชอบใจ บอกว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกบ้านทุกครอบครัวใช้อิฐดินในการทำกำแพงไฟ และก่อเตาไฟแบบสูงและกลมจากพื้นให้เป็นทรงกระบอกจนถึงหลังคา ถึงตอนนั้นไม่ว่าข้างนอกจะหนาวขนาดไหน ภายในบ้านก็ยังอบอุ่น แบบนี้เหมาะสมแล้ว อิฐดินไม่พอใช้ก็ไม่ต้องกลัวใช้อิฐที่พั่งยาทำขึ้นแทนไปก่อน”

ผู้ชายที่มาด้วยหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เตาอันนี้เล็กเกินไป เวลาเผาได้ทีละอันสองอัน ถ้าทำเตารูปร่างที่พั่งยาทำขึ้นมา พรุ่งนี้พวกเราเลียนแบบแต่ทำให้ใหญ่กว่า เมื่อใช้เผา หนึ่งครั้งก็จะได้จำนวนที่เพียงพอ”

เกาถูฮู่จับไปโดนจานจากดินเหนียวในเตาจึงหยิบออกมา แล้วพูดว่าพั่งยาเผาอะไร ของสิ่งนี้เอาไว้ใช้ทำอะไรหรือ

ในขณะเดียวกัน ซงฝูหลิงกำลังบ่นกับแม่ของนาง ไม่มีเรื่องหาเรื่องเข้าตัวเอง ยังต้องทำที่เป่าไฟยี่สิบอันและต้องทำออกมาเป็นชุด ถ้านางบอกว่า นางไม่อยากทำเพราะไม่อยากทำงานแบบเดิมไม่มีเรื่องน่าสนใจ

เฉียนเพ่ยอิงหัวเราะแล้วถามลูกสาวว่า “แล้วพรุ่งนี้เจ้าจะทำอะไรที่น่าสนใจอีกหรือ”

“ข้าจะไปหาห้องที่พวกท่านไม่ต้องการแล้ว ภายในทำเป็นเตาอบ ข้าสัญญากับท่านย่าว่าจะให้ท่านย่ากินเป็ดย่าง ถ้าไม่มีเตาอบไม่รู้จะย่างอย่างไรเหมือนกัน พรุ่งนี้ข้าจะทำเนื้อย่าง ขนมปัง ข้าเอาจานสำหรับอบขนมปังออกมาแล้ว จานสำหรับเตาอบของข้าล่ะ แย่แล้ว ข้าลืมไว้ในเตานี่นา”

เฉียนเพ่ยอิงไม่รู้จะพูดอะไรกับลูกสาวของนาง ไม่รู้ว่านางเรียนมาจากไหน ยังรู้จักทำเตาย่าง ถ้าอยู่ในโลกปัจจุบันคงต้องซื้อแบบสำเร็จ

“ท่านไปดูประวัติของคนกรีกฝั่งยุโรปที่กินขนมปังตลอดชีวิต พวกเขาใช้วิธีการก่อเตาเล็กๆ ให้เป็นเตาอบ พวกเขาก็ต้องทำแบบนั้น ถ้าทำให้ใหญ่นั่นยิ่งดี แล้วข้าจะอบขนมปังแล้วให้ท่านย่าเอาไปขาย”