บรรยากาศในภายในห้องสังเกตอาการที่อึมครึมไร้ชีวิตชีวา เมื่อมีเถียนเถียนเพิ่มเข้ามา ก็กล่าวได้ว่าเธอทำให้บรรยาภายในสถานที่แห่งนี้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ใครๆ ก็ชอบหยอกล้อเด็กคนนี้
ทว่าน่าเสียดายที่ในเวลาที่เฉินชางไม่ได้คุยด้วย เถียนเถียนจะเอามือปิดปากตัวเองไว้อย่างแน่นหนา อีกทั้งยังไม่พูดจา
เมื่อสวีเหลียงเห็นว่าลูกสาวปลอดภัยแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี
ภรรยาเองก็เบาใจและเลิกตำหนิต่อว่าเขาแล้ว เธอมองสวีเหลียง “ดูสิว่าต่อไปคุณจะตั้งใจดูแลลูกมั้ย!”
สวีเหลียงถือโทรศัพท์มือถือขึ้นมากล่าวคำปฏิญาณ เขามองที่ลูกสาว แล้วกล่าวว่า “เถียนเถียน พ่อขอสาบาน นับจากนี้ต่อไปพ่อจะไม่เล่นเกมอีก พ่อจะเล่นกับลูกทุกวัน!”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็เอาโทรศัพท์มือถือมาลบแอปพลิเคชันเกมออกอย่างเด็ดขาด
เฉินชางถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก เกมลบไปยังดาวน์โหลดใหม่ได้ แต่ลูกถ้าเสียไปแล้วก็เรียกคืนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว
ที่แผนกฉุกเฉินมีเคสเกี่ยวกับเด็กที่เกิดจากความละเลยของผู้เป็นพ่อเยอะมาก!
ต้องกล่าวตามความจริงว่า ผู้ชายเป็นเพศที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อลูกจริงๆ เมื่อปีที่แล้วก็มีเคสหนึ่ง เด็กชายตัวน้อยอยู่กับพ่อสองคน เด็กชายหักลิปสติกของแม่ แล้วกินลงไปหมดทั้งแท่ง
โชคดีที่เด็กปลอดภัยดี แต่เล่ากันว่าผู้เป็นพ่อตกอยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่มาก
บนโลกอินเทอร์เน็ตมีคำพูดคำพูดหนึ่ง เมื่อปล่อยให้ผู้เป็นพ่อเป็นผู้ดูแลลูก อย่างมากที่สุดก็แค่รับประกันได้ว่าลูกจะยังมีชีวิตรอด แต่ดูจากตอนนี้แล้ว คงต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้กันใหม่!
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่เป็นอะไรแล้ว เฉินชางก็เดินออกจากห้องสังเกตอาการไปอย่างวางใจ
เขาเพิ่งจะก้าวพ้นประตูไป สวีเหลียงกับผู้หญิงคนนั้นก็ดึงตัวเฉินชางไปที่มุมบันได
เฉินชางชะงักงัน นี่คือการปล้นสวาท?
แต่…ทั้งสองคนนี้จะลงมือไปพร้อมกัน?
เมื่อนึกถึงคำพูดของเด็กหญิงตัวน้อยเมื่อครู่นี้ เฉินชางก็พลันเข้าใจในทันที นี่ไม่ใช่การปล้น ส่วนการปล้นสวาทก็ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่!
แต่เป็น…
ฉุดตัวมาจับแต่งงาน?!
สวีเหลียงควักเงินหนึ่งปึกออกมายัดใส่กระเป๋าเสื้อของเฉินชาง!
เฉินชางพลันตกตะลึงงงงันในทันใด แล้วเขาก็ปฏิเสธทันที
สวีเหลียงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังและซาบซึ้งในบุญคุณ “คุณหมอเฉินครับ นี่เป็นน้ำใจจากผม จริงๆ นะครับ คุณหมอช่วยชีวิตลูกสาวของผมเอาไว้ได้ ผมรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผม ถ้าคุณหมอไม่รับไว้ ผมคงให้อภัยตัวเองได้ยากจริงๆ!”
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กล่าวเช่นกันว่า “คุณหมอเฉินคะ คุณหมอจะต้องรับไว้นะคะ! คุณหมอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตครอบครัวเราไว้ พวกเราไม่รู้ว่าจะขอบคุณคุณหมอยังไง แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าคุณหมอชอบอะไร ก็เลยอยากมอบเงินจำนวนนี้ให้คุณหมอได้ซื้อของที่คุณหมอชอบ”
เฉินชางถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก เขามองสองสามีภรรยา “อันที่จริงเงินจำนวนนี้ของพวกคุณ พวกคุณมอบให้ผม ผมก็ต้องเอาไปใช้จ่ายตามที่วัตถุประสงค์ของพวกคุณ ผมเองก็ยุ่งมาก ไม่มีเวลาออกไปจับจ่ายซื้อของเลยสักนิด ฉะนั้นพวกคุณเก็บเงินนี้ไว้เถอะครับ…”
“…ตรงนี้เป็นทางเดิน มีคนเดินผ่านไปผ่านมา อย่าทำอะไรแบบนี้เลยครับ”
เฉินชางพูดจบก็เดินจากไป
ทิ้งให้สองสามีภรรยาต่างก็ได้แต่มองหน้ากันพูดอะไรไม่ออก
[ติ๊ง! กระตุ้นภารกิจจรรยาบรรณแพยท์ ไม่เคยรับเงินสินน้ำใจ ได้รับคะแนนทักษะ +1!]
เฉินชางพลันตกตะลึง!
แม่เจ้า?
แบบนี้ก็ได้!
รับ! รับ!
สำหรับเฉินชางแล้ว คะแนนทักษะล้ำค่ากว่าเงินทองมาก
ดูแล้วผู้เฒ่าฝางมอบภารกิจที่ยอดเยี่ยมให้เขานี่เอง แบบนี้ถึงเรียกได้ว่าเป็น NPC ระดับสูง แบบนี้ถึงเรียกว่าเป็นบิ๊กบอสตัวจริง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางรู้สึกว่าต่อไปในภายภาคหน้า เส้นทางแห่งการช่วยชีวิตคนบนความยุติธรรมของตนจะต้องยาวไกลมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แน่!
…
เดิมทีวันนี้เถียนเถียนก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ไม่ยอมออก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอม จะขออยู่โรงพยาบาลต่ออีกสองวันให้ได้ ส่วนสวีเหลียงกับภรรยาเห็นพ้องต้องกันว่าอยู่ต่ออีกสักวันสองวัน อย่างน้อยๆ ก็ปลอดภัย
เรื่องจึงเป็นไปตามนี้ ช่วงไม่กี่วันมานี้ก็เลยมีเด็กหญิงตัวน้อยที่ถือกล่องข้าวสีชมพูมาที่แผนกฉุกเฉินเพื่อส่งข้าวให้เฉินชางประจำ ราวกับว่าเขามีภรรยาตัวน้อยมาส่งข้าวส่งน้ำให้ทุกวัน
ทุกๆ วันเมื่อถึงเวลาอาหาร เสี่ยวเถียนเถียนจะถือกล่องข้าวสีชมพูลายเปปป้าพิกมาส่งให้เฉินชาง เพื่อให้เฉินชางกินข้าว
ถ้าเฉินชางไม่กินเธอก็จะไม่ไปไหน เมื่อไม่มีทางเลือก เฉินชางก็ทำได้เพียงกินข้าวกล่องของเด็กหญิงตัวน้อยลงไป
เสี่ยวเถียนเถียนอยู่ตรงนั้น เธอเป็นเด็กดีมาก เธอรอเฉินชางรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็จะเข้ามาเอากล่องข้าวไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วก็วิ่งออกไป
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ แผนกฉุกเฉินมีเด็กหญิงตัวน้อยเพิ่มเข้ามาอีกคน ก็ราวกับว่าท่ามกลางความประหม่าวิตกกังวลกับความเคร่งเครียดมีสายใยบางๆ ที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื้น ทำให้ผู้คนในแผนกต่างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้ามากขึ้น
ทันทีที่เสี่ยวเถียนเถียนเข้ามาในห้องทำงาน ทุกคนต่างก็หยอกล้อว่า “เฉินชาง ภรรยาตัวน้อยของคุณมาส่งข้าวแล้ว!”
เฉินชางยิ้มกระอักกระอ่วน
ส่วนใบหน้าของเสี่ยวเถียนเถียนกลับเต็มไปด้วยความสุข ดูมีความสุขยิ่งกว่าได้ดื่มน้ำผึ้งเสียอีก
ครั้งนี้หลังจากเสี่ยวเถียนเถียนรอให้เฉินชางรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็ปีนป่ายขึ้นมาบนเก้าอี้ตัวข้างๆ หยิบกระดาษทิชชูออกจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดปากให้เฉินชาง
คนอื่นๆ ที่เห็นต่างก็พากันหยอกล้อเสียงดัง!
ทั้งยังเช็ดด้วยความตั้งใจมาก และเช็ดอย่างละเอียดมากด้วย หลังจากที่เช็ดเสร็จแล้ว เสี่ยวเถียนเถียนก็เอียงหน้า แล้วชี้นิ้วที่ใบหน้าของเธอ
เฉินชางหัวเราะฮ่าๆ ออกมา เขาอุ้มเสี่ยวเถียนเถียนขึ้นมาแล้วหอมแก้มเธอหนึ่งที!
กล่าวตามความจริง เขาชอบเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้จริงๆ เธอน่ารักจริงๆ!
แล้วใบหน้าของเสี่ยวเถียนเถียนก็แดงระเรื่อในเวลาต่อมา
เมื่อหวังเชียนเห็นเถียนเถียน เขาเองก็รู้สึกเอ็นดูมากเช่นกัน เขารีบวิ่งเข้าไป คิดจะอุ้มเด็กหญิงตัวน้อย “เถียนเถียน อาก็อยากให้หนูหอม!”
สีหน้าของเถียนเถียนเปลี่ยนไปทันที เธอลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป!
หลังจากที่วิ่งออกไปแล้ว เห็นว่าไม่มีใครวิ่งตาม เธอก็วกกลับมาอีกครั้ง เธอเกาะขอบประตู เอียงศีรษะชะเง้อหน้ามอง เมื่อเห็นว่าหวังเชียนไม่อยู่ในห้องแล้ว เธอก็เดินย่องเข้าไปอย่างระมัดระวัง คว้ากล่องข้าวแล้ววิ่งออกไป
พฤติกรรมเช่นนี้ของเด็กหญิงตัวน้อย ทำเอาทุกคนต่างก็พากันหัวเราะเฮฮากันยกใหญ่
แม้แต่ตอนนางพยาบาลที่มีหน้าที่ทำแผลอยู่ในห้องฉุกเฉินไปทำแผลให้เสี่ยวเถียนเถียน เสี่ยวเถียนเถียนบอกเธอว่าเรียกเสี่ยวเถียนเถียนไม่ได้ ต้องเรียกว่าภรรยาตัวน้อยของเฉินชาง เมื่อนางพยาบาลทำตามที่ต้องการแล้ว เสี่ยวเถียนถียนถึงวางตัวเรียบร้อยราวกับเป็นคุณนายหญิง ส่งยิ้มให้กับนางพยาบาล
สองวันผ่านไป เสี่ยวเถียนเถียนออกจากโรงพยาบาลแล้ว หลังจากที่สวีเหลียงดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาเสี่ยวเถียนเถียนกลับบ้าน
ในตอนที่พ่อกับแม่ของเสี่ยวเถียนเถียนจะพาเสี่ยวเถียนเถียนกลับ เสี่ยวเถียนเถียนร้องไห้แทบขาดใจ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่ยอมกลับ ปากพูดแต่ว่า “แม่จ๋าๆ อย่าพรากเราจากกัน…หนูจะแต่งงานกับคุณอาเฉินชางเท่านั้น”
เป็นคำพูดที่ฟังแล้วโศกเศร้าเสียใจจนหัวใจแทบแตกสลาย ช่างเป็นความรักที่ลึกซึ้ง!
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ทำหน้าไม่ถูก จะหัวเราะก็ไม่ได้ จะร้องไห้ก็อย่างไรอยู่
สวีเหลียงเองก็หัวเราะด้วยความเก้อเขิน เขามองภรรยาแล้วกล่าวขึ้นว่า “เมียจ๋า ทำไมเราสองคนดูเหมือนเป็นตัวร้ายในละคร ที่พลัดพรากคนที่เขารักกัน?”
สวีเถียนเถียนหยุดร้องไห้แล้วพยักหน้าเห็นด้วย แล้วกล่าวขึ้นว่า “ใช่น่ะสิ…พ่อจ๋าพ่ออย่าทำตัวเป็นตัวร้ายได้มั้ย อย่าพรากเราจากกัน…”
ทว่าการขัดขืนของสวีเถียนเถียนไม่ได้เป็นผลใดๆ สุดท้ายแล้วก็ยังโดนอุ้มกลับบ้านอยู่ดี
เมื่อเฉินชางเห็นเด็กหญิงตัวน้อยแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ เขาก็ยิ้มออกมา น่ารักจริงๆ!
ในเวลานี้จู่ๆ ฉินเยว่ก็พูดโพล่งขึ้นมาจากด้านหลัง “เป็นไรไป อาลัยอาวรณ์หรือไง”
เฉินชางหัวเราะออกมาทันที “มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์”
ฉินเยว่หัวเราะคิกคักออกมา “มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์? คุณพูดง่ายจังเลยนะ นี่อาจเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในช่วงชีวิตยี่สิบเจ็ดปีของคุณที่รักคุณหมดหัวใจ คุณไม่เห็นคุณค่า? เอ…ตอนนี้เถียนเถียนยังเด็กอยู่ รอเถียนเถียนโตเป็นสาวก่อน พอพูดถึงเรื่องนี้ คุณจะต้องเสียดายแน่!”
เฉินชางตัดบท “อ้อ จริงสิ แฟนคนนั้นในละครที่คุณดู คบกันเป็นไงบ้าง”
ฉินเยว่หันมามองเฉินชางทีหนึ่ง “เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย!”
หลังจากพูดจบฉินเยว่ก็เดินเชิดหน้าออกไป
หวังเชียนเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ เขาทอดถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจ “ชางเอ๋อร์ เด็กหญิงตัวน้อยเพิ่งจะเดินจากไป คุณก็เริ่มหว่านเสน่ห์ใส่ฉินเยว่ซะแล้ว ทำแบบนี้ไม่ไร้คุณธรรมมากเกินไปหรือครับเนี่ย คุณดูตอนที่เถียนเถียนจะเดินจากไปสิครับ ร้องไห้ราวกับจะตายจากกัน ร้องชนิดที่เรียกได้ว่ารักลึกซึ้ง แล้วดูคุณสิ…เฮ้อ…ผู้ชายเป็นตือโป๊ยก่ายกันทั้งนั้น!”
หลังจากที่พูดจบ หวังเชียนก็ส่ายหน้า แล้วเดินจากไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง!
ทิ้งให้เฉินชางยืนงงงันอยู่ที่เดิม