“เฮ้อ…” อวี่ฮ่าวยิ้มเมื่อเห็นนางสีหน้าดีขึ้น ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของนางจนแห้งอย่างระมัดระวังแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “คืนนี้เอาน้ำแกงเม็ดบัวมาให้เจ้า ไม่ใส่น้ำตาล ใส่น้ำผึ้งเล็กน้อย ไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วน”
ชิงหวั่นมองค้อนขวับให้เขาอย่างเกลียดชัง นั่งอยู่บนตั่ง รอให้เขาหยิบกล่องอาหารที่วางไว้ขึ้นมา แล้วยกน้ำแกงเม็ดบัวออกมาคำนับตัวเอง
“อย่าโกรธเลยนะ” อวี่ฮ่าวดูชิงหวั่นซดน้ำแกงเม็ดบัวเล็กน้อยจนหมด ยิ้มและจัดเก็บมันอย่างเรียบร้อย มองดูสีหน้าของชิงหวั่นอย่างระมัดระวังไปพลาง ในขณะเดียวกันก็ลองหยั่งเชิงไปด้วย
“ทำไมข้าต้องโกรธเจ้าด้วย?” ชิงหวั่นที่อารมณ์ร่าเริง กลับไปมีท่าทีเฉยเมยต่อเขาอีก คนผู้นี้หน้าด้านที่สุด ถ้าทำหน้าทำตาดีๆ ให้เขานิดหน่อย จะปรี่เข้ามาถึงตัวระดมจูบตรงนี้ที ลูบคลำตรงนั้นทีในฉับพลันราวกับไม่เคยเห็นสตรีมาก่อนก็มิปาน
“ล้วนเป็นความผิดของข้าที่ปล่อยให้เจ้ารอนานอยู่คนเดียวในห้องที่เงียบเหงานี้” ต่อให้จะไม่มีสีหน้าแจ่มใส อวี่ฮ่าวก็
กระแซะเข้ามาแนบชิด ไม่สนว่าชิงหวั่นจะขัดขืน ก็ดึงนางขึ้นมาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของตน
“ใครรอเจ้ากัน!” ชิงหวั่นไม่ยอมรับเด็ดขาดว่านางรู้สึกประหม่าเพียงใด จึงปากแข็งแล้วพูดว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มารบกวนข้ากลางดึก ชายหญิงอยู่กันตามลำพัง ทั้งยังอยู่ในห้องของข้าด้วย ถ้าข่าวแพร่สะพัดออกไป ข้าฆ่าตัวตายก็ยังไม่พอหรอก”
“ข้าจะแต่งงานกับเจ้า!” อวี่ฮ่าวพูดอย่างเฉียบขาดว่า “ข้าไม่เคยกล้าหวังล้มๆ แล้งๆ ว่าจะได้คบหาดูใจกับเจ้า แต่ยามนี้ข้าจะมอดม้วยก็จะไม่มีวันปล่อยมือ เจ้าจงจำไว้ว่า ชีวิตของเจ้าไม่ใช่ของตัวเจ้าเอง เป็นของข้าด้วย”
“ชีวิตของข้าเป็นของตัวข้าเองเสมอ ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาควบคุม” ชิงหวั่นจ้องมองเขาอย่างโมโหโกรธ ไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดคำที่เย็นวาบบาดใจเช่นนี้ นางชิงชังกับการถูกควบคุมที่สุด ส่วนเขาก็เอาแต่พูดว่าเข้าใจตนอยู่เรื่อยมา ทว่าก็ยังพูดเช่นนี้อีก
“ถ้าอย่างนั้นดีเลย! ชีวิตของเจ้ายังคงเป็นของเจ้า แต่ชีวิตของข้าก็เป็นของเจ้าเช่นกัน หากเจ้ามีอันเป็นไป ข้าก็จะไม่ขออยู่อีกต่อไป!” อวี่ฮ่าวเปลี่ยนจุดยืนของตนตามน้ำไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าคำพูดของเขาทำให้อาการวิงเวียนศีรษะของใครบางคนบนหลังคาที่โล่งใจไปในที่สุดก็กลับแย่ลงอีก ถลึงตาจ้องมองคนที่ใบหน้าดูตลกซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างขมขื่น พยายามข่มความวู่วามที่สร้างขึ้นมาใหม่ซึ่งตนอยากจะดึงคนเนรคุณที่ตระกูลซั่งกวนเลี้ยงดูมาอย่างไร้ประโยชน์กว่าสิบปีออกมา แล้วฟังต่อไป
“เจ้า…” ชิงหวั่นไม่รู้ว่านางควรจะซาบซึ้งหรือฉุนเฉียวดี ถึงแม้จะมีผู้คนไล่ตามจีบนางมากมายนับไม่ถ้วนดุจมัจฉาในคงคา กระนั้นก็ไม่มีใครสามารถเพิกเฉยต่อเกียรติยศชื่อเสียงที่แนบมากับตัวนางได้ เพียงแต่จำได้ว่านางเป็นคนหนึ่ง และยินดีจะมอบชีวิตให้ด้วยความจริงใจ แม้อวี่ฮ่าวจะไม่ได้สาบาน แต่ความจริงจังในดวงตาของเขาทำให้นางรู้ดีว่า เขาไม่ได้แค่พลั้งปากพูดพล่อยๆ แต่นางมิอาจตื้นตันใจได้ เพราะนางรู้สึกว่าถูกคนอื่นลบหลู่
“เจ้าคนพาล!” ชิงหวั่นจำไม่ได้ว่านางสบถด่าไปกี่ครั้ง นับตั้งแต่ได้พบกับศัตรูคนนี้ที่ดูเหมือนจะมาทวงหนี้ นางมักจะรำคาญที่นึกคำสาปแช่งไม่ออก หลังจากก่นด่าแล้วก็ยังรู้สึกไม่หนำใจ ถึงขั้นต้องใช้สองนิ้วเข้าหยิกเนื้อนุ่มรอบเอวของเขา แล้วบิดหมุนไปรอบๆ อย่างดุเดือด ดูเขาที่ตาคิ้วและจมูกย่นไปด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะคลายความโกรธแล้วปล่อยมือ
“เจ้าลอบฆ่าสามีตัวเอง…” อวี่ฮ่าวบ่นตัดพ้ออย่างขมขื่น ยิ่งพูดประโยคนี้ได้คล่องปากมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อเทียบกับใบหน้าที่ปราศจากอารมณ์ของชิงหวั่น เขายอมรับการทารุณของนาง ชิงหวั่นแบบนี้ดูสดใส ไม่ได้ดูไร้ชีวิตชีวาอีกต่อไป เพียงแต่…โธ่ๆ…ที่เอวของเขาไม่มีผิวพรรณที่ไร้รอยจิกข่วนอีกแล้ว
“เจ้าเป็นสามีของใครกัน เอ่อ…” ชิงหวั่นถูกอวี่ฮ่าวประกบปากปิดสนิททันที นางคุ้นเคยกับท่วงท่าจูบแบบนี้อยู่แล้ว และทุกครั้งที่นางปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง เจ้าเด็กบ้ากามสมควรตายผู้นี้ก็ชอบใช้ไม้ตายนี้มาหุบปากตัวเอง แล้วมือยังบอนไม่อยู่สุขปีนป่ายไปเคล้าคลึง…ส่วนที่น่าภาคภูมิใจของตน…น่ารำคาญชะมัด แต่ให้ความรู้สึกที่น่าเคลิบเคลิ้มวาบหวามใจ ชิงหวั่นถึงตายก็ไม่ยอมรับว่านางชอบมันเข้าแล้ว ถึงกับหลงใหลความรู้สึกเช่นนี้ด้วยซ้ำ จึงจงใจพูดอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งทำให้เขาเคยชินกับการประทับรอยจูบจนติดเป็นนิสัย
ทั้งสองคนบนหลังคามองกันอย่างหน้าตาตื่น พวกเขารู้ดีว่าทั้งคู่ทำอะไรกันอยู่ในห้อง สิ่งที่แตกต่างคือใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยดูผ่อนคลาย…อย่างไรก็ตาม เรื่องพรรค์นี้ผู้ชายมักจะเอาเปรียบเสมอ น้องชายของเขาได้เปรียบ เขาย่อมมีใบหน้าผ่อนคลายสบายใจ ส่วนใบหน้าของมู่หรงปั๋วเย่ก็ประหนึ่งจานสีที่พลิกคว่ำ สีหน้าท่าทางก็…
“ยังไม่เช้าเลย เจ้าควรเข้านอนอย่างว่าง่าย!” อวี่ฮ่าวพยายามจะระงับอารมณ์ของตัวเองอย่างหนัก เขาเริ่มหลุดการควบคุมง่ายขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาจะไม่ทำให้คนที่อยากได้เป็นสมบัติไปชั่วชีวิตตกใจเสียขวัญ จึงตระกองกอดไว้แนบอก แล้วอุ้มนางให้ลุกขึ้น วางนางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล คลุมผ้าห่มบางๆ ให้ เอนกายนอนข้างๆ นางใส่เสื้อผ้าตามปกติ สัมผัสนางอย่างแผ่วเบา กล่อมให้นางเข้าสู่นิทราเสมือนเด็กทารก
“ต้องโทษเจ้า…” ชิงหวั่นมีน้ำโหอยู่ในที เปลือกตาเริ่มขยับ เปรยอย่างไม่พอใจ “ข้าง่วงมานานแล้ว แต่เจ้าจะไม่หลับไม่นอนหรืออย่างไรถ้าไม่ได้มากวนคนอื่น…”
“ถ้าข้าไม่มาจะเป็นอย่างไร?” อวี่ฮ่าวยิ้มเจื่อน พี่ชายคนโตรู้ถึงพฤติกรรมของเขาที่ลอบเข้าห้องมาตอนดึกดื่น จะห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนั้นแน่นอน แต่ชิงหวั่นเป็นแบบนี้จะทำให้เขาวางใจได้อย่างไร?
“เจ้าไม่มาหรือ?” ชิงหวั่นตื่นขึ้นมา ความง่วงนอนก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาเบิกกว้าง ในใจมีแต่ความตื่นตระหนก อาจเพราะคุ้นเคยที่มีเขาคอยอยู่เคียงข้าง ด้วยการเอาอกเอาใจของเขา นางก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญกับความมืดมนคนเดียวอย่างไร
“ข้าจะไปเซิ่งจิงกับท่านพ่อสักระยะ อาจจะถึงปลายเดือนแปดถึงค่อยกลับมา” อวี่ฮ่าวไม่คำนึงว่านางจะดิ้นรน จับนางกอดไว้ในอ้อมอกแล้วอธิบายว่า “ชิงหวั่น เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะพยายามโน้มน้าวไม่ให้ท่านพ่อพาข้าไปด้วย ตัวข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่หัวเดียวกระเทียมลีบต่อไปได้อย่างไร!”
“เจ้าจะโน้มน้าวท่านลุงได้หรือ?” ชิงหวั่นกล่าวอย่างเป็นห่วงและสงบลงในท้ายที่สุด
“ทำได้แน่! เจ้ามั่นใจได้!” อวี่ฮ่าวมองสีหน้าตื่นตระหนกของชิงหวั่นอย่างกลัดกลุ้มแล้วพูดอย่างทุกข์ใจว่า “เป็นเพราะข้าไม่ดี ไม่ควรพูดอะไรที่ทำให้เจ้าไม่มีความสุข”
“แต่ท่านลุงจะฟังเจ้าหรือ?” ชิงหวั่นยังคงวิตกมาก เขาเป็นแค่ลูกนอกสมรสหรือลูกเมียน้อยที่ไร้อนาคต ท่านลุงซั่งกวนจะยอมทำตามคำขอของเขาหรือ?
“ฟังสิ!” อันที่จริงอวี่ฮ่าวไม่มีแผนในใจเช่นกัน แต่ยังคลี่ยิ้มแล้วพูดปลอบโยนว่า “ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่เคยร้องขออะไรจากท่านพ่อเลย นี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้าปริปากอ้อนวอนเขา เขาจะเห็นด้วยแน่นอน!”
“ไม่เคยร้องขอเลยหรือ? ทำไม? พวกเขาไม่ดีกับเจ้าใช่ไหม?” ชิงหวั่นลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างปวดร้าวใจเล็กน้อย ความสดใสรุ่งโรจน์ของเขาจะเป็นเพียงแค่การปิดบังอำพรางหูตาของคนอื่นด้วยหรือ?
“ไม่เคยอยู่แล้ว ชิงหวั่น เจ้าทราบดีว่าชื่อของข้ามีความหมายแฝงอะไรซ่อนอยู่ใช่ไหม?” อวี่ฮ่าวไม่เคยเอ่ยถึงนามกรของเขากับผู้ใดมาก่อน สำหรับเขาแล้วเป็นเพราะยังไม่ถึงจุดที่ไว้ใจได้ แต่บัดนี้ เขายินยอมจะเปิดใจกับหญิงอันเป็นที่รักยิ่งของตน
“ฮ่าว หมายถึง ขาวสะอาด สว่างไสว ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเป็นพระจันทร์บนท้องนภาอันสุกสกาวได้อย่างที่ตั้งใจ เป็นที่สนใจของผู้คน แม้จะค่อนข้างมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับท่านลุง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นชื่อมงคล!” ชิงหวั่นเป็นสตรีผู้ปราดเปรื่อง จะให้ปัญหานี้มาสร้างความลำบากได้อย่างไรกัน
“เจ้าผิดแล้ว!” อวี่ฮ่าวส่ายศีรษะแล้วอธิบายว่า “ชื่อนี้อนุภรรยาขอร้องท่านแม่ให้ตั้งให้ข้า ข้าคิดว่านางเป็นความหวังของข้ามาตลอด…นางก็เป็นความหวังของข้าจริงๆ เสียด้วย แต่เป็นความหวังที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ตอนห้าขวบปีนั้น ข้าเกิดขัดแย้งกับอวี่ไข่ที่แก่กว่าข้าสองปี ทะเลาะวิวาทกัน เขาผลักข้าตกบันได กระแทกพื้นจนหน้าบวมปูดจมูกเขียวคล้ำ ข้าร่ำไห้กับอนุภรรยาจะฟ้องท่านแม่ ให้ท่านแม่ระบายความแค้นแทนข้า ส่วนอนุภรรยาก็เพียงแค่อธิบายชื่อของข้าให้ข้าฟังใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นับตั้งแต่นั้นมา ข้าไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับอวี่ไข่แต่อย่างใด และยิ่งไม่ให้เกิดความบาดหมางกับผู้อื่น จึงทำให้ทุกคนมองข้ามการมีตัวตนของข้าไป จนกระทั่งถึงป่านนี้”
“นางอธิบายอย่างไร?” ชิงหวั่นกอดเขากลับอย่างรักใคร่ นางได้รับการเลี้ยงดูประดุจไข่ในหินมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ต้องพูดถึงการหกล้ม ต่อให้โดนผึ้งต่อยอันน้อยนิดก็ร้องไห้อยู่ตั้งนานสองนาน
“ง่ายมาก แค่แกะอักษรคำว่า ‘ฮ่าว’ แยกออกจากกันจะได้ความว่าฟ้องเสียเปล่า” อวี่ฮ่าวยังจำได้ว่าตอนนั้นตนเสียใจและทุกข์ระทมมากแค่ไหนแล้วพูดอย่างเจ็บใจว่า “อนุภรรยาบอกข้าว่า อย่าดึงดัน อย่าเพ้อฝัน อย่าไปขอแบ่งสิ่งของที่มิใช่ของตัวเอง อย่าร้องไห้ไปบ่นฟ้องใคร เพราะฟ้องไปก็เสียเปล่า ตั้งแต่นั้นมา ข้าไม่เคยเพ้อฝันอีกเลย เจ้าเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้าอยากดูแลและอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิตโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม!”
ฟ้องเสียเปล่า? หัวใจของชิงหวั่นพันกันจนยุ่งเหยิง นางจะพูดอย่างนั้นได้อย่างไร? นางกล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร?
“อย่าสงสารข้าเลย หากไม่ได้คำสอนจากอนุภรรยา ก็ไม่แน่ข้าจะกลายเป็นอวี่ไข่อีกคนหนึ่ง!” อวี่ฮ่าวเอือมระอาและดูหมิ่นอวี่ไข่จากใจ คนงี่เง่าไร้สมองคิดว่ามีฮูหยินใหญ่ให้ท้ายแล้วจะได้ทุกสิ่งที่เขาปรารถนา ทั้งอำนาจ ฐานะ ภรรยาแสนหวาน…เขาไม่เคยคิดถึงชาติกำเนิดของเขาเลย ไม่มุมานะขวนขวายเพื่อตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองมีความสามารถแต่ด้านเดียว ทำเพียงแค่อวดฉลาดเอาใจต่อหน้าฮูหยินใหญ่ ประพฤติตัวตามความรู้เท่าที่มีอยู่ในหัว เพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขามีการศึกษา แต่หารู้ไม่ว่าพฤติกรรมประเภทนั้นของเขาเป็นแค่ตัวตลกในสายตาของผู้มีฝีมืออย่างแท้จริง
ชิงหวั่นถอนหายใจ ปล่อยให้ตัวเองสงบความรู้สึกแปลกประหลาดลงอย่างช้าๆ ก็เลยคิดเช่นนี้ ซั่งกวนอวี่ไข่ที่เพ้อเจ้อไปเองว่าเป็นคนหล่อเหลาสง่างามและยโสโอหังนั้นน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ นึกถึงเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนที่มีคนต่ำช้าพวกนั้นมาห้อมล้อม ประจบสอพลออยู่ข้างกาย
“ดังนั้น ข้าเชื่อว่าท่านพ่อจะเห็นด้วยกับคำขอของข้าเป็นแน่!” จริงๆ แล้วอวี่ฮ่าวก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ควรรู้ไว้ว่าซั่งกวนฮ่าวและคนอื่นๆ ต้องการพาตัวเองไปเซิ่งจิงไม่ใช่แค่ไปกราบไหว้ผู้อาวุโสของตระกูลหวัง และพบปะน้าชายแท้ๆ ของเขาเอง แต่ยังต้องการจะปล่อยให้ตัวเองออกไปเดินทางไกลสักเที่ยวภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่กังวลว่าพวกเขาจะคัดค้าน หากไม่ได้ผล เขาก็กระโดดลงไปในทะเลสาบเพื่อแช่แข็งสักคืนก่อนออกจากบ้าน ถ้าป่วยเป็นไข้จับสั่นก็ย่อมไม่มีใครบังคับตัวเองให้ร่วมเดินทางไปด้วย
“โอ้…” ชิงหวั่นโล่งใจ อวี่ฮ่าวไม่เคยผิดคำสัญญา จึงจับมือของเขาขึ้นมากัดอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ แล้วกอดมือข้างนั้นไว้ ผล็อยหลับไปอย่างฝันหวาน
หลังจากที่นางนอนหลับ อวี่ฮ่าวก็เอาผ้าห่มคลุมตัวนางอย่างระมัดระวัง หอมแผ่วเบาที่ดวงหน้าของนาง ปิดม่านมุ้งให้นาง หยิบภาชนะใส่อาหารและจากไปอย่างเงียบเชียบ…
ซั่งกวนเจวี๋ยกับมู่หรงปั๋วเย่มองหน้ากันปราดหนึ่ง เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายทันที…หากไม่แก้ปัญหาให้ลุล่วงในคืนนี้ ทั้งสองจะนอนไม่หลับแน่
ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงกระโดดเบาๆ ไม่ได้หยุดอวี่ฮ่าว แต่เดินไปรอบๆ เล็กน้อย ชิงตัดหน้าอวี่ฮ่าวเข้าไปในเรือนตะวันตก เข้าไปในห้องของอวี่ฮ่าวอย่างโอ่อ่า นั่งลงประหนึ่งเทพเจ้าเฝ้าประตูสององค์อยู่กลางห้อง เมื่อโจรหนุ่มน้อยกลับมาจากลอบเข้าห้องหญิงงามกลางดึกนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยพูดเบาๆ ว่า “อวี่ฮ่าว เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
เมื่อมองมู่หรงปั๋วเย่ซึ่งมีใบหน้าบูดเบี้ยวเหมือนก้นหม้อ กับซั่งกวนเจวี๋ยแม้ใบหน้าจะเย็นชาแต่แววตาดูสงบผ่อนคลาย อวี่ฮ่าวไหนเลยจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเพิ่งทำไปหยกๆ ได้ถูกจับได้แล้ว จึงคุกเข่าต่อหน้าเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองทันที คิดอย่างรวดเร็วเปลี่ยนไปมาอยู่ในหัว ‘พวกเขาพบว่าตนไปหาชิงหวั่นหรือเดาว่าตนไปหาชิงหวั่น? ต้องคิดให้รอบคอบแล้วค่อยพูด!’
“เจ้าเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังแต่โดยดี!” มู่หรงปั๋วเย่ย่อมปวดเศียรเวียนเกล้า ภายใต้สายตาของเขา น้องสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวจะถูกเด็กเจ้าเล่ห์คนนี้หลอกกินเต้าหู้ แม้จะไม่ได้กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง แต่ก็เกือบจะเป็นเช่นนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่โกรธ เขาจ้องเขม็งมองเด็กหนุ่มที่ปลิ้นปล้อนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วพูดทีละคำว่า “ข้ารับประกันว่าจะไม่ยอมให้เจ้า ‘ฟ้องไปก็เสียเปล่า’ หรอก!”
พวกเขาแอบฟัง! อวี่ฮ่าวไม่คาดคิดว่าพี่ชายคนโตที่น่านับถือทั้งสองคนนี้จะทำเรื่องพรรค์นั้นได้ สีหน้าจะร่ำไห้ จึงได้แต่สารภาพหมดเปลือกอย่างตรงไปตรงมา เล่าว่าในตอนนั้น เมื่อเขาอายุสิบขวบ ได้เห็นชิงหวั่นผู้เป็นดาวล้อมเดือนในวัยดรุณีแรกแย้ม จึงตกตะลึงกับความงามปานเทพธิดาที่ลงจากสรวงสวรรค์มาจุติ ในหัวใจของเด็กชายที่เรียบง่ายคนหนึ่งก็มีนางในดวงใจอยู่อย่างคลุมเครือ…
———————-