ตอนที่ 151 คำแนะนำของมี่เอ๋อร์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

พูดไม่ออก! ยังพูดไม่ออก! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้จริงๆ ว่าตนควรพูดอะไรเพื่อปลอบใจพี่ชายคนโตทั้งสองที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอารามตกตะลึง แม้จะผ่านมาแล้วคืนหนึ่ง แต่ทั้งคู่ก็ยังนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน มิน่าเล่าที่เจวี๋ยให้ม่านเหลียนมารับคำสั่งว่าต้องการจุดเทียนคุยเสวนายามค่ำคืนกับมู่หรงปั๋วเย่ ที่แท้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนั่นเอง

“มี่เอ๋อร์ เรื่องนี้ยากมากสำหรับพวกเรา ข้าไม่อยากให้อวี่ฮ่าวถูกบังคับให้แยกจากชิงหวั่น แม้เขาจะแก่แดด แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ดูเหมือนตอนนี้ชิงหวั่นจะแยกออกจากอวี่ฮ่าวไม่ได้แล้ว แต่เราไม่ต้องการปล่อยให้พวกเขาทำเยี่ยงนี้ต่อไป” ซั่งกวนเจวี๋ยกับมู่หรงปั๋วเย่หารือกันทั้งคืน แต่บุรุษทั้งสองคนไม่เพียงไร้ประสบการณ์ความรักแบบแอบซ่อนของหนุ่มสาวเช่นนี้เท่านั้น แต่ยังไม่มีสัมผัสเฉียบไวตามธรรมชาติอีกด้วย

“เรื่องนี้อันที่จริงข้าไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นที่สุด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนยิ้มแล้วมองบุคคลทั้งสองที่มองว่าตัวเองเป็นฟางเส้นสุดท้ายอย่างมีความหวัง จึงถอนหายใจ คนหนึ่งคือสามีสุดที่รักของตน ส่วนอีกคนหนึ่งถือว่า ‘สาวที่ดื่มเหล้าเก่ง’ อยู่ในฐานะน้องสาว ราวกับว่านางจะต้องลุยปัญหาน้ำคลำขุ่นคลั่กนี้สักตั้ง

“แต่เรื่องยามนี้ทำได้แค่ขอให้ท่านช่วยให้คำแนะนำด้วย” มู่หรงปั๋วเย่ไม่อาจแม้แต่จะกล้ำกลืนฝืนยิ้มออกมาได้ นอกจากคู่กรณีแล้วก็มีเพียงพวกเขาที่รู้เรื่องนี้ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับได้ข้อสรุปเป็นเพราะการคาดเดาโดยไม่ได้ตั้งใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“ถ้าเป็นเพียงอวี่ฮ่าวคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ปัญหาคือท่าทีที่คลุมเครือของชิงหวั่นทำให้ข้ารู้สึกแย่มาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าจะประเมินชิงหวั่นอย่างไร นางสะสวยและยังไม่ใช่คนโง่อีกด้วย แต่ก่อนบอกว่านาง ‘สมองหมู’ ก็ออกจะมากเกินไป แต่…นางเป็นคน…จริงๆ เฮ้อ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ ครั้งก่อนที่อบรมนางเพราะเห็นแก่หน้าของมู่หรงปั๋วเย่กับเฉาซื่ออี๋ ดูท่านางจะไม่ได้ฟังอะไรเลย

“เหตุใดมี่เอ๋อร์ถึงพูดแบบนี้? เจ้าไม่ได้หวังดีและรักใคร่ชิงหวั่นหรอกหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างระมัดระวัง เป็นไปได้ไหมว่าเขาเข้าใจผิด? เรื่องที่มี่เอ๋อร์ชี้แนะชิงหวั่นนั้นเขาพอรู้มาบ้าง จึงคิดว่ามี่เอ๋อร์หวังดีกับนางมาก ควรรู้ไว้ว่ามี่เอ๋อร์ไม่เคยเผื่อแผ่ความเมตตากับคนที่ไม่สลักสำคัญอะไรด้วยเลย! แม้มี่เอ๋อร์จะดูอ่อนโยนและใจดี แต่บัดนี้เขาก็รู้ดีแล้วว่า นางจะดีกับคนที่นางชอบเท่านั้น คนที่นางไม่ชอบและทำให้นางขุ่นเคืองพวกนั้น ยกเว้นบางคนที่ต้องยอม นางถึงจะไม่ปล่อยไป หากมีโอกาสจะเอาคืนทบต้นทบดอกแน่นอน กระนั้นนางก็เข้าข้างถือหางอยู่มากเช่นกัน อย่างอนุภรรยาอู๋ที่ถูกขังอยู่ในเรือนถ้าไม่ใช่เพราะนางต้องการระบายความโกรธแทนมารดา มีหรือจะลงเอยแบบนั้น?

“ข้าไม่ได้รู้สึกดีกับชิงหวั่นมากนัก แต่ก็ไม่ได้มองในแง่ร้ายอะไรเลย เพียงแต่ข้าไม่เห็นด้วยกับทัศนคติและวิถีชีวิตของนาง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเจื่อนมองไปที่มู่หรงปั๋วเย่แล้วพูดว่า “คิดว่าพี่ใหญ่มู่หรงก็คงรู้ว่าข้าเคยคุยกับชิงหวั่นอยู่สองสามครั้ง และก็รู้เรื่องราวภายในบางอย่างในตอนนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น นางรู้อยู่แก่ใจดีว่าลู่เหยาไม่ชอบนาง หนำซ้ำยังวิ่งหนีนางอีกต่างหาก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับคนในราชวงศ์ นางจึงยังแสดงว่ารักลู่เหยาในที่สาธารณะ นางพนันอยู่ว่า ลู่เหยาจะตอบตกลงเพื่อรักษาหน้านางไว้หรือไม่ แต่น่าเสียดายที่นางแพ้ แต่ดูเหมือนนางจะได้รางวัลเช่นกัน เพราะชื่อเสียงของนางตกต่ำลงจนกลายเป็นตัวตลกที่น่าหัวเราะเยาะ บางทีในเวลานั้นถึงแม้นางจะรู้สึกหดหู่และเศร้าเสียใจมาก แต่ก็ยังโชคดี เพราะนางคิดอย่างไร้เดียงสาว่าหลบหนีออกมาได้ ทว่าน่าเสียดายที่องค์รัชทายาทดูเหมือนจะไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ ทั้งยังเต็มใจจะแต่งงานกับนาง ส่วนนางเพื่อจะหลบหนี เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด จึงเริ่มแสร้งทำเป็นบ้าและทำตัวงี่เง่าอย่างไม่ลังเล ซึ่งครั้งนี้นางทำสำเร็จ แม้จะถูกขังมานานกว่าสามสี่ปี ในที่สุดนางก็รอดพ้นจากความรับผิดชอบที่ตระกูลจะให้แบกรับ แต่นางลืมไปจุดหนึ่ง บางครั้งการสวมหน้ากากเป็นเวลานาน ก็จะคิดว่านั่นคือใบหน้าของนางเอง ดังนั้นประสาทของนางจึงค่อนข้างผิดปกติไปแล้ว หากไม่ได้พักฟื้นในระยะยาวก็ฟื้นตัวยาก”

“อันที่จริงในตอนแรกเราก็รู้ว่านางแกล้งทำ และรู้ว่านางจะหลบหนี จึงไม่ได้เอาจริงเอาจัง แต่ต่อมาอาการดันผิดปกติ ถึงได้เปลี่ยนวิธีการรักษา” มู่หรงปั๋วเย่ยิ้มแหย ไม่มีคนบ้าที่ไหนจะดวงตาใสแจ๋ว พวกเขายังคงดำเนินขั้นตอนการแต่งงานกับราชวงศ์อย่างเป็นระเบียบ องค์รัชทายาทไม่รังเกียจที่ชื่อเสียงของชิงหวั่นจะเสื่อมเสีย นั่นแสดงถึงความเป็นกันเองและความใจกว้างของเขา และไม่ถือสาชิงหวั่นที่แกล้งทำเป็นสติฟั่นเฟือน เขาสนใจชิงหวั่นในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลมู่หรง จะแต่งชิงหวั่นเป็นนางสนม เป็นเพียงเบี้ยต่อรองกับตระกูลมู่หรงว่าจะนั่งรถศึกคันเดียวกัน ส่วนที่เหลือไม่สำคัญมาก แต่จากนั้นสายตาของชิงหวั่นก็เปลี่ยนไป พวกเขาจึงต้องขัดจังหวะเรื่องนี้…ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดจังหวะ แต่เปลี่ยนจากนางสนมมาเป็นพระชายารองเช่อเฟยขององค์รัชทายาท และผู้ที่ได้รับเลือกก็คือชิงหนี ลูกสาวของอนุภรรยาที่เลี้ยงดูอยู่ในนามของฮูหยินมู่หรง นั่นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดของตระกูลมู่หรงทั้งสถานะและอายุ หลังจากชิงหวั่นรู้เรื่องนี้อาการก็ค่อยๆ หายไป จากนั้นก็บำเพ็ญตนฝึกฝนจิตใจอยู่ในวัดประจำตระกูล

“ที่จริงตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้แม้จะไม่ชอบใจในสิ่งที่นางทำ แต่ก็ยังชื่นชมนางที่กล้าหาญทำให้ตัวเองอัปยศอดสู!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ แล้วพูดว่า “แม้จะบอกว่าสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลชั้นสูงจะมีความสุขกับเกียรติยศและความหรูหราที่มาจากฐานะ แต่ในขณะเดียวกันยังต้องแบกรับความรับผิดชอบและภาระหน้าที่โดยแท้ แต่นั่นไม่ใช่ทางเลือกของนาง นางมีใจโหยหาอิสรภาพและความกล้าที่จะเป็นอิสระมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นการละทิ้งสิ่งเหล่านี้ แม้จะเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนาง แต่ก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งที่ ‘ยอมเป็นหยกแหลกละเอียด ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์’ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น นางทั้งไม่อาจละทิ้งความรุ่งโรจน์ที่นางเกิดมาได้ และไม่ยินยอมจะรับผิดชอบอีกด้วย นางจึงไม่คู่ควรกับอวี่ฮ่าว!”

“อวี่ฮ่าวอาจหลงเสน่ห์นางมาตั้งแต่แรกพบ ยามที่อวี่ฮ่าวได้รู้จักนาง เป็นช่วงเวลาที่นางสวยสง่าที่สุด และความทรงจำก็หยุดชะงักอยู่ในความงามดั้งเดิมของนาง ส่วนนางก็ไม่จำเป็นต้องชอบอวี่ฮ่าว จนมาถึงขั้นนี้ได้ นอกเหนือจากความแข็งแกร่งที่ไม่คาดคิดของอวี่ฮ่าวแล้ว ยังมีความกังวลที่จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีความโดดเด่นเหลืออยู่แล้ว ในงานดอกบัว ชิงหวั่นไม่สนใจใคร นางหยิ่งผยอง แต่ไม่มีใครยอมเข้ามาประจบประแจงนาง ไม่ให้นางได้สัมผัสถึงความมีเกียรติที่ถือว่าเป็นดาวล้อมเดือน จึงไม่มีทางที่นางจะไม่ผิดหวัง ดังนั้น การที่อวี่ฮ่าวมาดูแลและหวงแหนจึงมีค่าอย่างยิ่ง กอปรกับพี่ใหญ่มู่หรงยกย่องอวี่ฮ่าว ทำให้นางเกิดความรู้สึกแบ่งรับแบ่งสู้กับอวี่ฮ่าว ถึงขั้นเริ่มอาลัยอาวรณ์ ในแง่มุมนี้ นางก็ยิ่งไม่คู่ควรกับอวี่ฮ่าว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็นึกถึงมารดาขึ้นมาทันที จากอิสตรีผู้มีความสามารถที่ได้รับการคาดหวังสูงจนกลายเป็น ‘หญิงงามล่มเมือง’ จากหลาน สาวคนโปรดมากที่สุดของอำมาตย์ผู้อยู่เหนือมวลชนถูกลดฐานะลงจนมอดม้วยมรณา จากคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่เรียนรู้ทุกสิ่งตั้งแต่ ‘บทกวีพิณการเขียนอักษรวาดภาพหมากรุกสุราและบุปผา’ ไปจนถึงภริยาพ่อค้าวาณิชที่จู้จี้จุกจิก นางไม่รู้ว่ามารดาเคยเสื่อมเสียและเคยคิดหนีไปหรือไม่ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้หลงตัวเอง แม้จะยังคิดไม่ออกว่านางมีสายใยผูกพันกับบิดา แต่จากความหมายระหว่างบรรทัดของจดหมายฉบับนั้น นางก็รู้ว่าลึกๆ แล้วมารดารักบิดาอยู่มาก มันไม่ใช่สิ่งที่นางคิดมาตลอดว่าหมดหนทางจึงถูกบังคับให้แต่งงานกับพ่อค้า

มู่หรงปั๋วเย่เบือนหน้าหนีด้วยความอับอาย เขาไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับชิงหวั่น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรที่บาดหู แต่คำพูดแต่ละพยางค์เชือดเฉือนคมกริบ ทำให้เขาไม่มีหน้าสู้

“จริงๆ แล้วมันง่ายมากที่จะแก้ปัญหานี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองมู่หรงปั๋วเย่ที่ยิ้มอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี อยากจะวิ่งแต่ฝืนตัวเองอยู่ต่อไป กระนั้นก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย

“มีทางใด?” ดวงตาของมู่หรงปั๋วเย่สว่างขึ้น แม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากนัก และไม่เข้าใจนิสัยใจคอกับความสามารถของนาง แต่ก็สามารถแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ทำให้คนสำคัญที่สุดของตระกูลซั่งกวนเห็นด้วยกับนาง ชมชอบนาง ชื่นชมนาง ถึงขั้นยินดีจะพูดคุยกับนางเมื่อเกิดเรื่องขึ้นได้ โดยปกติผู้หญิงจะไม่มีทางทำได้

“ง่ายมาก แยกพวกเขาออกชั่วคราว!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ประหนึ่งอ่างน้ำเย็น ทำให้มู่หรงปั๋วเย่ฟื้นคืนสติพร้อมกับอุทานออกมาและเหม่อลอยอีกครั้ง ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยก็จดจ้องนางแวบหนึ่ง รู้ว่านางเจตนาล้อเล่นมู่หรงปั๋วเย่

“แน่นอนว่าแผนนี้ต้องใช้ทักษะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฉวยจังหวะที่มู่หรงปั๋วเย่เผลอเรอ ขยิบตาให้ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ก่อนอื่น พี่ใหญ่มู่หรงจะต้องพาชิงหวั่นออกไป และให้ชิงหวั่นกล่าวคำอำลากับอวี่ฮ่าว”

“ชิงหวั่นจะยอมรับได้หรือ?” มู่หรงปั๋วเย่ยากจะเชื่อว่าชิงหวั่นจะยอมรับข้อตกลงดังกล่าวอย่างมีสติ นางไม่เคยเป็นคนมีเหตุผล ตนก็ไม่เคยไร้เหตุผลเท่านาง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ปล่อยให้ความรู้สึกและความบุ่มบ่ามของตนเอาชนะเหตุผลได้

“ตราบเท่าที่ท่านจะสัญญากับนางได้ ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งหมดที่ลูกสาวคนโตของตระกูลมู่หรงควรแบกรับจะไม่ตกเป็นภาระของนาง จงให้อิสระและความเป็นตัวของตัวเองที่นางใฝ่ฝันถึง ข้าเชื่อว่านางจะดีใจมากและยินดีจะอธิบายเรื่องนี้กับอวี่ฮ่าว และจะออกจากตระกูลซั่งกวนโดยไม่อยากจะอยู่ต่อเลย ออกจากลี่โจวและวิ่งไปสู่อิสรภาพ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำได้ทันทีว่านางรู้สึกอย่างไรเมื่อออกจากตระกูลเยี่ยนและอู๋โจวเป็นครั้งแรก มีความสุขดุจวิหคน้อยที่ออกจากกรงไป เพียงแต่นางไม่ลืม ไม่ว่าจะบินไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องกลับไป แต่ชิงหวั่นอาจคิดไม่เหมือนกัน โดยคิดว่าจากนี้ไปท้องฟ้าสูงแล้วแต่สกุณาจะโบยบิน ท้องทะเลที่กว้างใหญ่แล้วแต่มัจฉาจะว่ายวน แล้วจะไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล

“แล้วถ้านางจะไม่กลับมาอีกเลยเล่า?” เห็นได้ชัดว่ามู่หรงปั๋วเย่ก็คิดประเด็นนี้เช่นกัน ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยตรง แต่จะใช้วิจารณญาณของเขาเอง

“ไม่แน่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวพลางยิ้มอธิบายว่า “ถ้าชิงหวั่นเป็นนก ก็ไม่ใช่นกป่าเช่นกัน ตระกูลมู่หรงเป็นกรงขังของนาง นางโหยหาท้องฟ้าโดยสัญชาตญาณ แต่นางจะดำรงอยู่ไม่ได้หากปราศจากกรง ไม่ว่าจะเรียนรู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดหรือเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในการต่อสู้ นางเรียนรู้จะต่อสู้แล้ว แต่ยังไม่ได้เรียนรู้จะมีชีวิตอยู่ เมื่อได้เรียนรู้ ย่อมจะบินกลับไปที่กรงอย่างเชื่อฟัง”

“เจ้าหมายความว่า…” มู่หรงปั๋วเย่รู้คร่าวๆ ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์หมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นน้องสาวต้องทนทุกข์ทรมานเขาจะทนได้อย่างไร?

“ปล่อยให้นางเปลี่ยนรูปแปลงโฉมใหม่ ละทิ้งทุกอย่างของมู่หรงชิงหวั่นแล้ววิ่งไปสู่อิสรภาพ ชื่อนี้และทุกสิ่งในชื่อนี้จะต้องละทิ้งให้หมด แน่นอนถ้าพี่ใหญ่มู่หรงไม่วางใจนาง จะจัดคนหนึ่งหรือสองคนสะกดรอยตามนางไปก็ได้ เว้นแต่นางจะตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต มิฉะนั้นจะยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้ นับประสาอะไรกับความลำบากตรากตรำก็ห้ามช่วยนาง” แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าวรยุทธ์ของชิงหวั่นถูกทำลายไปแล้ว ต่อให้จะไม่ถูกทำลายก็เป็นแค่วรยุทธ์แมวสามขาเท่านั้นเอง…การฝึกยุทธ์เป็นงานที่หนักมาก นางยังจำได้ว่าในปีนั้นตนต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน ลำพังแค่ถูกท่านป้าแซะออกมาจากเตียงยามดึกดื่นค่อนคืน แล้วนั่งยองๆ บนเสาดอกเหมยที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายในตอนนี้แต่เป็นฝันร้ายในตอนนั้น

“ข้ารู้นิสัยของชิงหวั่นดี นางจะไม่กลับมาอีกแน่นอน!” มู่หรงปั๋วเย่เองเป็นคนที่ไม่เคยลิ้มรสความอบอุ่นจากสายสัมพันธ์ นับประสาอะไรกับชีวิตของคนธรรมดาจะเป็นอย่างไร โดยสัญชาตญาณแล้วเชื่อว่าชิงหวั่นจะอยู่รอดได้ต่อไป

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป! แทนที่จะให้นางตรอมใจไปตลอดทั้งชีวิต ถึงกับต้องเลือกอวี่ฮ่าว มิสู้ให้ชีวิตที่นางต้องการจะดีกว่า ตระกูลมู่หรงไม่มีนางก็ไม่เห็นจะเป็นไรมิใช่หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากเชื่อเลย ถ้าออกท่องยุทธภพง่ายขนาดนี้ นางคงไม่ละล้าละลังนานขนาดนั้น ในที่สุดก็แต่งเข้ามาอย่างว่าง่าย…ทางหนีทีไล่เหล่านั้นก็ป่วยการไม่ต้องคิดมาก!

“ถ้าอวี่ฮ่าวผลีผลามทำอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยเป็นห่วงน้องชายของเขาซึ่งก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน

“หากอวี่ฮ่าวไม่ได้รู้สึกลุ่มหลงและหุนหันพลันแล่นกับชิงหวั่นชั่วครั้งชั่วคราว เขาจะเข้าใจและสนับสนุนชิงหวั่น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล แต่ก็ใจฝ่ออยู่มาก อย่างไรก็ตามถ้าซั่งกวนเจวี๋ยกล้าพูดยอมแพ้เพราะเรื่องนี้ นางจะไม่ให้อภัยแน่นอน

“เราลองพิจารณาและหารือเรื่องนี้กันอย่างรอบคอบอีกคราเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยต้องการดูว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ ตราบเท่าที่ทั้งสองแยกจากกันได้ชั่วคราวก็ดี สำหรับอนาคตให้รอจนกว่าทั้งคู่จะสงบลงแล้วค่อยคุยกัน เพียงแต่มู่หรงปั๋วเย่จะเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้หรือ?

“ข้าจะคิดตริตรองเหมือนกัน!” มู่หรงปั๋วเย่ยิ่งสับสนวุ่นวายไปหมด

“เราค่อยๆ คิดทบทวน ข้ายังมีอะไรต้องทำอีก ขอตัวก่อน” มี่เอ๋อร์วางรองเท้าไว้ให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่เตรียมจะออกไปข้างนอก ทั้งนาง จินหรุ่ยและจื่อหลัวร่วมมือกัน น่าจะรีบทำได้สักสามหรือสี่คู่ก่อนที่เขาจะจากไป

———————-