ภาคที่ 3 บทที่ 81 ทางรอด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 81 ทางรอด

ณ ศาลาสิบลี้ นอกเมืองธารน้ำใส

ทุกคนกำลังบอกลากันอยู่

ถังหมิง โจวจวินเจีย หม่าเซวียน เว่ยหยาง เจียงหานเฟิง และเหยียนหลิงยืนอยู่ข้างทาง หันหน้าเข้าหาซูเฉิน อวิ๋นเป้า อู๋เสี่ยว จ้าวซิน และกังเฮ่าหลีที่มาส่งพวกเขาเดินทางกลับ ด้วยอู๋เสี่ยวและคนอื่น ๆ ชั้นปีต่ำกว่า ดังนั้นจึงยังอยู่ที่เมืองธารน้ำใสได้อีกปี

“หลังข้ากลับไปและจบการศึกษาแล้ว ข้าจะขอมาประจำการอยู่ที่เมืองธารน้ำใส ช่วยเจ้าจัดการตระกูลสายเลือดชั้นสูง” ถังหมิงเอ่ย

ซูเฉินส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก แต่ละคนมีหนทางของตน ไม่เหมาะที่ข้าจะเอ่ยปากขอให้สหายยอมเสียเวลาเพื่อข้า ปีที่ผ่านมานี้เจ้าก็ช่วยข้าสร้างกองเรือขึ้นมาภายในเวลาอันสั้น กุมอำนาจในบึงหลิงหยวน คลายแรงกดดันข้าได้มาก กองกำลังสามสายธารในตอนนี้ก็มั่นคง แม้ไม่มีพวกเจ้าก็ยังทำงานให้ข้าได้ดี อืม ที่ข้าจะพูดคือ ข้าไม่ต้องการพวกเจ้าแล้วจึงพังสะพานข้ามแม่น้ำทิ้งเสีย”

ทุกคนรู้ว่าเขาจงใจพูดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรมาก

ซูเฉินว่าต่อ “ข้ายังมีอู๋เสี่ยว จ้าวซิน แล้วก็กังเฮ่าหลีด้วยนี่ ? อีกไม่กี่วันหานหลินเสียกับน้องสี่สิบก็จะเดินทางมาถึง พวกเขาสำเร็จภารกิจก่อนหน้า มีเวลามาหาคะแนนอุทิศที่นี่ได้แล้ว”

ถังหมิงกอดอกเอ่ยเสียงหยิ่ง “โชคร้าย ไม่มีใครสู้เป็นสักคน”

“นี่ถังหมิง เจ้านี่ไม่ดูถูกคนอื่นสักครั้งจะได้หรือไม่ ?” อู๋เสี่ยวเอ่ยเสียงไม่พอใจ

ในสายตาถังหมิง คนอย่างหานหลินเสีย จี้ลั่วอวี่ และจ้าวซินเป็นพวกอ่อนแอทั้งสิ้น แต่ใครได้เข้าซากโบราณลุ่มน้ำทอง ก็ย่อมคัดมาแล้วจากคนนับพัน

แต่คำว่า ‘อ่อนแอ’ ของเขาก็มีส่วนอยู่เช่นกัน

จริง ๆ แล้วกระทั่งจี้ลั่วอวี่ที่อ่อนแอที่สุดยังนับเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด หากเลือกศัตรูให้ดีก็อาจเหนือกว่าหนึ่งด่านได้เลย

หลังจากผ่านซากโบราณลุ่มน้ำทองและฝึกปรือฝีมือในสถาบันมังกรซ่อนเร้นอีก 2 ปี หลาย ๆ คนก็ฝีมือก้าวกระโดดขึ้นมาก

อาทิเช่นอู๋เสี่ยวที่มีสายเลือดราชันอสูร ตอนนี้อยู่อันดับที่ 21 ของศิษย์ชั้นปีที่ 7 เขาแกร่งขึ้นมาก ต่อสู้ได้ดีไม่แพ้ถังหมิง

“ข้าพูดความจริง” ถังหมิงเอ่ยเสียงหยิ่งต่อ

สุดท้ายเป็นซูเฉินที่เข้ามารักษาสถานการณ์ “เอาล่ะ ๆ พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันเถอะ หากจะกล่าวถึงคนฝีมือดี ก็มีคนหนึ่งที่กำลังจะเดินทางมา แม้จะไม่อาจช่วยอะไรได้มาก…… อ้อ จริง ๆ มี 2 คนเลย”

“ใคร ?” ทุกคนถามขึ้น

“จีหานเยี่ยน” ซูเฉินตอบ

“จีหานเยี่ยน ?” ทุกคนชะงักไป

“นางไปเป็นรองเจ้ากรมที่ปาโจวไม่ใช่หรือ ?”

“ใช่แล้ว เหตุใดจึงจะมาที่ธารน้ำใสเล่า ?”

อวิ๋นเป้าเอ่ยเสริม “ปาโจวมีอาชญากรที่หนีมาแถวมณฑลอีกาดำ จีหานเยี่ยนนำกลุ่มคนตามออกมาจนถึงเขตแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงมาถึงเมืองธารน้ำใส”

“แล้วเหตุใดจึงบอกว่ามี 2 คน ?” ถังหมิงถาม

โจวจวินเจียเตะอีกฝ่าย “เจ้าโง่ ลืมอีกคนไปแล้วหรือ ?”

ถังหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “เจียงซีสุ่ย ?”

แล้วทุกคนก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา

เจียงซีสุ่ยชอบจีหานเยี่ยนมาโดยตลอด แต่โชคร้ายที่จีหานเยี่ยนไม่เคยคิดชอบเขา แม้กระทั่งจบการศึกษาไปแล้วก็ตาม แต่ไม่รู้เพราะอะไร เจียงซีสุ่ยจึงไม่คิดยอมแพ้ คนผู้นี้มีเบื้องหลังเป็นปริศนา แม้จะมีฝีมือแต่ไม่ได้เข้าร่วมการสำรวจซากโบราณลุ่มน้ำทอง หลังจบไปก็หายจากวงโคจรเพื่อน ๆ ไปเลย

หนึ่งปีที่ผ่านมาไม่มีใครได้ยินข่าวคราวว่าเขาคอยตามหาจีหานเยี่ยนเลย หากบอกว่าเขาจะมาด้วยก็คงเป็นการเล่นมุกตลกขบขันเสียมากกว่า

มีแต่ซูเฉินที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องขบขัน

นั่นก็เพราะเจียงซีสุ่ยเดินทางถึงมณฑลอีกาดำแล้ว

———-

เจียงซีสุ่ยยืนสะบัดพัดอยู่หน้าหัวเรือ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้าขณะเหลือบมองทิวทัศน์รอบกาย

“แขกผู้มีเกียรติ ลมแม่น้ำแรงนัก เข้ามานั่งในห้องโดยสารเรือเถอะ” เสียงฝีพายเฒ่าตะโกนอยู่หลังเจียงซีสุ่ย

“ไม่มีอันตรายใด ที่นี่ดีพอแล้ว” เจียงซีสุ่ยตอบเสียงเรียบ

“คุณชายเจียงไม่ใช่คนธรรมดา ฝีพายเฒ่า ท่านไม่จำเป็นต้องตะโกนเรียกเขาแล้ว” ชายหน้าดำเอ่ยขึ้นพลางเดินออกมาจากห้องโดยสาร

ฝีพายชราจึงหยุดพูด

เจียงซีสุ่ยไม่แม้แต่จะหันมา กล่าวเพียง “ข้าจะไม่ใช่คนธรรมดาได้อย่างไรกัน ?”

ชายหน้าดำหัวเราะเสียงดัง “คุณชายเจียง ท่านไม่ต้องปิดบังข้าแล้ว แค่ดูจากท่าทางก็รู้ได้ว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ลมเท่านี้จะทำอะไรท่านได้ ? กระทั่งพวกโจรสลัดบึงหลิงหยวนยังไม่อาจโค่นคุณชายได้เลยกระมัง”

เจียงซีสุ่ยยิ้ม “เจ้าเองก็มีดีไม่น้อยเช่นกัน”

“ข้าหรือ ?” ชายหน้าดำชะงักไป พลางหัวเราะขึ้นอีก “ลืมเรื่องข้าไม่เถอะ กล่าวตามตรง ข้าฝึกฝนมาหลายปี แต่ยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาธรรมดาเท่านั้น ถึงตอนนี้ข้าไม่อาจทะลวงไปสู่ด่านก่อเกิดลมปราณ ห่างไกลจากคำว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด เทียบกับคุณชายไม่ได้เลย”

“รู้ด่านพลังของข้าด้วยหรือ ?”

“ข้าดูด่านพลังคนอื่นไม่เป็น แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อข้าอ่อนแอกว่าท่าน ?”

“เช่นนั้นการที่เจ้าบอกว่าโจรสลัดหลิงหยวนไม่อาจโค่นข้าได้ รู้ได้อย่างไรกัน ?” เจียงซีสุ่ยโต้กลับ

“เรื่องนี้……” ชายหน้าดำชะงักไป ก่อนหัวเราะเสียงแห้งออกมา “ข้าอาจพลั้งปากไป หวังว่าคุณชายจะไม่ถือสา”

เจียงซีสุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “อาจไม่ใช่เผลอปาก แต่เป็นการแอบถาม”

สีหน้าชายหน้าดำเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง “คุณชาย พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ?”

เจียงซีสุ่ยแหงนหน้ามองฟ้า “ใต้หล้านี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน หากแกร่งมากพอก็ครองใต้หล้าได้ไม่ยาก ในโลกแห่งการฆ่าฟันเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญในการเอาตัวรอดไม่ใช่การมีอิทธิพลมากมาย แต่ต้องมีสายตากว้างไกลเฉลียวฉลาด ไม่ล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกิน โจรสลัดเอาตัวรอดด้วยวิธีเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ พวกโจรสลัดที่ฉลาดสักหน่อยจึงส่งคนออกไปแทรกซึมในฝั่งตรงข้ามก่อนลงมือ หนึ่งคือส่งข้อมูลลับกลับไปได้ ขัดขวางไม่ให้เป้าหมายทันระวังตนหรือหลบหนี สองคือได้ตรวจสอบเป้าหมายให้แน่ชัด ไม่มองข้ามสิ่งใดไป สามทำตนเป็นสายลับ ทำงานกับคนนอก สี่คือประเมินกำลังเป้าหมายได้ จะได้ไม่ล่วงเกินเป้าหมายที่แข็งแกร่ง”

ชายหน้าดำถอยไปหลายก้าว กระทั่งน้ำเสียงยังแผ่วต่ำลง “คุณชายจะบอกว่าข้าเป็นสายส่งข่าวของพวกโจรสลัดหรือ ? เหตุใดจึงต้องกล่าวหาข้าเช่นนี้ ?”

“กล่าวหาหรือไม่เจ้าไม่ต้องกังวล เรือด้านหลังตามพวกเรามานานแล้ว น่าจะกำลังรอสัญญาณจากเจ้า ข้าพูดถูกหรือไม่ ?”

ชายหน้าดำเปลี่ยนสีหน้าโดยสิ้นเชิง

เจียงซีสุ่ยเอ่ย “พนันกับข้าไหมเล่า ? ข้าจะออกไปสังหารคนให้หมด ท่านจะเตือนพวกเขาให้หนีไปหรือเตรียมสู้ก็ยังได้ แล้วแต่ท่านเลย หลังจากศึกจบจะได้รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าท่านจะเป็นใคร ตอนนี้คงกล่าวได้แล้วกระมังว่าข้ากล่าวหาท่านหรือไม่ ?”

เจียงซีสุ่ยพูดจบก็หันเดินไปหลังเรือ เมื่อไปถึงก็ยังเดินต่อไปไม่หยุดเท้า จนกระทั่งเดินอยู่บนผิวน้ำ

ฝีพายชราที่กำลังพายเรือคล้ายกับอยากเอ่ยคำ แต่เจียงซีสุ่ยที่ยืนอยู่บนผิวน้ำกลับเอ่ยขึ้น “ท่านรอข้าก่อน ข้าจะรีบกลับ”

จากนั้นก็เดินต่อไป

คลื่นน้ำเบื้องล่างพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงบยามเท้าเขาเหยียบย่าง แม้จะก้าวเท้าไม่เร็วไวนัก แต่ร่างเขากลับเลือนหายไปแล้ว

ชายหน้าดำรีบพุ่งตะโกนออกไปทันที “เร็วเข้า รีบพาเรือออกไปจากที่นี่ !”

ฝีพายชราหันไปมองชายหน้าดำ “เหล่าหง เจ้าอยู่บนน่านน้ำมานาน ควรจะมีสายตารอบรู้บ้าง เจ้าไม่รู้เลยหรือ ? หากหนีรอดเงื้อมือคุณชายไปได้ง่าย ๆ คุณชายคงเสียหน้าน่าดู คนตัวเล็ก ๆ ก็มีวิธีหนีเป็นของตน หากเจ้ารออยู่ที่นี่แต่โดยดีก็ยังมีโอกาสรอด……”

ชายหน้าดำชะงักค้างไป

เขาหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา

มันคือจี้หยกส่งสาร

เขามือสั่นขณะเปิดใช้งานมัน แต่ยังไม่ทันได้กล่าวคำกลับได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมา

“อ๊าก !”

“สังหารมัน !”

“โจมตีพร้อมกัน !”

“ไม่นะ !”

“หนีเร็ว !”

เสียงร้องตกใจดังขึ้นทำเอาใจเขาสั่นสะท้านกลัว

ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ เสียงทั้งหลายก็สงบลง

เงาร่างเจียงซีสุ่ยปรากฏขึ้นให้เห็นไกล ๆ อีกครั้งหนึ่ง

เขายังคงอยู่ในชุดสีสว่างดังเดิม ยกพัดขึ้นพัดตนเองอย่างสง่างาม

จากนั้นก็ก้าวขึ้นเรือมา และเมื่อเห็นว่าชายหน้าดำยังอยู่บนเรือ ก็พยักหน้าเอ่ย “ในเมื่อเจ้าไม่หนี ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า”