ภาคที่ 3 บทที่ 80 กำจัด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 80 กำจัด

วันเวลาผ่านไป พริบตาก็ผ่านไปอีกหลายเดือน

ซูเฉินอาศัยอยู่ในเมืองธารน้ำใสมากว่า 1 ปีแล้ว

ช่วงที่ผ่านมา ชื่อเสียงในฐานะผู้จัดการความรู้ของซูเฉินขจรไกล ไม่ว่าใครในเมืองธารน้ำใสต่างก็รู้จัก

และในเวลาเดียวกันนั้นอิทธิพลของตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็อ่อนแอลง

โลกก็โหดร้ายเช่นนี้ ฝั่งหนึ่งผงาดทำให้อีกฝั่งถดถอย เหยียบซากศพของอีกฝ่ายขึ้นไปเพื่อกุมอำนาจ เรื่องนี้นับพันปีก็ยังไม่เปลี่ยน

แน่นอนว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงแห่งเมืองธารน้ำใสยังไม่ถูกกวาดล้างไป แม้จะหัวเสีย แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ได้แตะต้องรากฐานตระกูลแม้แต่น้อย ทว่าถึงกระนั้นเส้นสายต่าง ๆ ของตระกูลต่างถูกซูเฉินตัดแต่งไปจนหมด

ที่เห็นกันเลยคือยามผู้คนเห็นซูเฉินเดินตามถนน ก็จะก้มหัวเคารพเขาในฐานะเจ้ากรม

ใช่แล้ว ตอนนี้ซูเฉินได้เป็นเจ้ากรมแล้ว

ครั้งนี้อันซื่อหยวนไม่ปล่อยให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงชิงเอาตำแหน่งเจ้ากรมไปจากซูเฉินอีก

แต่จริง ๆ ก็มีคนไม่มากที่คิดอยากอยู่เหนือซูเฉินอีกแล้ว เพราะในเวลาไม่ถึงปี คน 2 คนกลับถูกสังหาร ยังมีอะไรน่ากลัวไปกว่านี้อีกเล่า ?

ผลก็คือ สถานการณ์ในเมืองธารน้ำใสเริ่มซับซ้อนขึ้น

ซูเฉินขึ้นครองตำแหน่ง แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ยังไม่ถูกโค่น สองฝั่งต่างหยุดนิ่งกับที่ ลงมือระแวดระวังและจำกัดการกระทำของอีกฝ่าย

แต่บนผืนน้ำยังมีบางอย่างที่ถูกยับยั้งไว้นานแล้ว

ไม่นานก่อนกองกำลังสามสายธารจะเข้าปะทะกับกองกำลังขุนเขาหยกครั้งใหญ่อีกครา

แท้จริงแล้วคือสู้กับกองกำลังขุนเขาหยก และอีกครึ่งของกองกำลังวิทูรกระจ่าง กองกำลังสายธารมืดไม่อาจรับมือพวกเขาได้หมด ทำให้คนจากกองกำลังวิทูรกระจ่างบางส่วนมาช่วยได้

แต่ทั้งซูเฉินและโจวจวินเจียรู้ดีว่าไม่ใช่กองกำลังสายธารมืดรับมือไม่ไหว แต่จงใจกดดันกองกำลังสามสายธารต่างหาก

ครึ่งปีที่ผ่านมา กองกำลังสามสายธารมีอำนาจขึ้นมาก ทำให้ใจคนไม่สงบ รวมถึงกองกำลังสายธารมืดด้วย แม้พวกเขาจะผูกมิตรกับกองกำลังสามสายธารไว้ชั่วคราว แต่หากกองกำลังขุนเขาหยกและกองกำลังวิทูรกระจ่างล่มสลายลงกะทันหัน กองกำลังสายธารมืดกับกองกำลังสามสายธารก็จะขึ้นผงาดต่อไป

ดังนั้นกองกำลังสายธารมืดจึงหมายเสี้ยมให้กองกำลังสามสายธารและกองกำลังขุนเขาหยกตีกัน ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้กองกำลังวิทูรกระจ่างส่งความช่วยเหลือ ทอนกำลังกองกำลังสามสายธารลงอีกที

แม้โจวจวินเจียจะรู้ว่าเป็นแผน แต่นางก็พร้อมยอมรับ

เพราะพวกเขาจะกลับสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้วนั่นเอง

โจวจวินเจียกับถังหมิงเป็นศิษย์ชั้นน้อยกว่าซูเฉินปีหนึ่ง

เมื่อซูเฉินอยู่เมืองธารน้ำใสมาปีกว่า ก็ถึงเวลาที่โจวจวินเจียกับถังหมิงจะจบการศึกษาแล้ว

ครึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขา ‘ฝึกงาน’ อยู่ในเมืองธารน้ำใส นับเป็นการทดสอบที่สมบูรณ์แบบ และไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ แต่ก็ถึงเวลากลับไปรายงานผลภารกิจแล้ว

แต่ก่อนกลับไป ซูเฉินก็วางแผนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับโจวจวินเจียและถังหมิง

ศึกกลางน้ำครั้งนี้ขื่นขมนัก

กองกำลังสามสายธารสู้กับกองกำลังขุนเขาหยกและกองกำลังวิทูรกระจ่าง ทำให้โลหิตโจรสลัดนับไม่ถ้วนย้อมสายน้ำกลายเป็นสีแดงฉาน สุดท้ายกองกำลังสามสายธารที่มีเรือรบเหนือกว่า มีจระเข้ปีศาจ และมีมนุษย์ปลาก็กำชัยไป

แต่ก่อนจะได้แบ่งของที่ชิงมาได้ กองกำลังสายธารมืดก็พลันบุกโจมตี

กองกำลังสามสายธารทำทีราวกับถูกอุบายลวง หนีไปด้วยความแตกตื่น ทิ้งจระเข้ปีศาจไว้

หลังจบเรื่อง ผู้บัญชาการกองกำลังสายธารมืด ฉื่อต้วนจางก็ลงมือสังหารจระเข้ปีศาจด้วยตนเอง ได้รับเกียรติภูมิสูงส่ง

กองกำลังสามสายธารชนะได้ไม่นานก็ถูกโค่นล้มลง ต้อง ‘จ่าย’ ค่าราคาเป็นจระเข้ปีศาจ ล่าถอยไปอย่างเงียบเชียบ… ส่วนกองกำลังขุนเขาหยกกับกองกำลังวิทูรกระจ่างต่างก็พ่ายแพ้ไป คงทำให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายต้องแค้นเคืองแน่ เอาไว้ปล่อยให้กองกำลังสายธารมืดถูกตาแก่พวกนั้นจัดการไปแล้วกัน

ที่แท้เป็นเพราะจระเข้ปีศาจ มันตัวใหญ่มากเกินกว่าที่โจวจวินเจียจะนำกลับสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ อีกทั้งบนบกกำลังการต่อสู้มันลดลงมาก จึงไม่มีค่าให้นำติดตัวไป จึงกลายเป็น ‘ราคาค่าจ่าย’ ให้กับความพ่ายแพ้เพื่อให้ศัตรูหลงเชื่อแทน

หลังจากจบศึกใหญ่ที่บึงหลิงหยวน ผลคือการล่มสลายของกองกำลังขุนเขาหยก กองกำลังวิทูรกระจ่างและกองกำลังสามสายธาร เหลือเพียงกองกำลังสายธารมืดที่เป็นกลุ่มโจรสลัดที่ยังเรืองอำนาจ

ในวันนี้ โจรสลัดนับร้อยของกองกำลังสายธารมืดมารวมกันที่วงเวียน ณ ฐานทัพใหญ่ของกองกำลังสายธารมืด เกาะควันธาร ก่อกองไฟดื่มกินเฉลิมฉลองครั้งใหญ่

และที่ด้านหน้าลานกว้างคือฉื่อต้วนจางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ปูหนังเสือ รินเหล้าในแก้วกระดูกวัว ดูราวกับคนเถื่อนที่เผยกายออกมาจากแนวป่า รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามีขนหนา แทบเท้ามีมีดขนาดใหญ่วางไว้ หญิงสาวสวมชุดลายปักงดงามยืนอยู่ด้านหลัง กำลังนวดไหล่ให้เขา

ฉื่อต้วนจางเห็นเหล่าโจรสลัดหัวเราะฉลองกันสนุกสนานก็ตะโกนขึ้น “มาดื่มกัน ! วันนี้ไม่เมาไม่เลิก !”

โจรสลัดคนหนึ่งตะโกนตาม “ไม่เมาไม่เลิก !”

“ไม่เมาไม่เลิก !” เหล่าโจรสลัดต่างร้องขึ้นตาม ๆ กัน

“สายธารมืดจงเจริญ !”

“สายธารมืดจงเจริญ !”

“ผู้บัญชาการของเราเก่งหาใครเทียม !”

“ผู้บัญชาการของเราเก่งหาใครเทียม !”

เสียงโห่ร้องจากด้านหน้าตอบรับด้วยเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากด้านล่าง ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังเฉลิมฉลอง

“สายธารมืดจงเจริญ ผู้บัญชาการของเราเก่งหาใครเทียม…… หึ ๆ ชนะเพียงครั้ง คุ้มแล้วหรือที่จะเฉลิมฉลอง ?” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นกลางวง

เสียงไม่ดังนัก แต่กลับทำให้เสียงทั่วทั้งลานเงียบลงได้ ราวกับมีใครบางคนเอ่ยคำพูดอยู่ข้างหูคนทั้งหมด

ฉื่อต้วนจางสีหน้าเปลี่ยนทันที “ใครทำท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ? ออกมาเสีย !”

“กล้ากล่าวว่าข้าทำลับ ๆ ล่อ ๆ หรือ ? ดี ดีมาก ! คงเป็นเพราะข้าไม่ได้เผยกายมานาน ทำให้พวกเด็กเหลือขอต่างมองข้ามหัวข้าไปสิ้นสินะ !” น้ำเสียงชราดังขึ้นจากด้านบน

พวกโจรสลัดเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ พบเพียงชายแก่คนหนึ่งที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า

ชายชราท่าทีสงบ สวมชุดคลุมสีเทา ใบหน้าไม่สะดุดตานัก ทั้งยังดูหยาบคายระคายตาอีกต่างหาก

แต่ถึงกระนั้น ชายชราก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงนัก

“ด่านสู่พิสดาร !” ฉื่อต้วนจางร้องขึ้น

มีเพียงคนด่านสู่พิสดารเท่านั้นที่จะเหาะหินเดินอากาศได้โดยไม่ต้องใช้วิชาหรืออุปกรณ์ใดช่วย

ชายชราที่ยืนอยู่บนฟ้าตวัดสายตาเย็นชามองฉื่อต้วนจาง

ฉื่อต้วนจางพลันเข้าใจ “ผู้อาวุโส โปรดฟังข้าก่อนจะลงมือ……”

ชายแก่ถอนใจ “เจ้ายังมีอะไรให้พูดอีก ? มันก็ล้วนมีแต่ข้ออ้างเท่านั้น ข้าออกมาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อฟังข้ออ้างแก้ตัว บึงหลิงหยวนไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าครองได้คนเดียว ในเมื่อเจ้ากลายเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุด ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร เช่นนั้นก็หายไปเสีย”

“ไม่ บรรพบุรุษของข้า……”

“ข้ารู้จักบรรพบุรุษตระกูลเจ้าดี ชื่อเขารักษาชีวิตเจ้าได้ แต่กองกำลังสายธารมืดหายไปจึงจะดี”

ชายชราพูดจบก็โบกมือ ฝ่ามือยักษ์พุ่งลงจากฟากฟ้า กระหน่ำลงบนพื้นทันที

“หนี !” ทุกคนรีบวิ่งหนีกันอลหม่าน เสียท่าทีเดิมไป

แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ยอม ร้องตะโกนขึ้นมา “สู้ศัตรูสิ !”

แต่สิ่งที่ต้องเผชิญคือฝ่ามือยักษ์ที่ปะทะลงมาจากฟ้า ซัดลงมาคราเดียวเหลือเพียงชิ้นเนื้อ

ตู้ม !

แล้วเสียงราวฟ้าผ่าดังสนั่นก็ดังลั่นขึ้นบนเกาะแห่งนั้น

ฝ่ามือยักษ์เหินลงจากฟ้าราวกับเซียนส่งลงมา คล้ายคันไถยักษ์ขุดลงบนผืนพิภพ ถอนรากถอนโคนกองกำลังสายธารมืดจนสิ้น

ภายในเวลาชั่วหนึ่งก้านธูป บนเกาะควันธารก็เหลือเพียงฉื่อต้วนจาง

บนพื้นคือซากศพที่ถูกบดขยี้เป็นก้อนเนื้อกองพะเนิน

ร่างที่ลอยอยู่บนฟ้าราวกับเซียนกวาดล้างทุกสิ่งอย่างเป็นหน้ากลองอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าพลังอันสูงส่งเป็นเช่นไร

ชายชราลงมือจบก็หายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งฉื่อต้วนจางไว้ลำพัง

“ตาย…… ตายหมดแล้ว……” ฉื่อต้วนจางจ้องภาพตรงหน้าด้วยความว่างเปล่า คำที่ประกาศไว้ก่อนออกจากตระกูลย้อนกลับขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

“ข้าไม่คิดพึ่งอำนาจตระกูล ข้าอยากพึ่งกำลังตนเอง ชิงเอาดินแดนมาได้ด้วยตนเอง !”

“เด็กโง่ เจ้าไม่เข้าใจหรือ อิทธิพลนั้นไร้ผล มีเพียงอำนาจที่ยั่งยืน มีอิทธิพลไว้เพื่อกวาดหาทรัพยากรได้ง่ายขึ้น จะได้ทำตนให้แกร่งขึ้นได้เท่านั้น ใช้อิทธิพลเสริมความแกร่งคือหนทางที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่เจ้าทำคือการนำรถม้าไปวางไว้หน้าม้า”

“ไม่ ข้าไม่เชื่อ !”

“เช่นนั้นก็เอาเลยเจ้าหนุ่ม ยามเจ้าล้มจะได้เรียนรู้ แต่ไม่ต้องหวง หากเจ้าไม่ไปกระตุกหนวดคนที่แม้แต่ข้ายังไม่กล้าหือแล้วละก็ หน้าแก่ ๆ ของข้าก็อาจคุ้มกะลาหัวเจ้าได้บ้าง หากออกไปแล้วล้มเหลวก็กลับมาที่บ้านเถอะ”

บทสนทนาในอดีต ตอนนี้ได้ยินชัดเจนในใบหู ฉื่อต้วนจางเข้าใจเรื่องนี้ในที่สุด

สิ่งที่ผู้อาวุโสพูดนั้นถูกต้อง เขาทำเรื่องไร้สาระมาตั้งแต่ต้น

ตอนนี้ฝันถูกทำลายย่อยยับ เขาก็เข้าใจแล้ว คงได้เวลากลับไปแล้วกระมัง

ฉื่อต้วนจางยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนจะตั้งสติได้

เขาถอนใจ จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป

เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “อย่างไรพวกเขาก็ติดตามท่านมานาน ถึงท่านจะทิ้งฐานทัพไป อย่างน้อยก็ควรทำศพให้พวกเขากระมัง ?”

“ใครน่ะ ?” ฉื่อต้วนจางหันมาด้วยความตกใจ

เงาร่างสีดำเดินอยู่ในความมืดมิด

หน้ากากปีศาจที่สวมอยู่บนใบหน้าส่องประกายระยับกับแสงไฟ

“หน้ากากปีศาจ ?” ฉื่อต้วนจาง ชะงักไป

เขารู้ว่าหน้ากากปีศาจแห่งกองกำลังสามสายธารเป็นใคร แต่เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?

ผู้มาเยือนใช้แขนขวาแตะลงบนหน้ากาก ก่อนจะปลดมันออก เผยให้เห็นใบหน้าชายหนุ่มคนหนึ่ง

ฉื่อต้วนจางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมถอดหน้ากากต่อหน้าเขา “เจ้า……”

“ให้ข้าได้แนะนำตัวสักหน่อย ข้ามีนามว่าซูเฉิน เจ้ากรมคนปัจจุบันของกรมพลังต้นกำเนิดแห่งเมืองธารน้ำใส” ชายหนุ่มเอ่ย

ซูเฉิน ?

ฉื่อต้วนจางย่อมเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เขาเองก็เป็นศัตรูกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหมือนอีกฝ่ายเช่นกัน

แต่เขาก็ไม่คิดใสซื่อว่าซูเฉินกับเขาจะเป็นสหายเพราะมีศัตรูร่วมกัน และการที่ซูเฉินเผยใบหน้าก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?”

ชายหนุ่มถอนใจ “ย่อมมาเพื่อทำให้ท่านฉื่อรั้งอยู่ที่เกาะแห่งนี้เช่นกัน กองกำลังสายธารมืดถูกกวาดล้างแล้ว ไม่จำเป็นต้องเหลือท่านฉื่อไว้อีกแล้วกระมัง ? เพราะท่านฉื่อที่ไร้ลมหายใจนั้นมีค่ามากกว่าท่านที่ยังมีลมหายใจ”

“เจ้าคิดว่ามีฝีมือมากพอหรือ ?”

“ข้าย่อมมี !” ซูเฉินยื่นมือซ้ายออกมา ทำให้เพลิงสีดำพุ่งออกไป……