“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ เอ่อ ผมจะเข้าไปจุดธูปนะ เดี๋ยวต้องรีบกลับ ถ้าไต้ซือยุ่งอยู่ก็เชิญก่อนเลยครับ ไม่ต้องสนใจผม” หูทั่นกล่าวจบก็เดินเข้าอุโบสถ เงยหน้าขึ้นพบว่าไม่มีพระพุทธรูป แต่มีภาพสีทองสว่างไสวเพิ่มมา ด้านบนมีพระโพธิสัตว์สององค์ เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมทั้งคู่
หลังจากเรื่องราวครั้งก่อน หูทั่นตั้งใจหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธ รู้ว่านี่คือพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกร มีอภินิหารกว้างขวาง ขอพรได้มากกว่าพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรเยอะ หูทั่นก็ไม่โลภ ภาวนาอยู่เงียบๆ หวังว่าตนกับครอบครัวจะสงบสุข จากนั้นเข้าไปจุดธูปธรรมดาแล้วขอตัวลา
ฟางเจิ้งส่งหูทั่นแล้วถึงเปิดซองจดหมาย ข้างในไม่ใช่จดหมาย แต่เป็นบัตรเชิญ
พอเปิดอ่าน ฟางเจิ้งตะลึงงัน…
“วัดเมฆาขาวจะจัดพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้นเดือนหน้า จะเชิญฉันไปด้วย?” ฟางเจิ้งตกใจจริงๆ!
วัดเมฆาขาวเป็นวัดใหญ่ขนาดกลาง มีพื้นที่ไม่น้อย ตั้งอยู่บนเขาเมฆาขาว วัดเมฆาขาวจะจัดพิธีบ่อยครั้ง มีแทบทุกเดือน ทว่าปีนี้พิธีของปีใหม่ใหญ่ที่สุด และเป็นครั้งที่อลังการที่สุด เรียกว่าพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ
พิธีนี้จะเป็นการอวยพรให้ปุถุชน ดังนั้นหนึ่งวัดจะรับผิดชอบผลกรรมในนั้นไม่ไหว เลยมักจะเชิญวัดอื่นๆ มาร่วมด้วย ทุกวัดที่ร่วมงานจะถูกพิมพ์เป็นสมุดรายชื่อ และยังมีประกาศผืนใหญ่แขวนไว้ข้างนอก ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นสื่อข่าว ฆราวาสหรือญาติโยมจะเห็นประกาศเหล่านี้ เป็นการประกาศชื่อเสียงให้กับทุกวัด
พูดได้ว่าวัดที่ได้ร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิของวัดเมฆาขาวเทียบได้กับเป็นที่ยอมรับของรัฐบาล ส่งประกาศนียบัตรให้เป็นวัดมาตรฐานมาให้ แต่วัดที่ไม่มีสิทธิ์ได้ไปจะเป็นเหมือนวัดเถื่อน แม้จะไม่ได้พูด แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นคือการยอมรับอย่างถูกต้อง ปุถุชนก็เป็นแบบนี้ วัดเมฆาขาวไม่ได้เชิญคุณ คุณจะหน้าด้านบอกว่าคุณเป็นวัดเหรอ? ของปลอมรึเปล่า? พวกหลอกลวงรึเปล่า?
นี่คือพลังจากผลกระทบของวัดเมฆาขาว!
และเพราะประโยชน์เหล่านี้เอง พิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิของวัดเมฆาขาวทุกปีจะมีวัดมากมายแก่งแย่งกันเข้าร่วม แต่หลวงจีนไป๋อวิ๋นแห่งวัดเมฆาขาวไม่ใช่คนเห็นแก่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่ว่าวัดใหญ่หรือเล็ก ปกติคือขอแค่เขารู้จักก็จะเชิญมา ดังนั้นหลวงจีนไป๋อวิ๋นจึงเป็นที่เคารพของทั้งเมืองเฮยซาน ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์คุณลักษณะของเขา
ทว่าตอนแรกวัดเอกดรรชนียังไม่ได้ถูกเชิญ ถึงยังไงก็กันดารเกินไป ประกอบกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วเป็นคนรักสันโดษ วัดเมฆาขาวเลยไม่รู้ว่ามีวัดเอกดรรชนีอยู่ ดังนั้นแล้ว วัดเอกดรรชนีเลยไม่เคยได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิมาก่อน
พอนึกขึ้นได้ว่าทุกปีตอนนี้ หลวงจีนหนึ่งนิ้วจะมองไปทางวัดเมฆาขาวพลางพึมพำช่วยสวดมนต์อวยพรอยู่เงียบๆ แล้ว ฟางเจิ้งถึงกับยิ้ม “หลวงตาหนึ่งนิ้วไม่เคยไปมาก่อนเลยนี่ ครั้งนี้พวกเราได้รับเชิญแล้ว ท่านน่าจะดีใจใช่ไหม? เหอะๆ…”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อยก่อนเก็บบัตรเชิญไป พิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิจะจัดเดือนหน้า ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน เขาเองก็ไม่รีบ
ช่วงเวลาต่อมาฟางเจิ้งทำความสะอาดอุโบสถทุกวัน สวดมนต์ เขียนอักษร เล่นกับหมา หยอกกระรอก ใช้ชีวิตสบายๆ…
แต่มีคนกลับไม่เป็นสุข
“อะไรนะ? วัดเมฆาขาวเชิญวัดเอกดรรชนีเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ?” อู้หมิงมองหลวงจีนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
“ศิษย์พี่ ผมก็เพิ่งได้ข่าวมา ยืนยันแล้วว่าเชิญจริงๆ ผมรู้ว่าท่านไม่ถูกกับวัดเอกดรรชนีเลยเอามาบอกเป็นคนแรกเลย” หงเสียงกล่าว
“หงเสียง ท่านทำดี จากนี้ท่านจะได้รับผลประโยชน์ เรื่องนี้จบที่อาตมานี่แหละ อย่าพูดกับใครรู้ไหม? โดยเฉพาะศิษย์พี่อู้ซิน เขาเป็นคนซื่อสัตย์เกินไป ทั้งยังมีอคติกับอาตมาตลอด เดี๋ยวจะเกิดปัญหาเอา” อู้หมิงกำชับ
“วางใจเถอะศิษย์พี่ ผมอยู่ข้างท่าน ศิษย์พี่อู้ซินหัวแข็งเกินไป” หงเสียงตบหน้าอกรับปาก
อู้หมิงพยักหน้า ก่อนตรึกตรองว่าจะจัดการปัญหาของฟางเจิ้งยังไง เสียหน้าเพราะฟางเจิ้งมาสองครั้งติดกันแล้ว โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย ถูกฟางเจิ้งว่าต่อหน้าคนมากมาย ไม่มีเกียรติหลงเหลือแล้ว ยังไงก็ต้องชำระแค้นนี้ให้ได้!
ตอนนี้เองหงเสียงพูดเสียงเบา “ศิษย์พี่อู้หมิง ความจริงแล้วจะจัดการฟางเจิ้งนั่นไม่ยากเลย”
“อ้อ? ท่านมีวิธียังไง? พูดมาสิ!” อู้หมิงตาเปล่งประกาย
หงเสียงเข้ามาใกล้ พูดเสียงเบา “วัดเมฆาขาวตั้งอยู่บนเขาเมฆาขาว ถึงเขาเมฆาขาวจะอยู่ในเขตภูเขาฉางไป๋ แต่เป็นภูเขากลางแม่น้ำ มีน้ำโอบล้อมตลอดทั้งปี ถ้าจะขึ้นเขาก็ต้องนั่งเรือข้ามไป…โธ่เอ๊ย!
อู้หมิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “อันดีนี้ๆ…หึๆ ถึงตอนนั้นจะให้ฟางเจิ้งขายหน้าจนไม่เหลือ ดูซิว่าเขาจะยังมีหน้าไปร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิอีกไหม! ไม่แน่กลับมาอาจจะรับไม่ได้สึกไปเลยก็ได้ ฮ่าๆ…”
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่ามีคนกำลังวางแผนต่อตน วันเวลายังคงผ่านไปอย่างเงียบสงบ
บางครั้งจะมีญาติโยมขึ้นเขามาจุดธูปขอพร
กาลเวลาบนเขาวูบผ่านไปเกือบครึ่งเดือน เห็นใกล้จะเริ่มพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฟางเจิ้งเลยต้องลงเขาไปหาให้หวังโอ้วกุ้ยช่วย
“อะไรนะ? วัดเมฆาขาวเชิญแกไปเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ?” หวังโอ้วกุ้ยได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นมาก
ฟางเจิ้งแบะปาก ทำไมเขารู้สึกว่าหวังโอ้วกุ้ยดีใจกว่าเขาอีก! ใครเป็นเจ้าอาวาสกันแน่เนี่ย?
หวังโอ้วกุ้ยเห็นฟางเจิ้งพยักหน้าก็หัวเราะดังลั่น “เป็นเรื่องดีสิ! เป็นเรื่องดีมากด้วย วัดเอกดรรชนีจะมีชื่อเสียงจริงๆ แล้ว! ถ้ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวล่ะก็ ในเมืองจะให้การสนับสนุน หมู่บ้านเราก็จะดังตามไปด้วย ฮ่าๆ…”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ผู้ใหญ่บ้านก็เป็นผู้ใหญ่บ้านจริงๆ ความคิดไม่ไปทางเดียวกับเขาเลย
“เอาเถอะ วางใจ ตอนที่แกไม่อยู่ฉันจะให้คนผลัดกันไปดูแลวัดให้ รับรองแกกลับมาไม่มีฝุ่นสักนิด ขนไม่หายแม้แต่เส้นเดียว” หวังโอ้วกุ้ยตบหน้าอกรับประกัน
หวังโอ้วกุ้ยรับปากแล้วฟางเจิ้งถึงวางใจ หวังโอ้วกุ้ยยังถามอีกว่าเงินไปข้างนอกพอไหม ไม่พอเขาจะให้ ถึงฟางเจิ้งจะอยากรับไว้มาก แต่เงินนี่ไม่ใช่เงินค่าจุดธูปเลยรับไว้ไม่ได้ ดังนั้นได้แต่ปฏิเสธไป ก่อนหิ้วกระเป๋าออกจากหมู่บ้าน ในกระเป๋ามีอาหารระหว่างทางไปวัดเมฆาขาว จนขนาดนี้เดาว่าคงกินร้านอาหารไม่ได้
พอออกจากหมู่บ้าน ในที่สุดฟางเจิ้งก็อยู่บนเส้นทางไปยังวัดเมฆาขาว ส่วนกระรอกกับหมาป่าเดียวดายให้อยู่ดูแลวัด
ตั้งแต่ฟางเจิ้งโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ออกไปไหนไกลขนาดนี้คนเดียว มีความกลัวในใจเล็กน้อย แต่พอนึกถึงที่ที่จะไปก็ตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ที่กังวลมีอย่างเดียวคือเงินไม่พอ…
หมู่บ้านเอกดรรชนีมีรถโดยสารตามเวลา วิ่งระหว่างหมู่บ้าน ทุกวันจะไปกลับหลายหมู่บ้าน จากนั้นจะขับไปยังอำเภอซงอู่ทั้งหมด ตอนบ่ายถึงกลับมาพร้อมกันอีกที หนึ่งวันหนึ่งเที่ยว ยิ่งเช้ายิ่งมีที่นั่ง ถ้าสายก็ได้แต่รอวันพรุ่งนี้
ฟางเจิ้งขึ้นรถประจำทาง ในรถมีคนรู้จัก ทุกคนก็รู้จักฟางเจิ้งเหมือนกัน จึงดึงไปคุยทางนู้นทีทางนี้ที…
เมื่อถึงอำเภอซงอู่ ฟางเจิ้งซื้อตั๋วรถเรียบร้อยแล้ว พอมองที่นั่งก็เก้อเขินเล็กน้อย…
……………………………………………..……….