ตอนที่ 233 แบบนี้ก็ได้เหรอ / ตอนที่ 234 ภาพลักษณ์ป่นปี้

ลืมรักเลือนใจ

ตอนที่ 233 แบบนี้ก็ได้เหรอ

 

 

ที่จริงแล้วสิ่งที่เผยอวี้เฉิงยืนกรานจริงๆ มีแค่เรื่องที่ให้เธอไปพินนาเคิล เอนเตอร์เทนเมนต์เพียงเรื่องเดียว

 

 

หลินเยียนอดหวนนึกถึงคำพูดที่เผยหนานซวี่พูดกับเธอบนรถตอนที่ไปรับเธอที่กองถ่ายคราวนั้นไม่ได้

 

 

ตอนนั้นเธอถามเผยอวี้เฉิงว่าถือสาที่เธอชื่อเสียงแย่ ถูกด่าทั่วทั้งอินเตอร์เน็ต ถูกด่าว่าไร้คุณสมบัติ นิสัยแย่ ฝีมือการแสดงห่วยรึเปล่า…

 

 

“ถือสา”

 

 

“ต้องให้ฉันจัดการพวกมันให้เธอรึเปล่า?”

 

 

นี่คือคำตอบของเผยอวี้เฉิงในตอนนั้น

 

 

สิ่งที่เขาถือสาก็คือคนที่รังแกเธอและลบหลู่เธอพวกนั้น

 

 

ที่เผยอวี้เฉิงไม่ปฏิเสธเป็นเพราะเคยคิดที่จะทำแบบนี้จริง แถมยังรู้สึกว่าเธอไม่เชื่อใจเขาเลย ดังนั้นจึงไม่อธิบาย?

 

 

ถึงแม้ความจริงจะเป็นดินโคลนที่สกปรกและดำมืด แต่ ณ ส่วนลึกกลับซุกซ่อนประกายแสงรำไรเอาไว้…

 

 

“แค่ก…” เผยอวี้เฉิงไออีกครั้ง

 

 

หลินเยียนพอเห็นรูปการณ์ก็กวาดสายตามองลูกน้องพวกนั้นของเผยอวี้เฉิงทันที ตวาดอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “นี่ คนเขากระอักเลือดแล้ว พวกนายยังจะยืนบื้อหาอะไรอีก! รีบไปตามหมอมาสิยะ!”

 

 

ทุกคนที่ถูกตวาดจนมีสีหน้ามึนงง “…”

 

 

เมื่อกี้เธอยังแค้นเสียจนอยากจะฆ่าลูกพี่ให้ตายอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?

 

 

“ก่อนหน้านี้ลือกันว่านายป่วยหนัก สลบไสลไม่ได้สติมาตลอดอะไรต่อมิอะไรนั่น…หรือว่าจะเป็นความจริง?” หลินเยียนพูดงึมงำด้วยใบหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย

 

 

เผยอวี่ถังพอได้ยินก็รีบกระโดดออกมาพูดทันที “พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้พี่ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ขอเพียงพี่อยู่ข้างๆ พี่ชายผม อย่าทะเลาะว่าจะเลิกกับพี่ชายผม พี่ชายผมต้องแข็งแรงแน่นอนครับ!”

 

 

เรื่องบ้าอะไร?

 

 

หลินเยียนกลอกตาค้อนเผยอวี่ถังอย่างอับจนคำพูด “หรือว่าฉันเป็นโอสถเซียน เห็ดหลินจือรึไง?”

 

 

ขณะนี้เองพวกฉินฮวน ซิงเฉิน และเฉิงมั่วที่อยู่ด้านข้างต้องจ้องมองหลินเยียน เผยสีหน้า “เธอไม่ใช่แค่โอสถเซียน เห็ดหลินจือ” ออกมา

 

 

“ฉันกำลังถามเรื่องจริงจังอยู่นะ!” หลินเยียนพูดอย่างอารมณ์เสีย

 

 

“ผมก็ตอบจริงจังนี่นา…” เผยอวี่ถังพูดพึมพำเสียงแผ่วเบา

 

 

ขอเพียงพี่ใหญ่ไม่สูญเสียการควบคุม อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

 

 

หลินเยียนรู้สึกว่าคนพวกนี้ช่างประหลาดเกินไปแล้ว เธอปล่อยมือเผยอวี้เฉิง จากนั้นก็ควานหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เตรียมโทรเรียกรถส่งเผยอวี้เฉิงไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง

 

 

ผลก็คือ มือของเผยอวี้เฉิงที่เพิ่งจะปล่อยไปเมื่อกี้นี้…

 

 

นาฬิกาสีเงินบนข้อมือเขาเรือนนั้นก็เริ่มร้อง “ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” ขึ้นมาอีก…

 

 

ทุกคนที่อยู่ด้านข้าง “…!!!”

 

 

เผยอวี่ถังจ้องนาฬิกา เอ่ยปากพูดด้วยความประหวั่นลนลาน “ดูๆๆ ! ผมบอกแล้วไงว่าปล่อยไม่ได้! ปล่อยมือไปไม่ได้ไงล่ะ!”

 

 

หา?

 

 

หลินเยียนถูกเผยอวี่ถังทำให้ตกใจจนรีบคว้ามือเผยอวี้เฉิงขึ้นมาใหม่ เสียงดัง “ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” ของนาฬิกาข้อมือก็ช้าลงไปไม่น้อย เพียงแต่ยังดังไม่หยุดเหมือนเดิม

 

 

ตอนนี้หลินเยียนถึงพบว่า ทุกคนรวมทั้งเผยอวี่ถังพอได้ยินเสียงดังติ๊ดติ๊ดจากนาฬิกาข้อมือ เผยอวี้เฉิง ก็จะแสดงสีหน้าตื่นเต้นเป็นล้นพ้นออกมา

 

 

เมื่อครู่ช่วงเสี้ยววินาทีที่เผยอวี้เฉิงกระอักเลือด เหมือนจะเป็นตอนที่นาฬิกาข้อมือเรือนนี้เริ่มส่งเสียงร้องอย่างรุนแรงเหมือนกัน…

 

 

หรือนาฬิกาเรือนนี้จะเป็นของจำพวกเครื่องตรวจจับร่างกายที่ทางการแพทย์ใช้อะไรสักอย่างหนึ่ง?

 

 

เกี่ยวพันกับสภาวะทางร่างกายของเผยอวี้เฉิง?

 

 

หลินเยียนรับรู้โดยอัตโนมัติ เผยอวี้เฉิง รวมทั้งนาฬิกาเรือนนี้ มีความเชื่อมโยงอะไรกับเธอหรือเปล่านะ

 

 

แต่ก็นึกไม่ออกเลย จะเกี่ยวกับเธอได้ยังไงกันเล่า!

 

 

“นี่มัน…ไม่ใช่นาฬิกาข้อมือ? แต่เป็นเครื่องตรวจจับร่างกายใช่ไหม?” หลินเยียนเอ่ยปากถามเลียบเคียง

 

 

เผยอวี้เฉิงไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

หลินเยียนพอได้ยินว่านาฬิกาข้อมือยังคงส่งเสียงต่อไปอยู่ตรงนั้นก็ร้อนใจอยู่บ้าง “หมายความว่านี่คือเครื่องตรวจจับร่างกายจริงๆ ? ถ้ามันดังอยู่ตลอดก็หมายความว่าสภาพร่างกายนายไม่ดี? เมื่อกี้ยังไม่ดังอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเริ่มดังอีกแล้วล่ะ! งั้น…งั้นต้องทำยังไงถึงจะทำให้มันไม่ดังอีก…”

 

 

เผยอวี้เฉิงมองดวงหน้าน้อยๆ ที่แสดงความร้อนรนออกมาเล็กน้อยของหญิงสาวอย่างสงบนิ่ง วินาทีต่อมาก็ค่อยๆ โน้มตัวลง ประทับจูบที่แสนจะแผ่วเบายิ่งนักลงบนริมฝีปากหญิงสาว…

 

 

ถัดจากจูบซึ่งแผ่วเบาราวกับขนนก เขาก็พูดออกมาว่า “แบบนี้ก็ได้แล้ว…”

 

 

วินาทีต่อมาเครื่องตรวจจับก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ

 

 

หลินเยียน “…”

 

 

 

 

ตอนที่ 234 ภาพลักษณ์ป่นปี้

 

 

หลายคนที่อยู่ด้านข้างต่างมองดูสองคนซึ่งเมื่อกี้ยังทะเลาะกันจนลั่นฟ้าสะเทือนดิน แต่ตอนนี้กลับเริ่มอี๋อ๋อกันอย่างเงียบๆ อีกแล้ว “…”

 

 

เผยอวี่ถังทั้งรู้สึกยินดีและตื่นเต้นอย่างยิ่ง “ดีจังเลย! การขอพรของเราได้ผลแล้ว!”

 

 

นี่ไม่ใช่ทะเลาะกันที่หัวเตียงแล้วไปคืนดีกันที่ปลายเตียงอย่างนั้นเหรอ

 

 

หลินเยียนเบิกตาโพลง ขนตากระเพื่อมไหวอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเผยอวี้เฉิงลุกขึ้นถึงจะได้สติกลับมาในที่สุด

 

 

เธอจ้องมองเผยอวี้เฉิงอย่างเหม่อลอยอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นก็มองไปที่นาฬิกาบนข้อมือเขาเรือนนั้นทันที

 

 

สงบนิ่ง…

 

 

ไม่ดังแล้วจริงด้วยแฮะ

 

 

นี่มันนาฬิกามหัศจรรย์อะไรกันเนี่ย

 

 

หรือเธอจะเป็นโอสถเซียนได้จริงๆ?

 

 

ขณะนี้เองเฉิงมั่วก็รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้ามาหาทันที เขามองเผยอวี้เฉิงพร้อมพูดรายงาน “ประธานเผยครับ ศาตราจารย์วิลสันกับทีมมาถึงแล้ว ตอนนี้อยู่ที่คฤหาสน์เมฆ จะให้ผมเชิญเขามาตรวจคุณหรือเปล่าครับ”

 

 

เมื่อหลินเยียนได้ยินก็เอ่ยปากขึ้นมาทันทีโดยไม่รอให้เผยอวี้เฉิงพูด “หมอมาแล้วเหรอ งั้นก็รีบให้เขาตรวจอาการคุณเผยสักหน่อยเถอะ!”

 

 

เฉิงมั่วเมื่อได้ยินก็มองเผยอวี้เฉิงอย่างลังเล

 

 

เผยอวี้เฉิงรังเกียจหมอพวกนี้มาตลอด หากไม่ได้อยู่ในสภาวะที่สูญเสียสติสัมปชัญญะก็จะไม่ให้พวกเขาเข้ามาใกล้เลย

 

 

เผยอวี้เฉิง “เตรียมรถเถอะ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนแทบจะโล่งอก

 

 

ดีแล้วๆ คืนดีกันแล้ว ในที่สุดแผ่นดินก็สงบสุขแล้ว!

 

 

ในที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน ท่ามกลางมรสุมกลิ่นคาวเลือดอีกแล้ว!

 

 

สันติภาพจงเจริญ!

 

 

อาหารหมา[1]จงเจริญ!

 

 

มีแค่จี้หลานซึ่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมมาตลอดที่มีสีหน้าถมึงทึงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

……

 

 

คฤหาสน์เมฆ

 

 

บนตัวเผยอวี้เฉิงต่อท่อจากเครื่องวัดสารพัดอย่าง กำลังนอนตรวจร่างกายอย่างละเอียดอยู่ข้างใน

 

 

ขั้นตอนการตรวจไม่อาจถูกรบกวนได้ หลินเยียนจึงรออยู่ที่สวนดอกไม้ขนาดเล็กที่อยู่นอกอาคาร

 

 

ขณะนี้มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา คุณแม่โทรมานั่นเอง

 

 

พอหลินเยียนเห็นว่าแม่โทรมาก็รีบรับสาย “ฮัลโหล แม่? มีอะไรเหรอคะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

 

 

มีเสียงที่แฝงความยินดีเล็กน้อยของเฮ่อมู่อวิ๋นแว่วมาจากทางปลายสายโทรศัพท์ “ไม่มีอะไรๆ! แม่แค่อยากโทรมาบอกลูกสักหน่อย ลูกไม่ต้องห่วงเรื่องของที่บ้านแล้วนะ แม่เพิ่งได้รับข่าวมา ทุกอย่างจัดการหมดเรียบร้อยแล้วจ้ะ”

 

 

หลินเยียนเมื่อได้ฟังก็ประหลาดใจเล็กน้อย “จัดการเรียบร้อยหมดแล้วเหรอคะ”

 

 

เร็วขนาดนี้เชียว…

 

 

“ใช่จ้ะ พูดไปมันก็แปลกนะ จู่ๆ เจ้าของโครงการก็แจ้งมาว่าแผนมีการเปลี่ยนแปลง ไม่รื้อถอนแล้ว อาเซี่ยของลูกก็โทรมาบอกว่าเรื่องจัดการเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” เฮ่อมู่อวิ๋นตอบ

 

 

“อย่างนั้นด้านคุณตาล่ะคะ” หลินเยียนถาม

 

 

เฮ่อมู่อวิ๋น “ตอนนี้แม่อยู่กับคุณตา แม่ก็ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมสักเท่าไหร่ สรุปแล้วเล่อเฟิงบอกว่าจัดทัวร์นาเมนต์ได้ตามปกติแล้วจ้ะ”

 

 

“งั้นก็ดีค่ะ!” หลินเยียนโล่งอก จากนั้นก็พูดกับมารดาต่อทันที “ทางหนูยังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ ผ่านไปอีกสักหน่อยหนูจะไปหาแม่ที่บ้านคุณตานะคะ”

 

 

“ได้ๆๆๆ เสี่ยวเยียนเอ๊ย ขับรถให้มันช้าๆ หน่อยรู้ไหม”

 

 

“ได้ค่ะ แม่ หนูรู้แล้ว!”

 

 

เมื่อหลินเยียนคุยกับแม่เสร็จก็วางสาย

 

 

เพิ่งจะวางสายและหันกลับไปก็มองเห็นเผยหนานซวี่ยืนอยู่ข้างหลังเธอโดยห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว

 

 

“ราชาภาพยนตร์เผย…” หลินเยียนส่งเสียงพึมพำ

 

 

“คุณหลิน วันนี้ต้องขอบคุณมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่คุณ พี่ใหญ่ผมคงอันตรายแล้วจริงๆ” ใบหน้าเผยหนานซวี่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

 

 

หลินเยียนพอได้ฟังก็กระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง รู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง วันนี้เธอไม่อาจยั้งการระเบิดอารมณ์ กลับระเบิดออกมาต่อหน้าไอดอลเสียได้

 

 

ภาพลักษณ์ป่นปี้แล้วจริงๆ

 

 

“ฉันก็ผิดเหมือนกันค่ะ ฉันหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ถ้าตอนนั้นฉันเยือกเย็นสักนิด คุยกับคุณเผยให้ดี บางทีอาจไม่เกิดความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแบบนี้ก็ได้” หลินเยียนเอ่ย

 

 

 

 

[1] อาหารหมา คนโสดจะถูกเรียกว่าหมาโสด ดังนั้นเวลาเห็นคนรักกันก็จะรู้สึกเหมือนถูกป้อนอาหารหมาให้กิน