ตอนที่ 90-2 รักษาเมืองหย่งหลิน

ชายาเคียงหทัย

ณ ด่านซุ่ยเสวี่ย

 

 

           มู่หรงเซิ่นที่ชุดเต็มไปด้วยคราบเลือด เดินเข้ามาในกระโจมด้วยท่าทางผึ่งผาย ประหนึ่งรู้ว่ากองทัพกบฏของหลีอ๋องใกล้เข้ามาทุกที วันนี้กองทัพหนานจ้าวที่อยู่นอกเมืองก็เริ่มโจมตีขึ้นมาอย่างหนักหน่วง ท้ายที่สุดมู่หรงเซิ่นจึงต้องนำทัพออกไปสู้รบกับอีกฝ่ายตัวตนเองอยู่พักใหญ่ พวกเขาจึงค่อยล่าถอยกลับไป ยามนี้จึงพอมีเวลาพักหายใจได้หน่อย มู่หรงเซิ่นยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดก็รีบร้อนกลับเข้ามายังกระโจม เพื่อฟังรายงานการศึกจากเมืองหย่งหลิน “ท่านแม่ทัพ เช้าวันนี้หลีอ๋องได้นำทัพจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายมาถึงที่ด้านหน้าเมืองหย่งหลินแล้วขอรับ”

 

 

           มู่หรงเซิ่นสะบัดมือขึ้นทันที “เหลวไหล! เมืองหย่งหลินมีพื้นที่อยู่เท่านั้น ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเขาจะเอาไปไว้ที่ใดกัน”

 

 

           หัวหน้าหน่วยทหารนายหนึ่งยืดตัวขึ้นกล่าวว่า “ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนั่น เกรงว่าน่าจะจัดเตรียมมาสำหรับโจมตีด่านซุ่ยเสวี่ยของเราขอรับ วานนี้อวิ๋นถิงและซย่าซูได้ออกไปต่อสู้กับทัพหน้าของหลีอ๋องจนถอยทัพกลับไป ทั้งยังได้ตัดหัวผู้นำทัพหน้าที่เข้ามาเปิดทางอีกด้วย วันนี้เกรงว่าสถานการณ์ทางสองคนนั่นคงไม่ดีนักขอรับ”

 

 

มู่หรงเซิ่นพยักหน้า “ครั้งนี้อวิ๋นถิงกับซย่าซูทำศึกได้ไม่เลว”

 

 

           “ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นข้าน้อยให้คนไปดูที่หย่งหลินหน่อยดีหรือไม่ เกรงว่าวันนี้สองคนนั่นคงจะเอาไม่อยู่” รองผู้บัญชาการทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นกังวล

 

 

มู่หรงเซิ่นส่ายหน้าด้วยความหนักใจ “ทหารของหนานจ้าวสามารถบุกโจมตีได้ทุกเมื่อ อีกอย่างพวกเราเองก็แบ่งกำลังพลออกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

 

 

หัวหน้าหน่วยทหารทุกคนต่างนิ่งเงียบไป การแบ่งกำลังพลออกจากด่านซุ่ยเสวี่ย ก็เท่ากับเป็นการเปิดด่านซุ่ยเสวี่ยต้อนรับทหารหนานจ้าวให้เข้ามา หากไม่แบ่งกำลังพลออกไป เมืองหย่งหลินที่มีทหารอยู่เพียงสองหมื่นนาย ไม่ช้าก็เร็วคงถูกทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของหลีอ๋องกลืนกินไปจนสิ้น ถึงตอนนั้นด่านซุ่ยเสวี่ยที่ถูกโอบล้อมจากทั้งสองด้าน คงรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ…พวกเขาทำไม่ได้แม้แต่จะบุกออกจากวงล้อมไปด้วยซ้ำ ด้วยเพราะจุดที่พวกเขาต้องรักษาการณ์คือด่านซุ่ยเสวี่ย ต้องคอยปกป้องประตูแห่งแคว้นของต้าฉู่ นอกเสียจากทหารประจำด่านซุ่ยเสวี่ยถูกสังหารจนสิ้นแล้ว พวกเขาไม่มีทางให้คนต่างชนเผ่าเหยียบเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว นี่เป็นสัตย์สาบานที่ผู้ที่คอยปกป้องด่านซุ่ยเสวี่ยด้วยชีวิตและเลือดเนื้อทุกรุ่นตลอดร้อยกว่าปีได้ให้ไว้

 

 

           “แม้งเอ้ย! หลีอ๋องถึงขนาดสมคบคิดกับคนหนานจ้าว!” หัวหน้าหน่วยทหารหัวร้อนสบถออกมาด้วยความโกรธ จะมีเรื่องใดที่น่าหัวเสียไปกว่าการที่ตนเองกำลังต่อสู้ด้วยชีวิตอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด แต่กลับถูกคนของตนเองแทงจากข้างหลังอีกหรือ ตัวเป็นถึงท่านอ๋องผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นน้องชายร่วมอุทรกับฮ่องเต้ แต่กลับสมคบคิดกับคนต่างชนเผ่า นี่มันเรื่องอันใดกัน

 

 

           “เรียนท่านแม่ทัพ มีรายงานทหารจากเมืองหย่งหลินขอรับ!”

 

 

           “รีบให้เข้ามา!” เสียงก่นด่าภายในกระโจมใหญ่เงียบกริบลงทันที ทุกคนต่างหันไปมองนายทหารที่เข้ามารายงานสถานการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ด้วยเกรงว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่ดีออกจากปากเขา

 

 

           “เรียนท่านแม่ทัพ เช้าตรู่วันนี้ กองทัพกบฏฝ่ายหลีอ๋องบุกเข้าโจมตีเมืองอยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม ตอนเที่ยงตรงกองทัพฝ่ายกบฏถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ถอยไป นายทหารซย่าขอให้ท่านแม่ทัพวางใจ ขอเพียงเมืองหย่งหลินยังมีทหารอยู่เพียงหนึ่งคน จะไม่ยอมให้กองทัพฝ่ายกบฏข้ามเมืองหย่งหลินมาได้ขอรับ” นายทหารเอ่ยรายงานด้วยเสียงก้องกังวาน

 

 

           “ดียิ่งนัก เจ้าสองคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ” มู่หรงเซิ่นยินดีเป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่เขาส่งอวิ๋นถิงและซย่าซูไปยังเมืองหย่งหลินนั้น ในใจเขายังเป็นกังวลอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ยังหนุ่มนัก แต่ด่านซุ่ยเสวี่ยก็มิมีผู้ใดที่สามารถส่งไปได้แล้วจริงๆ ไม่คิดว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นจะรบชนะได้ถึงสองวันติดกัน คิดไปคิดมา มู่หรงเซิ่นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ทหารของหลีอ๋องจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายมากันครบแล้วอวิ๋นถิงกับซย่าซูโจมตีพวกเขาจนล่าถอยไปได้อย่างไร”

 

 

           ทหารที่มารายงานข่าวตอบอย่างไม่ปิดบังว่า “เดิมทีพวกเราก็เกือบต้านไว้ไม่อยู่แล้วขอรับ เพียงแต่จู่ๆ ก็มีทหารม้าในชุดดำจำนวนมากเข้ามาช่วยโจมตีศัตรูจนล่าถอยไป นอกจากนี้ ผู้ว่าการเขตหย่งโจวยังถูกสังหารกลางกองทัพของหลีอ๋องด้วยขอรับ”

 

 

           มู่หรงเซิ่นอึ้งไป มึนงงเล็กน้อยว่านายม้าในชุดดำเหล่านั้นคือผู้ใด เพียงแต่การที่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวถูกสังหารนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี “ฆ่าได้ดี! กลับไปสืบเรื่องทหารม้าในชุดดำพวกนั้นอีกที แล้วรีบกลับมารายงาน”

 

 

           “ขอรับ!”

 

 

           “เรียนท่านแม่ทัพ นายทหารอวิ๋นถิงขอเข้าพบขอรับ”

 

 

           “อวิ๋นถิงหรือ เขามาได้อย่างไร ให้เข้ามา!” มู่หรงเซิ่นขมวดคิ้ว พร้อมโบกมือสั่งการ

 

 

           ไม่นาน อวิ๋นถิงก็เดินกระหืดกระหอบเข้ามา เดินพ้นประตูมาได้ไม่เท่าไรก็รีบพูดกับมู่หรงเซิ่นว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านดูสิว่านี่คือผู้ใด!” มู่หรงเซิ่นกำลังจะเอ่ยปากอบรมอวิ๋นถิงที่ทำกิริยาไม่สุภาพ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพูดไม่ออกไปพักใหญ่

 

 

ถึงแม้เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวง มู่หรงเซิ่นจะไม่ค่อยชื่นชอบการคบหาสมาคมสักเท่าใด ส่วนเยี่ยหลีเองก็มิใช่คนชอบออกไปไหนมาไหน ทว่ามู่หรงถิงกับเยี่ยหลีก็ถือได้ว่าเป็นสหายรักกัน ดังนั้นท่านแม่ทัพมู่หรงที่รักลูกสาวดุจหัวแก้วหัวแหวน จึงเคยได้พบชายาติ้งอ๋องที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ยามนี้อีกฝ่ายจะอยู่ในชุดสีดำทมึน ซ้ำยังแต่กายเป็นชาย แต่ใบหน้างดงามที่ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยกับรอยยิ้มเรียบๆ สบายๆ นั่น กลับยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของมู่หรงเซิ่นเป็นอย่างดี “พระ…” มู่หรงเซิ่นใช้ความพยายามทั้งหมดในการกลืนคำสองคำหลังลงไป

 

 

เขาได้ยินเพียงเยี่ยหลีประสานมือพร้อมพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านแม่ทัพมู่หรง ออกจากเมืองหลวงมาแล้วท่านสบายดีหรือไม่”

 

 

มู่หรงเซิ่นอย่างไรก็เป็นแม่ทัพที่กรำศึกมาครึ่งชีวิต เขากลับมารักษาท่าทีสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว แล้วจึงรีบประสานมือคารวะตอบพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ลำบากคุณชายเป็นห่วงแล้ว ข้าต้องขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยเหลือเมืองหย่งหลินให้รอดพ้นจากวิกฤต” ทหารม้าในชุดดำ แล้วยิ่งได้เห็นชายาติ้งอ๋องที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ หากมู่หรงเซิ่นยังคิดไม่ตกว่าผู้ใดเป็นผู้ที่ช่วยให้หย่งหลินรอดพ้นจากวิกฤต เขาคงมิใช่มู่หรงเซิ่นที่เคยร่วมรบกับม่อหลิวฟางแล้ว

 

 

           ผู้บัญชาการทหารคนอื่นๆ ที่อยู่ ณ ที่นั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชายหนุ่มในชุดดำที่มาพร้อมกับอวิ๋นถิงและเป็นคนที่ช่วยให้เมืองหย่งโจวให้พ้นจากวิกฤตมาได้นั้นคือผู้ใด แต่พวกเขารับรู้ได้ว่าแม่ทัพมู่หรงรู้จักคนผู้นี้ จึงต่างรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เพียงมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัยเท่านั้น

 

 

มู่หรงเซิ่นกวาดตามองทุกคน โบกมือให้ทุกคนออกไปก่อน แล้วจึงเชิญให้เยี่ยหลีนั่งลง เยี่ยหลีเองก็ไม่เกรงใจ เอ่ยชอบคุณแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งทันที “ท่านแม่ทัพ ด่านซุ่ยเสวี่ยนี้สามารถรักษาไว้ได้หรือไม่” เยี่ยหลีรู้จักนิสัยมู่หรงเซิ่นเป็นอย่างดี จึงไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลา เอ่ยถามออกไปตรงๆ

 

 

           มู่หรงเซิ่นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยหลี ครู่ใหญ่ถึงได้ถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็จะไม่ปิดบังพระชายา หากไม่มีทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของหลีอ๋องเข้ามาโจมตีทางด้านหลัง มู่หรงเซิ่นกล้ารับประกันได้เลยว่า จะไม่มีทางให้คนหนานเจียงเข้ามาเหยียบด่านซุ่ยเสวี่ยได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว เพียงแต่…เมื่อใดก็ตามที่เมืองหย่งหลินแตก…หึหึ เกรงว่าด่านซุ่ยเสวี่ยแม้แต่ครึ่งวันก็คงต้านไว้ไม่ได้” ระหว่างด่านซุ่ยเสวี่ยกับเมืองหย่งหลินไม่มีสิ่งขวางกั้นระหว่างกัน เมื่อใดก็ตามที่กองทัพกบฏผ่านเมืองหย่งหลินมาได้ ก็เท่ากับเป็นการเปิดด้านหลังของกองทัพให้ฝ่ายศัตรูเข้าโจมตี ถึงตอนนั้นเมื่อต้องเจอศึกสองด้าน คงไม่ต้องเปลืองแรงคนของหนานจ้าว ทหารรักษาการณ์ด่านซุ่ยเสวี่ยคงได้บาดเจ็บล้มตายจนสิ้น

 

 

           เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่มู่หรงเซิ่นกล่าวเป็นความจริง นางขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตามความเห็นของท่านแม่ทัพ กองหนุนจะต้องใช้เวลาอีกกี่วันจึงจะเดินทางมาถึงหรือ”

 

 

           มู่หรงเซิ่นยิ้มขื่น “หากเป็น…กองหนุนคงสามารถมาถึงได้ภายในสองวัน เพียงแต่ยามนี้…ภายในสิบวันนี้คงไม่มีหวังที่จะได้เห็นแม้แต่เงาของกองหนุน”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “เช่นนั้นความหมายของท่านแม่ทัพคือ อย่างไรก็รักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

           มู่หรงเซิ่นกัดฟันตอบว่า “รักษาไม่ได้อย่างไรก็ต้องรักษา ขอเพียงมู่หรงเซิ่นยังมีลมหายใจ คนหนานจ้าวอย่าหวังจะได้เหยียบเข้ามาในด่านซุ่ยเสวี่ยเลย”