ตอนที่ 90-3 รักษาเมืองหย่งหลิน

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่านแม่ทัพคาดว่าจะรักษาด่านนี้ไว้ได้อีกกี่วันหรือ”

 

 

มู่หรงเซิ่นตอบเสียงขรึมว่า “คงต้องดูว่าเมืองหย่งหลินสามารถต้านไว้ได้อีกกี่วัน ไม่รู้ว่าครานี้พระชายานำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมามากน้อยเพียงใดหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีถอนหายใจ “ครานี้ด้วยความบังเอิญ จึงมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่เพียงสองพันนายเท่านั้น ท่านแม่ทัพ…หากด่านซุ่ยเสวี่ยไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้วจริง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะ…ถอยไปรักษาการณ์ที่แม่น้ำอวิ๋นหลันแทน”

 

 

มู่หรงเซิ่นโบกมือตอบด้วยความแน่วแน่ว่า “คนอื่นถอยได้ มู่หรงเซิ่นถอยไม่ได้! ในเมื่อฝ่าบาทส่งมู่หรงเซิ่นในมาประจำการรักษาด่านซุ่ยเสวี่ยแล้ว ข้าก็จะอยู่หรือไปพร้อมๆ กับด่านซุ่ยเสวี่ยเท่านั้น!”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เช่นนั้น ท่านแม่ทัพเคยคิดเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ หากว่าด่านซุ่ยเสวี่ยแตกแล้ว คนหนานเจียงใช้โอกาสนี้เคลื่อนทัพขึ้นเหนือไปจะเป็นอย่างไร กำลังพลสองหมื่นนายที่ประจำอยู่ที่เมืองยงโจว เคลื่อนทัพออกมาได้ไม่เท่าไร ก็ถูกสังหารที่แม่น้ำอวิ๋นหลันทั้งหมด ตอนนี้ไม่เพียงหย่งโจวเท่านั้นที่อยู่ในอันตราย ยงโจวเองก็ไม่มีกองกำลังประจำการอยู่เช่นกัน”

 

 

           มู่หรงเซิ่นหัวเราะหึหึ แล้วเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า “พระชายาวางใจเถิด ข้าคิดถึงจุดนี้ตั้งแต่ได้รับข่าวเรื่องการเสียชีวิตของผู้บัญชาการอู๋แล้ว ดังนั้นข้าจึงได้สั่งให้คนไปคอยจับตาดูสะพานข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันไว้ตลอดเวลา หากกองหนุนมาก่อนก็แล้วไป แต่เมื่อใดก็ตามที่ด่านซุ่ยเสวี่ยแตก และกองหนุนยังมาไม่ถึง คนที่อยู่ที่นั่นจะทำลายสะพานข้ามแม่น้ำนั้นทันทีไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอันใดก็ตาม ไม่ว่าคนหนานจ้าวคิดอยากจะสร้างขึ้นใหม่หรือคิดจะใช้เรือข้ามแม่น้ำ หรือจะเดินทางอ้อมไป อย่างน้อยๆ จะยืดเวลาการเดินทางออกไปได้ครึ่งเดือน ถึงตอนนั้น…กองหนุนจากราชสำนักก็น่าจะมาถึงแล้ว ส่วนพระชายา เรื่องครานี้ขอบพระทัยพระชายามากที่เข้าช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ขอเชิญพระชายารีบไปจากเขตหย่งโจวโดยไวเพื่อความปลอดภัยจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น ประสานมือให้มู่หรงเซิ่นด้วยความเลื่อมใส “ในเมื่อท่านแม่ทัพตัดสินใจแล้ว เช่นนั้น…มอบเมืองหย่งหลินให้ข้าจัดการได้หรือไม่”

 

 

           “พระชายา” มู่หรงเซินมองนางด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ในเมื่อข้ามีฐานะเป็นชายาติ้งอ๋อง เมืองหย่งโจวอยู่ในอันตราย แล้วจะให้ข้าจากไปก่อนได้อย่างไร เยี่ยหลีเองก็ยินดีที่จะเป็นตายไปพร้อมกับเมืองหย่งหลินเช่นเดียวกัน จะได้ไม่เสียชื่อตำหนักติ้งอ๋อง มิใช่หรือ”

 

 

           มู่หรงเซิ่นนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วในที่สุดถึงได้กล่าวว่า “มิน่า…” มิน่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีถึงได้ยอมฟังคำสั่งของชายาติ้งอ๋อง ช่างมิใช่คนที่คุณหนูชนชั้นสูงทั่วไปจะสามารถเทียบได้จริงๆ ทุกคนต่างคิดว่ามีเพียงติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่สามารถบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้ แต่กลับไม่รู้ว่า ถึงแม้ในประวัติศาสตร์จะมีชายาติ้งอ๋องมาแล้วหลายรุ่น แต่กลับมีเพียงสองสามท่านเท่านั้นที่สามารถบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้อย่างแท้จริง ชายาติ้งอ๋องรุ่นก่อนคงไม่ต้องพูดถึง แต่แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดติ้งอ๋อง ที่ในสมัยนั้นเป็นชายาแสนรักของติ้งอ๋อง ม่อหลิวฟาง ก็ยังไม่เคยได้รับสิทธิ์ในการบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเช่นนี้

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว รอให้มู่หรงเซิ่นพูดต่อ มู่หรงเซิ่นเพิ่งส่ายหน้าแต่กลับไม่พูดต่อให้จบ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น เมืองหย่งหลินคงต้องฝากพระชายาด้วย ข้าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่พระชายาได้ ทำได้เพียงแบ่งกำลังพลให้พระชายาอีกหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น” กำลังพลหนึ่งหมื่นนายนี้เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะรอให้อวิ๋นถิงและซย่าซูต้านทานกองทัพฝ่ายตรงข้ามไม่ได้จริงๆ ก่อน แล้วค่อยส่งไปช่วยเหลือพวกเขา ซึ่งนี่เป็นจำนวนทหารที่มากที่สุดที่เขาพอจะแบ่งออกไปให้ได้แล้ว

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ไว้ใจ”

 

 

           เมื่อได้ตราทหารจากมู่หรงเซิ่นมาแล้ว เยี่ยหลีก็ไม่รั้งรอ ลุกขึ้นเตรียมเดินทางกลับเมืองหย่งหลินทันที มู่หรงเซิ่นเป็นนายทหารที่กรำศึกอยู่ในสนามรบมานาน หากมิใช่เพราะครานี้เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป และตนมีกำลังทหารอยู่ไม่เพียงพอจริงๆ จะไม่มีทางตึงมือเช่นนี้ การป้องกันด่านซุ่ยเสวี่ยวก็คงไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยหลียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

 

 

เมื่อออกมาจากค่ายทหาร ก็เห็นมู่หรงถิงกำลังเดินถือกระบี่เข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ “ถิงเอ๋อร์หรือ”

 

 

           “เอ๋!” มู่หรงถิงที่ตอนแรกกำลังรีบร้อนจะเข้าไปหาท่านพ่อ เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูคุ้นหูเอ่ยเรียกขึ้นจึงรีบหยุดฝีเท้าลงทันที นางมองจ้องไปใบที่ดูคุ้นเคยแต่ไม่คุ้นตาอยู่พักใหญ่ถึงดึงสติกลับมาได้ รีบยกมือขึ้นชี้หน้านาง “เจ้า…เจ้าเจ้า…”

 

 

           “บังอาจ!” มู่หรงเซิ่นเดินตามหลังออกมา หันไปถลึงตาใส่มู่หรงถิง “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดจึงเสียมารยาทกับคุณชายสวีเช่นนี้”

 

 

           “คุณชายสวีหรือ!” มู่หรงถิงร้องเสียงแหลมขึ้น เยี่ยหลีระบายยิ้มเต็มไปหน้า เลิกคิ้วใส่มู่หรงถิง “ข้าน้อยสวีชิงหลิวคารวะคุณหนูมู่หรง”

 

 

           ใบหน้าเรียวของมู่หรงถิงแดงก่ำ รีบเดินไปหลบหลังมู่หรงเซิ่นทันที แล้วจึงหันมาถลึงตาต่อว่าใส่เยี่ยหลี จะโทษที่นางจู่ๆ ก็เขินอายเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่เยี่ยหลีแต่งกายเป็นชายได้ดีจนเกินไป ถึงแม้นางจะมิได้แต่งหน้าเพื่อเปลี่ยนรูปโฉม แต่มองอย่างไรก็ยังเหมือนเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ดูทั้งหล่อเหลาและอ่อนเยาว์ ไม่มีท่าทางอ่อนหวานอย่างหญิงสาวให้เห็นแม้แต่น้อย มู่หรงถิงคิดมาตลอดว่าท่าทางและนิสัยของตนมีความเป็นชายอยู่มาก แต่นางก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ต่อให้ตนแต่งกายเป็นชาย ก็คงดูไม่เหมือนชายหนุ่มไปกว่าคนตรงหน้านี้

 

 

ถึงแม้รู้ว่าแท้จริงแล้วเยี่ยหลีเป็นหญิงสาว แต่เมื่อได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและอ่อนเยาว์มายืนตรงหน้าเช่นนี้ มู่หรงถิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมา

 

 

           เมื่อได้เห็นมู่หรงถิงหน้าแดงอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นแล้ว เยี่ยหลีจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มล้อเลียนใส่นาง ชายหนุ่มที่ทั้งสง่างามและหล่อเหลาภายใต้แสงอาทิตย์ ถึงจะแต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งชุดแต่ก็มิอาจปกปิดความสะอาดสะอ้านและความฉลาดเฉลียวไว้ได้ มู่หรงถิงจึงทำได้เพียงถลึงตาให้โตขึ้นไปอีก ส่วนในใจนึกก่นด่าว่า “นังปีศาจ!”

 

 

           “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอตัวก่อน” เยี่ยหลีมิได้ยั่วอันใดมู่หรงถิงอีก เพียงหมุนตัวไปทางมู่หรงเซิ่นแล้วเอ่ยปากขอตัว

 

 

มู่หรงเซิ่นพยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้น เมืองหย่งหลินคงต้องลำบากคุณชายแล้ว”

 

 

           “ข้าจะไม่ทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวัง” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ

 

 

           มู่หรงถิงมองเยี่ยหลีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปทันที “ท่านพ่อ อา…คุณชายสวีไปทำอันใดที่เมืองหย่งหลินหรือ”

 

 

           มู่หรงเซิ่นขมวดคิ้ว “คุณชายสวีไปช่วยอวิ๋นถิงกับซย่าซูรักษาเมืองน่ะ”

 

 

มู่หรงถิงรีบพูดขึ้นว่า “ข้าก็จะไปด้วย”

 

 

           “หยุดโวยวายได้แล้ว คุณชายสวีไปจัดการเรื่องสำคัญ เจ้าจะตามไปเล่นสนุกอันใด”

 

 

           มู่หรงถิงโกรธจนต้องกระทืบเท้า ก่อนหน้านี้บอกว่านางเป็นผู้หญิงจะออกไปทำศึกไม่ได้ มายามนี้มิได้ให้อาหลีไปออกศึกหรอกหรือ “ข้าไม่สน ข้าก็อยากไปช่วยรักษาเมืองด้วย! ข้าเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ มิได้เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ที่ทำได้เพียงกินข้าวอยู่ในค่ายไปวันๆ เสียหน่อย! อา…คุณชายสวี พาข้าไปด้วยได้หรือไม่” อารามร้อนใจ มู่หรงถิงจึงลืมไปว่าเยี่ยหลีแต่งกายเป็นชาย จึงโผเข้าไปจับแขนนางแกว่งแกว่งมา ทำให้ทหารที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามอง

 

 

เยี่ยหลีกระแอมขึ้นเบาๆ ปลดมือนางออกแล้วหันไปพูดยิ้มๆ ว่า “มู่หรง…ชายหญิงนั้นต่างกัน”

 

 

           มู่หรงจึงได้สังเกตเห็นทหารที่อยู่โดยรอบมองมาด้วยสายตาประหลาด จึงรีบปล่อยมือเยี่ยหลีพร้อมทำสีหน้าล้อเลียน แล้วหันไปจับแขนอ้อนท่านพ่อของตนแทน “ท่านพ่อ…ให้ถิงเอ๋อร์ไปเถิด ลูกจะไม่ไปสร้างความวุ่นวายให้ผู้ใดหรอก”

 

 

           มู่หรงเซิ่นถูกนางอ้อนจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี จึงได้แต่หันหน้าหาเยี่ยหลี เยี่ยหลีก้มหน้าลงหัวเราะ “หากท่านแม่ทัพวางใจ ให้มู่หรงมากับข้าก็ได้”

 

 

มู่หรงเซิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ณ ตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน จะรั้งอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยหรืออยู่ที่เมืองหย่งหลินก็มิได้ต่างกันมากนัก ต่อให้รั้งอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย แต่หากเกิดการสู้รบขึ้นแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่สามารถดูแลนางได้ “เอาเถิด เจ้าเด็กคนนี้ก็ฝากคุณชายสวีเป็นธุระด้วยก็แล้วกัน หากนางกล้าโวยวายเอาแต่ใจ คุณชายสวีสามารถจัดการตามกฎทหารได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ!”

 

 

           “ขอบคุณท่านพ่อ!” มู่หรงถิงดีใจเป็นอย่างยิ่ง จนลืมสนใจไปเลยว่า ท่านพ่อของนางบอกให้จัดการตามกฎทหารได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าท่านพ่อยินยอมที่จะเห็นนางเป็นนายทหารคนหนึ่ง มิใช่คุณหนูตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้ความอีกแล้วกระมัง

 

 

           เมื่อบอกลามู่หรงเซิ่นแล้ว คณะของเยี่ยหลีใช้เวลาอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี ก็เร่งรีบออกเดินทางกลับ

 

 

มู่หรงถิงที่นั่งอยู่บนหลังม้า เหลือบมองเยี่ยหลีและทหารเฮยอวิ๋นฉีที่ขี่ม้าชั้นดีอยู่ด้วยสีหน้าอิจฉา นี่มีกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ยังดูยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ หากได้เห็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีทั้งหน่วยอยู่ตรงหน้า จะเป็นภาพที่งดงามเพียงไหนกันนะ เพียงแค่คิดภาพก็ทำให้เลือดในกายนางร้อนไปหมดแล้ว

 

 

“อา…อา คุณชายสวี เจ้ามาที่ด่านซุ่ยเสวี่ยได้อย่างไร ท่านพ่อข้าไว้ใจท่านมาก ไม่ว่าข้าพูดอย่างไรท่านพ่อก็ไม่ยอมให้ข้าออกไปทำศึก แต่พอเจ้ามา ท่านพ่อถึงกับยอมมอบหมายการปกป้องเมืองหย่งหลินให้กับเจ้า” เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ มู่หรงถิงก็อดรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ท่านพ่อเห็นว่านางไม่มีความสามารถจริงๆ จึงไม่ยอมให้นางออกไปทำศึกหรือเปล่านะ

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “ข้าไปจัดการธุระที่ชายแดนใต้มานิดหน่อย แล้วจึงบังเอิญพบเข้าน่ะ”

 

 

           “ท่านอ๋องยอมให้เจ้ามาจัดการธุระที่ชายแดนใต้คนเดียวเชียวหรือ ท่านอ๋องช่างเป็นคนดีจริงๆ ไม่เหมือนพ่อข้า ทั้งวันเอาแต่พูดกรอกหูข้าว่าเป็นลูกผู้หญิงอีกหน่อยหากแต่งงานไปแล้วจะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้าน ต้องมีเมตตาธรรม มีศีลธรรม…ข้าจะไม่ยอมอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนหรอก” มู่หรงถิงโอดครวญด้วยความไม่พอใจ ประโยคสุดท้ายนั้นเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทว่าทุกคนในที่นั้นต่างเป็นคนที่มีประสาทหูเป็นเลิศ ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน

 

 

อวิ๋นถิงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณหนูมู่หรง ท่านกล่าวเช่นนี้คุณชายเหลิ่งจะร้องไห้เอาได้นะ”

 

 

มู่หรงถิงยิ้มแยกเคี้ยว หันไปส่งเสียงเหอะใส่อวิ๋นถิงแล้วจึงบังคับม้าให้ออกวิ่งขึ้นหน้าไป เยี่ยหลีอมยิ้มควบม้าตามไป “ท่านแม่ทัพมู่หรงรักเจ้า กลัวว่าเจ้าจะมีอันตรายหรอก”

 

 

           “ข้ารู้ แต่ท่านพ่อมีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ข้าเองก็อยากทำให้ท่านพ่อภูมิใจนี่ อีกอย่างข้าเองก็มิใช่เด็กๆ แล้ว มิได้จะทำอันใดวู่วามเสียหน่อย ท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าออกไปทำศึก ต่อให้ข้าร้อนใจเพียงใดก็ไม่เคยลอบหนีออกไปทำศึกเสียหน่อย”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า ถึงแม้บางครั้งมู่หรงถิงจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่อันที่จริงแล้วนางเป็นคนที่รู้ว่าอันใดควรไม่ควร ไม่มีทางทำให้ผู้ใดร้อนใจด้วยความเป็นห่วงอย่างแน่นอน