บทที่ 172 การพัฒนา

ไหปีศาจ

บทที่ 172
การพัฒนา

ลั่วอู๋ตื่นเต้นมากที่เพิ่งได้รับความสามารถใหม่

หลังจากออกจากมิติไหแล้วลั่วอู๋ก็มาที่ห้องเก็บสัตว์วิญญาณของสำนักโล่พิทักษ์ เขานำสัตว์วิญญาณแต่ละชนิดอย่างล่ะตัวใส่ลงไปในไหปีศาจ
นี่เปรียบได้กับการป้อนข้อมูลลงในหนังสือสัตว์วิญญาณ

ข้อมูลของสัตว์วิญญาณใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นในหนังสือ
ลั่วอู๋รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าด้วยความสามารถใหม่นี้ ตราบใดที่พวกมันเต็มใจยอมรับในตัวเขา พวกมันก็จะพร้อมต่อสู้เพื่อเขาด้วยความตั้งใจของตัวพวกมันเอง

แต่มันก็น่าเสียดาย
ที่เงื่อนไขของความสามารถพิชิต คือ ลั่วอู๋ต้องสามารถเอาชนะพวกมันได้ก่อน
ดังนั้นลั่วอู๋จึงเก็บเพียงแค่สัตว์วิญญาณที่อยู่ในระดับเงินเข้ามาเท่านั้น แต่สัตว์วิญญาณระดับทองเขายังไม่ได้นำเข้ามาเพิ่มในตอนนี้ เพราะมันยังเสี่ยงเกินไป
ด้วยสถานะในปัจจุบันของลั่วอู๋ เขาคงจะสามารถใช้ความสามารถพิชิตควบคุมสัตว์วิญญาณระดับเงิน มาใช้ในการต่อสู้ได้มากสุดถึง 5 ตัว

ลั่วอู๋มองดูนกหน้าโง่ที่บินอยู่บนท้องฟ้า
ทำไมเขาไม่ลองใช้ความสามารถพิชิตกับเจ้านกหน้าโง่ตัวนี้ดูล่ะ
นกหน้าโง่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นสายตาของลั่วอู๋ มันจึงจ้องกลับอย่างสับสน จากนั้นมันก็บินกลับไปดูแลจัดการเหล่าน้องชายของมัน

“ช่างมันไปก่อนดีกว่า ด้วยนิสัยของมัน ต่อให้ข้าเอาชนะมันได้ มันก็ไม่น่าจะยอมเชื่อฟังอยู่ดี” ลั่วอู๋ล้มเลิกความคิดที่จะใช้ความสามารถพิชิตกับนกโง่

การเปิดใช้หอคอยสีขาวในครั้งนี้ได้อะไรมามากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
เขาได้รู้ว่าไหปีศาจนั้นไม่ใช่แค่วัตถุโบราณที่มีความสามารถตายตัว ถึงไม่รู้ว่าจะสามารถทำตามเงื่อนไขเพื่อเปิดใช้ความสามารถใหม่ ๆ ได้อีกเมื่อไหร่ แต่หนังสือข้อมูลสัตว์วิญญาณและความสามารถในการ “พิชิต” นั้นก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดีมากเลยทีเดียว
ลั่วอู๋เดินเข้าไปในหอคอยสีขาวอีกครั้ง ครั้งนี้เขามองขึ้นไปที่ส่วนบนของหอคอยสีขาว อย่างอยากรู้อยากเห็น
ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เขาถึงยังไม่สามารถขึ้นไปในส่วนชั้นบนของหอคอยสีขาวได้ หรือว่าเงื่อนไขของมันคือเขาต้องยกระดับบ้านของเขาอีกครั้งรึเปล่า?

การยกระดับบ้านครั้งต่อไป ต้องใช้แต้มเซียนเป็นหลักแสนแน่…
แต้มเซียนของลั่วอู๋ในตอนนี้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าสิ้นเนื้อประดาตัว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้มเลิกความคิดที่จะสำรวจครึ่งบนของหอคอยสีขาวไปก่อน

“มันจะดีกว่าถ้าเอาเวลาตอนนี้ไปลงตราทักษะความมืดมิดกลืนกินให้กับต้าหวง ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าทักษะความมืดมิดกลืนกินจะมีผลแบบไหนหากให้ต้าหวงใช้มัน” ลั่วอู๋คิด
……

หลังจากพยายามลงตราทักษะจนล้มเหลวซ้ำซ้อนมาร่วม 300 ครั้ง ทักษะก็ถูกสลักลงบนต้าหวงได้สำเร็จ
เป็นไปตามที่ลั่วอู๋ได้คาดเอาไว้

ทักษะระดับ A ดั้งเดิมของ ต้าหวง [กลืนกิน] ได้หายไปแทนที่ด้วยทักษะระดับ S [ความมืดมิดกลืนกิน] ซึ่งเทียบเท่ากับทักษะระดับสูง

“ต้าหวง ใช้ทักษะความมืดมิดกลืนกิน” ลั่วอู๋
จากนั้นต้าหวงก็เปลี่ยนเป็นร่างสถานะสำหรับการต่อสู้ มันอ้าปากออกปล่อยพลังแห่งความมืดพลุ่งพล่านดั่งกระแสน้ำวน กลายเป็นเหมือนหลุมดำ
ก้อนหินขนาดใหญ่ด้านหน้าต้าหวงถูกวังวนความมืดมิดกลืนหายไปในพริบตา

สถานที่ซึ่งเดิมทีมีก้อนหิน ได้ถูกหลุมดำขนาดเล็กกลืนกินหายไป
จากนั้นความเสียหายจากหลุมดำก็ได้รับการฟื้นฟูด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก อย่างไรก็ตามมันก็ยังแตกต่างจากเดิมไปเล็กน้อยเช่นเดียวกับชุดเก่าที่มีรอยเย็บปะ

“ ได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ? แม้แต่สภาพภูมิประเทศเจ้ายังกลืนได้เลยเหรอเนี่ย!” ลั่วอู๋ประหลาดใจ
เดิมทีแล้วทักษะกลืนกินสามารถใช้เพื่อกินเนื้อและเลือดเท่านั้น
“ เจ้ากลืนกินพลังวิญญาณได้รึเปล่า?” ลั่วอู๋ถาม

ต้าหวงส่ายหัว
มันไม่สามารถใช้ทักษะนี้กลืนกินพลังวิญญาณเข้าไปได้
อย่างไรก็ตามพลังทำลายของทักษะนี้ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมมาก ซึ่งถือเป็นการพัฒนาที่ดี
……
……

วันต่อมา
สำนักโล่พิทักษ์ได้เปิดตัวสัตว์วิญญาณที่แปลกประหลาดมาก

วิญญาณมืดมิด
คนส่วนใหญ่คิดว่ามันไม่ใช่สัตว์วิญญาณระดับทอง
แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์วิญญาณประเภทสัตว์วิญญาณปีศาจและมีชื่อว่า “มืดมิด” แต่วิญญาณมืดมิดนั้นดูจะมีนิสัยที่ค่อนข้างอ่อนโยน
ลูกบอลสีดำขนาดเล็กนุ่มเด้งไปมาอย่างน่ารัก

เขาไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากวางขายบนชั้นวาง มันจะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกว่าพวกมันน่ารักน่าเอ็นดูได้ขนาดนี้

“ พ่อ ข้าอยากได้เจ้านี่!” เด็กผู้ชายหลายคนชี้ไปที่วิญญาณมืดมิดและพยายามขอร้องพ่อแม่ของพวกเขา
แม้ว่าร่างกายของเด็ก ๆ นั้นไม่ได้แข็งแรงมาก แต่วิญญาณมืดมิดนั้นก็ไม่ได้มีความสามารถเพียงพอที่จะทำร้ายร่างกายของเด็ก ๆ ได้
แน่นอนว่าเด็ก ๆ ในพื้นที่หวงชาเองก็ไม่ได้อ่อนแอ พวกเขากระตือรือร้น ชอบความเสี่ยงและการต่อสู้ แม้ว่าอายุและกำลังของพวกเขาจะยังไม่เพียงพอที่จะรับความเสี่ยงเหล่านั้นก็ตามที

วิญญาณมืดมิดนั้นดูเหมือนจะมีลักษณะที่ “ชั่วร้าย” และ “มืดมิด” อยู่ ซึ่งดูเหมือนจะถูกใจเหล่า ๆ วัยรุ่นชายที่ชอบความเสี่ยงและการต่อสู้
ด้วยเหตุนี้วิญญาณมืดมิดจึงได้กลายเป็นสัตว์วิญญาณสัตว์เลี้ยงยอดนิยม

ลั่วอู๋ไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นเช่นนี้
อย่างไรก็ตามเขาไม่อยากตั้งราคาของมันเอาไว้สูงเท่าไหร่ ลั่วอู๋จึงขายพวกมันในราคาเพียง 2 พันหินวิญญาณ เขาคำนึงถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้คนในเขตหวงชาเป็นหลักเสมอ
ที่เขาขายในราคานี้เพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีล้วน ๆ เพราะเดิมทีแล้วสัตว์วิญญาณระดับทอง มักมีราคาเริ่มต้นที่ 1 หมื่นหินวิญญาณ
ด้วยสัตว์วิญญาณล่าสุดตัวนี้นี้ การแนะนำปากต่อปากของสำนักโล่พิทักษ์ จึงดีขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันทางหอคอยหวงชา แม้จะไม่ใช่การขาดทุนอย่างสมบูรณ์ถึงขั้นค้าขายไม่ได้ แต่การไหลเข้ามาของลูกค้านั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างแย่

เมื่อมองไปที่สำนักโล่พิทักษ์ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนแออัด ลั่วอู๋ก็อดคิดไม่ได้ว่า “ข้าควรจะเปิดร้านอีกสักสาขาดีไหมนะ”

ลูกค้าที่แวะเข้ามาในสำนักโล่พิทักษ์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่คนในพื้นที่เมืองแห่งความพินาศ
ที่นี่มักจะมีลูกค้าจากทั่วทั้ง 23 เมืองในเขตหวงชา ที่เดินทางมาเป็นวัน ๆ เพื่อเข้ามาซื้อสินค้า
การเปิดสาขาเพิ่มจึงดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดี
อย่างไรก็ตามด้วยที่เขาในตอนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคหวงชา ทำให้ลั่วอู๋รู้สึกละอายเล็กน้อยที่จะเปิดสาขาเพิ่มในเมืองอื่น ๆ และขโมยกิจการของหอคอยหวงชาไป

ในฐานะสุภาพบุรุษ เขาควรจะมีมโนธรรมที่ดี
จู่ ๆ เบื้องหลังของลั่วอู๋ก็เหมือนมีเงาคล้ายผีจากนั้นก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งโผล่ออกมาอย่างเงียบ ๆ แน่นอนว่าเขาก็คือไร้หน้านั่นเอง
“นายน้อย ดูเหมือนว่าจะมีคนแปลก ๆ เข้ามาตามหาตัวท่านวู่หยู่ เห็นบอกว่าเป็นคนจากตระกูลวู่และมีข้อเสนอจะมายื่นให้ทางเราขอรับ”
“แล้วยังไงต่อ?” ลั่วอู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตระกูลวู่เป็นหนึ่งในตระกูลที่อยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลลั่ว วู่หยู่หรือเจ้าของร้านคนเก่าเองก็เป็นสมาชิกของตระกูลวู่ เขาได้ทำธุรกิจของตระกูลลั่วมาตั้งแต่เขาเพิ่งก้าวสู่วัยผู้ใหญ่
“กำลังสงสัยว่าเจ้าของร้านคนเก่าจะสามารถรับมือได้รึเปล่าใช่ไหมล่ะ ?”
“หวังว่าเจ้าของร้านเก่าจะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องนะ” ลั่วอู๋พูดกับตัวเอง

ไร้หน้าพูดต่อไป “นายน้อยจะไม่ไปตรวจดูงั้นเหรอขอรับ?”
“ไม่เป็นไร” ลั่วอู๋โบกมือแล้วครุ่นคิด
……
……

ในห้องรับแขกพิเศษ
เจ้าของร้านคนเก่าเดินเข้ามาในห้องนี้ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งรออยู่ในห้อง เขาดูเด็กมากและมีคิ้วที่คล้ายกันกับเจ้าของร้านคนเก่า
“ท่านลุงหยู่!” ชายหนุ่มเรียกเจ้าของร้านคนเก่าอย่างเคารพ
เจ้าของร้านคนเก่าเห็นชายหนุ่มก็ตกตะลึง พยายามนึกให้ออกว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร เขาประหลาดใจและกำลังสับสนลังเล “เจ้าคือบูยงงั้นเหรอ?”
“ ใช่แล้ว ท่านลุงหยู่นี่ข้าเอง” ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ
ชายหนุ่มคนนี้ชื่อวู่บูยง เขาเป็นลูกชายคนเดียวของพี่ชายเจ้าของร้านคนเก่าหรือก็คือหลานชายของเขานั่นเอง
เจ้าของร้านคนเก่านั้นไม่มีภรรยา เขาจึงไม่มีลูกหลาน ชายคนนี้จึงถือได้ว่าเป็นลูกหลานที่ใกล้ชิดที่สุดของเขา

เจ้าของร้านเก่ามองไปที่วู่บูยงด้วยความรู้สึกคิดถึงสุดใจ “เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้า ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้นจะเติบโตได้ถึงขนาดนี้”
เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วที่เจ้าของร้านคนเก่าได้เดินทางมาที่เขตหวงชาและไม่ได้กลับไปหาครอบครัว

“ท่านลุงหยู่ยังเหมือนเดิม ท่านไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนี่นา” วู่บูยงกล่าวด้วยเยินยอ

เจ้าของร้านคนเก่าหัวเราะ
เขาแก่เกินไปที่จะยอแบบนั้นได้แล้ว
เมื่อเขาอายุมากขึ้นขนาดนี้ คำเยินยอจากเด็ก ๆ ก็ไม่ได้มีผลอะไรสักเท่าไหร่

พวกเขานึกถึงอดีตชั่วขณะหนึ่ง แม้ความทรงจำในช่วงที่ได้อยู่ด้วยกันของพวกเขานั้นสั้น แต่ความเกร็งประหลาด ๆ ของคนที่ไม่ได้เจอกันนานก็ได้หายไปแล้ว พวกเขาสนิทกันมากและมีความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างลุงและหลานชายดังเดิม
เจ้าของร้านคนเก่าถาม “ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงมีเวลามาหาลุงได้ล่ะ การเดินทางจากถิ่นของตระกูลวู่มาที่นี่ใช้เวลาตั้งเกือบครึ่งเดือนเลยไม่ใช่หรือ?”
“ข้าเดินทางมาที่นี้ด้วยวิหคเวหาระดับทองน่ะ” วู่บูยงกล่าว
วิหคเวหาเป็นสัตว์วิญญาณที่เชื่องและถูกฝึกให้เป็นเครื่องมือในการเดินทาง แต่ค่าใช้จ่ายในการทำให้เชื่องนั้นสูงมาก ดังนั้นจึงต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่ายในการนั่งบนนก
วู่บูยงกล่าวต่อ “ท่านลุงหยู่ ผู้ใหญ่ของตระกูลลั่วขอร้องให้ข้ามาหาท่านที่นี่”

เจ้าของร้านคนเก่าดูตกตะลึง
จากนั้นท่าทางร่าเริงแบบเดิมของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเงียบเหงา