บทที่ 173 การจากไปของเจ้าของร้านคนเก่า

ไหปีศาจ

บทที่ 173
การจากไปของเจ้าของร้านคนเก่า

ธุรกิจในสำนักโล่พิทักษ์นั้นยังคงขายดีเทน้ำเทท่า

เจ้าของร้านคนเก่านั้นกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหลัก เขาดูเหม่อลอยและเบลอ ๆ พยายามหลบเลี่ยงสายตาอย่างผิดวิสัยและไม่กล้ามองไปที่ผู้คนสักเท่าไหร่

“ท่านลุงหยู่ ผู้ใหญ่ของตระกูลลั่วขอร้องให้ข้ามาหาท่านที่นี่”
“ท่านรู้ไหมว่าใครกำลังจะมาจัดการกับพวกท่าน! พวกเขาคือผู้คนที่อยู่ในระดับสูง ๆ ของตระกูลลั่วร้านเล็ก ๆ ของท่านจะไปต้านทานได้อย่างไร”
“ท่านลุงหยู่รู้ไหมว่า คนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องภายในของฝ่ายท่านในปัจจุบันนี้เปรียบได้กับวีรบุรุษ”

“นี่มันถือเป็นการทรยศรึยังไงกัน ตระกูลลั่วคือเป้าหมายแห่งความภักดีของพวกเรา เด็กคนนั้นเขาชื่อว่าลั่วอู๋ มันจะไปมีปัญหาอะไรเล่า?”

“ ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนอารมณ์ร้าย ไม่เช่นนั้นท่านคงจะไม่กล้าทำแบบนี้ตั้งแต่แรกหรอก แต่ท่านคิดถึงเหล่าผู้คนที่อยู่ในตระกูลวู่อย่างพวกเราหน่อยจะได้ไหม?”
“ แม้ว่าท่านจะไม่สนใจเกี่ยวกับตระกูลวู่แล้ว แต่ก็ช่วยเห็นแก่หลานชายอย่างข้าด้วยเถอะ เขากำลังทำงานในศาลาไป่หยู่สาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ และข้าก็กำลังจะได้เป็นผู้รับผิดชอบในเร็ว ๆ นี้ ท่านรู้ไหมว่าโอกาสนี้มีค่าเพียงใด ข้าต้องพยายามสร้างความประทับใจให้ผู้มีอำนาจในตระกูลลั่ว ”
“ได้โปรดเถอะท่านลุงหยู่ ท่านเห็นแค่ข้าด้วยเถอะ”
“ท่านไม่ได้กลับไปหาทางตระกูลมาร่วมสิบปีแล้ว พวกข้าลำบากกันมาก ทุกคนในตระกูลต้องพึ่งพาข้า ข้าไม่สามารถที่จะล้มเหลวได้”
เจ้าของร้านคนเก่ามองไปที่วู่บูยง ผู้คุกเข่าต่อหน้าเขาและขอร้องอย่างขมขื่น เขาเริ่มรู้สึกผิด
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนทำให้ ชายใหญ่ในตระกูลลั่วขุ่นเคืองตั้งแต่ตอนนั้น พวกเขาคงไม่ต้องมีชีวิตที่แย่ลงถึงขนาดนี้
ตราบใดที่เขาพยักหน้าตอบตกลง เขาก็สามารถกลับไปที่ตระกูลวู่ได้
นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอดไม่ใช่เหรอ

ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ลั่วอู๋นั้นก็ได้เดินเข้ามาหาเจ้าของร้านคนเก่าเงียบ ๆ “เจ้าของร้านคนเก่า?”
จู่ ๆ เจ้าของร้านคนเก่าก็สะดุ้งขึ้นมา “นายน้อย ?”
“เจ้าของร้านคนเก่าท่านมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า ? ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายใจ ท่านอยากจะขอลาพักผ่อนสักสองสามวันไหมล่ะ?” ลั่วอู๋ถาม
เจ้าของร้านคนเก่ายิ้มอย่างไม่เต็มใจ “ไม่ต้องหรอก มันไม่ใช่อย่างนั้น”
เจ้าของร้านคนเก่ามองไปที่ลั่วอู๋ ดวงตาของเขาฉายแววตาแห่งความอับอาย

“เจ้าของร้านคนเก่า ถ้าท่านมีอะไรจะพูด ช่วยพูดออกมาตามตรง ข้าได้ยินมาว่ามีคนของตระกูลวู่เพิ่งเข้าพบท่านเมื่อไม่นานมานี้” ลั่วอู๋จี้ถามตรงประเด็น

“ใช่แล้วล่ะ” เจ้าของร้านคนเก่าถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลลั่วจะเลือกที่จะทรยศความภักดีของข้าเช่นนี้”

ลั่วอู๋มองไปที่เจ้าของร้านคนเก่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

ริมฝีปากของเจ้าของร้านคนเก่าขยับราวกับว่าเขากำลังเผชิญอยู่กับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ดวงตาของเขาดูซับซ้อนมาก จนในที่สุดเขาก็พูดออกมาด้วยความยากลำบาก “ถ้าข้าไม่กลับไปละก็ ตระกูลวู่จะต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะถึงตอนนี้ข้าก็ยังคงเป็นสมาชิกของตระกูลวู่”

แม้ว่าเจ้าของร้านคนเก่าจะไม่ได้พูดออกมาให้ชัดเจน แต่ลั่วอู๋ก็เข้าใจแล้วว่าเขาหมายถึงอะไร

“ อย่าแบกภาระไว้ที่ตัวท่านมากเกินไปสิ” ลั่วอู๋ตบไหล่เจ้าของร้านคนเก่า แทนที่จะแสดงความไม่พอใจในสายตาเขากลับแสดงถึงความกังวล “ถึงเวลาที่ท่านจะต้องพักผ่อนให้เต็มที่แล้วล่ะ”
เจ้าของร้านคนเก่าน้ำตาซึม
เขาเคยเดานึกถึงปฏิกิริยาของนายน้อยไว้ก่อนแล้ว
เขาคิดว่านายน้อยคงจะผิดหวัง เสียใจหรือโกรธ แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่านายน้อยจะรู้สึกห่วงใยและให้กำลังใจเขาเช่นนี้
“นายน้อย … ” ใบหน้าของเจ้าของร้านคนเก่าเต็มไปด้วยน้ำตา
ลั่วอู๋ส่ายหัว “ อย่างน้อย ๆ ก็ไปบอกลาทุกคนก่อนเถอะนะ”

ในไม่ช้าทุกคนที่เป็นสมาชิกหลักของศาลาไป่หยู่ก็ถูกเรียกตัวมารวมกัน
เจ้าของร้านคนเก่ามองหน้าพวกเขาทุกคนโดยไม่ละสายตาไปทีละคน เขามองพวกไปที่เหล่าเด็ก ๆ ที่ได้เติบโตขึ้นแล้วและโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง “ข้าขอโทษด้วยทุกคน ข้าต้องขอตัวไปก่อน”
ด้วยคำพูดเหล่านี้แผ่นหลังของเจ้าของร้านคนเก่าดูเหมือนจะแก่ลงไปกว่าเดิมมาก
มันเหมือนของคนแก่ในวัยชรา
แต่จริงๆแล้วเขาอายุแค่ห้าสิบกว่า ๆ
เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที
“ เจ้าของร้านคนเก่ามีปัญหาอะไรงั้นเหรอ ?” อาฟู, เสี่ยวชา และ มู่เถา ที่เป็นคนงานผู้ช่วยสามคนแรกของศาลาไป่หยู่ และเป็นกลุ่มคนที่อยู่กับเจ้าของร้านคนเก่ามานานที่สุดพูดด้วยความสงสัย
ความภักดีของพวกเขาที่มีต่อเจ้าของร้านคนเก่านั้นชัดเจนในการกระทำที่ผ่านมาของพวกเขาเอง
“ใช่เจ้าของร้านคนเก่าทำไมจู่ ๆ ท่านต้องออกไปในทันทีด้วย”
“เราต้องการให้ท่านรับผิดชอบและอธิบายให้พวกเราฟังเดี๋ยวนี้เลย”
“เจ้าของร้านคนเก่าอย่าทิ้งพวกเราไปแบบนี้สิ”
เจ้าของร้านคนเก่ารู้สึกสะเทือนใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ลั่วอู๋เดินช่วยเดินออกไปข้างหน้าแล้วโบกมือหยุดคำถามของทุกคนและพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “เจ้าของร้านคนเก่าแค่เหนื่อยน่ะ พวกเจ้าให้ท่านได้พักผ่อนเถอะ”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างสับสน
เจ้าของร้านคนเก่าหายใจเข้าลึก ๆ และซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจ “ใช่ ข้าเหนื่อยมาก พวกเจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม ตอนนี้ข้าจะมอบงานทั้งหมดของข้าให้พวกเจ้าแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าจะได้รู้ซะทีว่าที่ข้าเคยบอกว่า ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขี้เกียจและพักผ่อนมาตลอดนั้นหมายความว่ายังไง? ”
ทุกคนรู้ดีว่าเหตุผลจริง ๆ มันไม่ใช่แบบนั้นนั้น
ถ้าแค่หยุดพักทำไมถึงออกไปด้วยล่ะ

“อาฟู เสี่ยวชา ต่อไปนี้ด้านธุรกิจขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าต้องคอยดูแลธุรกิจนี้ อย่ามัวทำตัวขี้เกียจเชียวล่ะ” เจ้าของร้านคนเก่าเริ่มส่งมอบงานของเขา
คนงานทั้งสองคนพยักหน้าตกลง

ที่ด้านนอกสำนักโล่พิทักษ์ มีรถม้าของตระกูลวู่จอดรออยู่
วู่บูยงได้มารออยู่ข้างนอกแล้ว
เจ้าของร้านคนเก่าก้มหัวลง เขาไม่กล้ามองเข้าไปในตาของลั่วอู๋ตรง ๆ “นายน้อยข้าจะไปแล้วนะขอรับ”
“ถ้าท่านรู้สึกไม่มีความสุขเมื่อไหร่ ท่านสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ ประตูของสำนักโล่พิทักษ์จะเปิดรับรอท่านอยู่เสมอ” ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจ้าของร้านคนเก่าถูกบังคับให้อดทนต่อโทษ อีกทั้งยังต้องออกจากสำนักโล่พิทักษ์
เวลาสิบปีได้ผ่านไปราวกับว่าถึงยุคของคนรุ่นต่อไป
ร้านค้าเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ซึ่งเดิมทีสร้างด้วยอิฐได้กลายมาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ส่องแสงสว่างไปทั่วป่าหวงชา
เมื่อมองไปที่ป้ายอักษรโล่พิทักษ์ เจ้าของร้านคนเก่าก็เดินช้า ๆ ไปที่รถม้าของตระกูลวู่ราวกับหุ่นเชิดที่สูญเสียวิญญาณของเขาไป

เขากำลังจะได้กลับบ้านแล้วแท้ ๆ
แต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนกำลังจะจากมันไปเสียมากกว่า
“ไปกันเถอะขอรับท่านลุง” วู่บูยงกล่าวด้วยเสียงต่ำ
เจ้าของร้านคนเก่าพยักหน้าและเข้าไปในรถม้า

บรรยากาศในสำนักโล่พิทักษ์ค่อนข้างหดหู่ ลั่วอู๋หัวเราะ “ทำอะไรของพวกเจ้ากันอยู่เนี่ย เจ้าของร้านคนเก่าก็แค่กลับบ้านไปหาความสุข เขายังไม่ตายซะหน่อย พวกเจ้าทำหน้าเศร้าอะไรกันอยู่ ไปทำงานหนักเพื่อข้าได้แล้ว”
ผู้คนต่างคิดกันไปเองราวกับว่านี่เป็นความจริง จึงกระจัดกระจายไป
และบรรยากาศอันตึงเครียดก็ค่อย ๆ จางลง
……
……

รถม้าของตระกูลวู่ ขับออกจากเมืองอย่างช้า ๆ จากนั้นก็หยุดลง

เจ้าของร้านคนเก่าดูเหมือนจะมาถึงที่หมายแล้ว เขาจึงไม่ได้แปลกอะไร เขายกม่านขึ้นและเห็นฟางฉุนฮีที่กำลังรอเขาอยู่
“เจ้าของร้านวู่ ข้ารอท่านอยู่นานแล้ว” ฟางฉุนฮีหัวเราะ
เจ้าของร้านคนเก่ายิ้ม “อย่างนั้นเหรอ”
วู่บูยงบ่นด้วยเสียงต่ำ “ท่านลุงหยู่ อย่าเสียมารยาท เขาคนนี้คือคนใหญ่คนโตที่มีอิทธิพลต่อตระกูลวู่ ของพวกเรานะ”
เจ้าของร้านคนเก่ากลายเป็นคนหูหนวกในทันที
“ไม่เป็นไร ๆ” ฟางฉุนฮีโบกมือและมองไปที่เจ้าของร้านคนเก่า “ในตอนนี้ท่านก็ได้เป็นคนของพวกเราแล้ว มันถึงเวลาที่ท่านจะต้องส่งของบางอย่างมาให้พวกเราแล้วล่ะ”
เจ้าของร้านคนเก่าไม่เข้าใจ “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร?”

“สูตรน้ำยาอมฤต วิธีกลั่นเทียนหยวน หนิงลิน, วิธีการหล่อของโล่คริสตัล, วิธีการเพาะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสัตว์วิญญาณ และรายชื่อแหล่งที่มาวัตถุดิบของสินค้าต่างๆในร้าน” ฟางฉุนฮีกล่าว

เจ้าของร้านคนเก่าเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ในทันที
ไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมถึงขนาดใช้ตระกูลวู่เป็นข้ออ้างในการข่มขู่เขา
พวกเขาต้องการความลับของสำนักโล่พิทักษ์จากวู่หยู่

“ไม่รู้สินะ” เจ้าของร้านคนเก่าตอบกลับ
ฟางฉุนฮียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ โชคดีที่ข้าเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว”
จากนั้นชายคนหนึ่งที่ดูมีอารมณ์นุ่มนวลก็เดินออกมาจากด้านหลังเขา เขาคนนี้เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง ลมปราณของเขาค่อนข้างเย็นเหมือนกับงูพิษ
มีสัตว์วิญญาณสีดำลอยอยู่ในอากาศข้าง ๆ ของชายคนนั้น
สัตว์วิญญาณสีดำนี้เป็นเหมือนผี มันถูกปกคลุมไปด้วยไอวิญญาณที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาว
ตาของเจ้าของร้านคนเก่าเบิกกว้าง “ผู้คุมวิญญาณ”
นี่เป็นสัตว์วิญญาณที่หายากมาก

สัตว์วิญญาณระดับทอง – ผู้คุมวิญญาณ
สัตว์วิญญาณที่ใช้ทักษะการอ่านวิญญาณได้ดีที่สุด
“ลงมือ” ฟางฉุนฮีออกคำสั่งในทันที
ชายคนนั้นผงกศีรษะจากนั้นเขาก็ส่งมือของเจ้าของร้านคนเก่าให้จมลงไปในเงา
เจ้าของร้านคนเก่าไม่สามารถต้านทานแรงกดดันของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงได้ ดวงตาของเขาสูญเสียความมันวาวไปในพริบตา

ทักษะ[อ่านวิญญาณ] ได้ถูกเปิดใช้งาน
ทว่าชายคนนั้นก็ได้ลืมตาขึ้นและส่ายหัว “ข้าได้ค้นหาในความทรงจำของเขาแล้ว สิ่งแปลก ๆ ทั้งหมดในสำนักโล่พิทักษ์เกิดขึ้นโดยลั่วอู๋เพียงคนเดียวเท่านั้น เขาคนนี้ไม่ได้รู้อะไรเลย”
“นี่มันหมายความว่ายังไง!” ฟางฉุนฮีโกรธ
เขาใช้เวลามากมายในการค้นหาตระกูลวู่ จากนั้นก็เสียทุนทรัพย์เชิญผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงที่มีทักษะอ่านวิญญาณ แต่กลับได้ข้อสรุปเช่นนี้เนี่ยนะ?
เมื่อสิ้นสุดการใช้ทักษะอ่านวิญญาณเจ้าของร้านคนเก่าก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้หลุดออกมาจากห้องใต้ดินที่หนาวเย็น ร่างกายของเขายังคงหนาวสั่นราวกับว่าเขาเป็นโรคร้ายแรง

การอ่านวิญญาณนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก
ไม่ต้องพูดถึงสภาพร่างกายของเจ้าของร้านคนเก่าเลย เนื่องจากเขาทำงานหนักมาตลอดทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ร่างกายของเขาจึงย่ำแย่มาก
ตอนนี้ร่างกายของเขาไม่สามารถอดทนต่อการอ่านวิญญาณได้

“ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” ฟางฉุนฮีโกรธเขาจ้องไปที่เจ้าของร้านคนเก่าที่นอนหอบอยู่บนพื้น “ไปกันเถอะ”
ฟางฉุนฮีพร้อมที่จะจากไปทั้งอย่างนั้น
วู่บูยง ไม่ได้มองไปที่เจ้าของร้านคนเก่าแม้แต่น้อย เขารีบเดินไปข้างหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง “พ่อบ้านฟางฉุนฮีแล้วธุรกิจของข้าล่ะ … ”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า?” ฟางฉุนฮีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่ได้อะไรมาเลย แล้วจะให้ข้าช่วยเจ้าได้อย่างไรกัน?”
วู่บูยงกลัวจนต้องล่าถอยไป