บทที่ 148 หากใครไม่พอใจข้า ก็มาตามตัวข้าเอาเองก็แล้วกัน

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“นี่มัน… เถ้าแก่ปู้ ท่านแน่ใจหรือขอรับว่าต้องการแค่นี้จริงๆ” ขันทีหนุ่มดูงุนงงหลังจากอ่านรายการวัตถุดิบที่ปู้ฟางฝากให้ไปจัดหามาให้ ใบหน้าอ่อนวัยของเขาดูเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งอ่านไปเมื่อครู่

“ใช่ ข้าต้องการแค่นี้ รบกวนเจ้าเตรียมให้หน่อย พรุ่งนี้ข้าจะรีบไปเตรียมตัวแต่เช้า” ปู้ฟางเอ่ย

ขันทีหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ “เถ้าแก่ปู้ ท่านไม่ไปวันนี้หรือ พ่อครัวแม่ครัวชื่อดังจากทั่วทั้งจักรวรรดิจะมารวมตัวกันเชียวนะขอรับ รับรองว่าด้วยความสามารถของท่าน ท่านจะต้องเป็นที่ชื่นชมของใครหลายคนแน่นอน”

ปู้ฟางเหลือบมองขันทีหนุ่มอย่างไร้อารมณ์ จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยตอบ “เห็นทีจะต้องขอตัว ข้าจะไปที่ประตูมายาสวรรค์พรุ่งนี้เช้าทีเดียวดีกว่า แค่เตรียมวัตถุดิบมาให้ครบทันเวลาก็พอ”

“ละ… แล้วพ่อครัวแม่ครัวชื่อดังเหล่านั้นเล่าขอรับ หลายคนพูดไม่หยุดเลยว่าอยากรู้จักมักจี่กับท่าน หากท่านไม่ไป อาจทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจได้นะขอรับ” ขันทีหนุ่มเตือนปู้ฟางด้วยความหวังดี สีหน้าดูสองจิตสองใจไม่น้อย

เมื่อได้ยินดังนั้นปู้ฟางก็คลี่ยิ้มออกมา เขาตบบ่าขันทีหนุ่มแล้วเอ่ยตอบ “กลับไปบอกพวกนั้นเถิด ว่า หากใครไม่พอใจข้าก็มาตามตัวข้าเอาเองก็แล้วกัน”

“ช่างน่าประทับใจอะไรเช่นนี้… ร้านใจไม้ไส้ระกำนี่เป็นเหมือนข่าวลือที่ได้ยินมาไม่มีผิด ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริงๆ แต่จำนวนพ่อครัวแม่ครัวที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ นั้นมีมากกว่า… เขาทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้ตนเองเสียเปรียบ” ขันทีหนุ่มคิดพร้อมถอนหายใจ

แต่ขันทีหนุ่มดูเหมือนจะผ่านประสบการณ์ในชีวิตมาไม่น้อย จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนหันหลังกลับเพื่อไปรายงานที่วังหลวง

ปู้ฟางมองแผ่นหลังของขันทีหนุ่มที่กำลังจากไป เขาใช้สองมือยกถ้วยน้ำร้อนที่ยังมีควันอุ่นๆ ขึ้นมาจิบ

ตอนนี้ปู้ฟางมีปราณอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการแล้ว แม้เขาจะยังไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะยอมให้คนอื่นมาข่มเหงรังแกตนเองได้ นอกจากนี้เขายังไม่สนใจเรื่องการคบหาสมาคมกับกลุ่มพ่อครัวแม่ครัวอีกด้วย ต้องการเพียงทำอาหารอย่างสงบสุขเงียบๆ คนเดียวเท่านั้น

ภายในโรงเตี๊ยมหรูหราในนครหลวง

แม้วันนี้จะเป็นวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ แต่โรงเตี๊ยมแห่งนี้กลับเต็มทุกห้อง เนื่องจากถูกจองไว้ให้บรรดาพ่อครัวแม่ครัวที่มีชื่อเสียงจากทั่วอาณาจักรพักค้างคืน

ในพื้นที่รับรองอันแสนโอ่โถงของโรงเตี๊ยมหรู มีฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ กลุ่มคนเหล่านั้นมีทั้งหญิงและชายที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส

กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับจดหมายเชิญจากวังหลวง เป็นพ่อครัวแม่ครัวมากความสามารถจากทั่วราชอาณาจักร ที่รีบเดินทางมายังนครหลวงเพื่อร่วมแข่งขันในงานสมโภชร้อยครอบครัว ทุกคนล้วนเป็นพ่อครัวแม่ครัวที่มีชื่อเสียงในเมืองของตน และมีความสามารถในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยม

พ่อครัวแม่ครัวเหล่านี้ต่างส่งยิ้มให้กันอย่างสุภาพและทักทายกันอย่างมีอัธยาศัย แม้จะไม่รู้จักมักจี่กัน แต่ในเมื่อต้องมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้ ก็ต้องทำความรู้จักกันเอาไว้เผื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ในภายหน้า

แต่มีหลายคนในที่แห่งนี้ที่ไปยืนล้อมพ่อครัวแม่ครัวกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลาง

ผู้คนที่เป็นจุดสนใจนี้ต่างมีรูปร่างอ้วนกลมกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด พุงของพวกเขาใหญ่ยื่น ใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างขณะทักทายทุกคนรอบตัวพร้อมจอกสุราในมือ สายตาของทุกคนที่มองมาที่คนเหล่านี้ดูเคารพนับถืออย่างชัดเจน

กลุ่มคนเหล่านี้คือเหล่าหัวหน้าพ่อครัวแม่ครัวของวังหลวงนั่นเอง ก่อนหน้านี้จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นคนคัดเลือกพวกเขาจากบรรดาพ่อครัวแม่ครัวทั่วราชอาณาจักร จึงทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว คนเหล่านี้จึงกลายมาเป็นผู้นำของกลุ่มไปโดยปริยาย

“พ่อครัวจิน เถ้าแก่ร้านใจไม้ไส้ระกำไม่มาเหมือนที่เราคิดไว้จริงๆ เสียด้วย” พ่อครัววัยกลางคนที่มีใบหน้ากลมและรูปร่างอ้วนเล็กน้อยพูดขึ้น พร้อมยกจอกสุราไปทางชายหัวล้านที่ดูอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย แม้ริมฝีปากของเขาจะมีรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับเปี่ยมด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างชัดเจน

พ่อครัวจินหัวล้านเหลือบมองอีกฝ่าย แล้วทำเพียงยิ้มบางตอบโดยไม่พูดอะไร

ชื่อของปู้ฟางเป็นที่เลื่องลือในหมู่พ่อครัวแม่ครัวในนครหลวง โดยเฉพาะกับพวกที่ทำงานในครัวหลวง ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่นั้น ชื่อของชายหนุ่มเปรียบเสมือนฝันร้ายของคนเหล่านี้เลยทีเดียว

ตั้งแต่จักรพรรดิองค์ก่อนไปกินอาหารที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง พระองค์ก็เอาใจยากและจุกจิกมากขึ้นไปอีก ทุกๆ วันจะมีพ่อครัวแม่ครัวหลายคนถูกหัวหน้าของตนเองดุด่าว่ากล่าว

เหตุผลก็คืออาหารที่พวกเขาทำนั้นโดนเมินอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากไม่ถูกปากจักรพรรดิฉางเฟิ่ง

ในช่วงเวลานั้นชีวิตของพ่อครัวแม่ครัวเหล่านี้ถือว่าโศกเศร้าอาดูรเหลือทน ทุกๆ วันพวกเขาต้องคิดค้นอาหารจานใหม่ที่จะทำให้จักรพรรดิพอใจ…

“กับอีแค่เด็กหัวกะลาที่บังเอิญทำอาหารถูกปากจักรพรรดิองค์ก่อนจานหนึ่ง คิดว่าตนเองเป็นพ่อครัวหัวป่าก์อันดับหนึ่งเรอะ ประสบการณ์น้อยเสียจนปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มันรู้หรือเปล่าเถิดว่าทำอาหารแบบมืออาชีพเขาทำกันอย่างไร” พ่อครัวจินหัวใสแจ๋วพูดเหยียดหยัน ก่อนจะกระดกสุราหมดจอกในอึกเดียว

จากมุมมองของเขา เขาคิดว่าปู้ฟางเป็นเพียงพ่อครัวที่โชคดี บังเอิญทำอาหารถูกปากจักรพรรดิองค์ก่อนโดยมีโชคช่วยเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิองค์ก่อน ปู้ฟางจะเป็นอะไรไปได้มากกว่าพ่อครัวไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่ไม่มีใครรู้จัก เขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เข้ามาเป็นหนึ่งในพ่อครัวหลวงด้วยซ้ำ

“เถ้าแก่ปู้ก็จะเข้าร่วมงานสมโภชร้อยครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช่นกัน เราต้องใช้โอกาสนี้สั่งสอนหมอนี่ให้รู้เสียบ้างว่าอาหารอร่อยที่แท้จริงเป็นอย่างไร” พ่อครัวหลวงอีกคนหนึ่งพูดเย้ยด้วยทัศนคติเดียวกัน

“มีใครรู้หรือไม่ว่าพรุ่งนี้เถ้าแก่ปู้จะทำอาหารอะไร เราน่าจะพอเดาอาหารที่เขาจะทำได้จากวัตถุดิบที่เขาสั่งนะ” พ่อครัวอีกคนถาม

ดวงตาของหลายคนเป็นประกายขึ้นทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนี้

พ่อครัวจินลูบศีรษะล้านเลี่ยนเตียนโล่งของตนอยู่สักพัก ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ใครสนกัน ข้ามั่นใจว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะขยี้ไอ้เถ้าแก่ปู้นั่นให้แหลกได้ด้วยอาหารของข้าอย่างแน่นอน”

“นั่นสินะ พ่อครัวจินพูดถูก พอถึงเวลาเราก็แค่แสดงตัวให้ทุกคนรับรู้ว่าเป็นพ่อครัวหลวง เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครแตะได้แล้ว!” หนึ่งในกลุ่มพ่อครัวเริ่มหัวเราะ

ชื่อเสียงของพ่อครัวหลวงเป็นที่รู้จักกันดีภายในนครหลวงนี้ ในสายตาของสามัญชนทั่วไป พ่อครัวจากครัวหลวงย่อมหมายถึงอาหารอร่อยอย่างแน่นอน เนื่องจากอาหารที่พวกเขาทำนั้นเป็นอาหารที่เตรียมให้จักรพรรดิโดยเฉพาะ!

แล้วจักรพรรดิมีศักดิ์อย่างไรน่ะหรือ เขาเป็นพญามังกรในร่างมนุษย์ เป็นสมมติเทพ คนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นพ่อครัวประจำพระองค์ได้ ย่อมเป็นเพชรยอดมงกุฎของบรรดาพ่อครัวแม่ครัวทั้งหมดในโลกหล้าอย่างแน่นอน

“ต่อให้ไม่เผยตัวว่าข้าเป็นพ่อครัวหลวง ข้าก็ขยี้ไอ้เด็กนั่นให้พังไม่เป็นท่าได้อยู่ดี เป็นแค่พ่อครัวห่วยๆ ที่บังเอิญโชคดีแท้ๆ มันจะมีอะไรให้ต้องกลัวกัน” พ่อครัวจินมั่นใจในฝีมือของตนมาก ความมั่นใจในตัวเองของพ่อครัวจินสว่างเจิดจ้าไม่ต่างจากศีรษะล้านเลี่ยนของเขาที่ต้องแสงไฟเลยทีเดียว

“พ่อครัวจิน เถ้าแก่ปู้อาจจะไม่ใช่คนที่พวกเราต้องระวังก็จริง แต่สองพี่น้องจากเมืองอาทิตย์ขจีนี่เราจะละเลยไม่ได้ ท่านอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขามาก่อน แต่สองคนนี้โด่งดังเป็นอย่างมากในเขตเมืองอาทิตย์ขจี อาหารของพวกเขารสชาติแปลกแตกต่าง แถมวัตถุดิบที่ใช้ยังพิเศษมากอีกด้วย รวมๆ แล้วก็คือ… สองคนนี้แข็งแกร่งมาก!” พ่อครัวคนหนึ่งเล่า

พ่อครัวแม่ครัวหลายคนสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทุกคนต่างเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของสองพี่น้องแห่งเมืองอาทิตย์ขจีมาก่อน

พ่อครัวจินหรี่ตาแล้วพยักหน้า “อืม ข้าก็เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน สองคนนี้เก่งพอตัวเลยทีเดียว แต่แขกในงานสมโภชนั้นคุ้นเคยกับรสชาติที่แตกต่างจากรสมือของนักผจญภัยในดินแดนป่ารกชัฏ… โอกาสที่พวกเขาจะชนะคงมีไม่มาก”

หลังจากที่ได้ยินคำตอบ บรรดาพ่อครัวแม่ครัวก็เริ่มยกยอปอปั้นฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวจิน และชื่นชมกันและกันไม่ขาดปาก งานเลี้ยงดำเนินไปในลักษณะนี้จนเวลาเคลื่อนผ่านไป

วันต่อมา แสงแรกของวันกำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า

ที่ประตูมายาสวรรค์ การเตรียมงานช่วงสุดท้ายเกือบเสร็จสิ้นแล้ว บรรดาองครักษ์ต่างพากันเข้าประจำที่ เพื่อคอยควบคุมความเรียบร้อยในหมู่ผู้ร่วมงาน ภายนอกบริเวณยังมีพื้นที่ที่จัดเอาไว้สำหรับประชาชนที่ไม่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมได้ยืนสังเกตการณ์อีกด้วย

ภายในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์เองยังมีพื้นที่ที่จัดไว้สำหรับผู้สังเกตการณ์ภายในงานด้วยเช่นกัน

ตรงกลางลานกว้างมีโต๊ะคลุมด้วยผ้าสีแดงตั้งอยู่สามร้อยตัว ดูจากระยะไกลแล้วเหมือนดอกไม้สีแดงที่กำลังเบ่งบานไม่มีผิด

ข้างๆ โต๊ะเหล่านั้นมีเตาไฟตั้งเรียงรายอยู่ ผู้ร่วมงานสามารถดูการทำอาหารของพ่อครัวแม่ครัวทุกคนได้ด้วยตาของตนเอง ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เนื่องจากพ่อครัวแม่ครัวทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง

ทันทีที่แสงแรกของวันสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า เสียงกลองดังสนั่นก็ดังออกจากประตูจัตุรัสมายาสวรรค์

ตึง ตึง ตึง!

เสียงกลองที่ดังขึ้นทุกครั้งดูเหมือนจะฟาดเข้าไปในใจของทุกคน ทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเขาล้วนสั่นไหว

เมื่อเสียงกลองหยุดลง ประตูมายาสวรรค์ก็เปิดออก บรรดาผู้คนที่รออยู่ด้านนอกค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ผู้โชคดีจากสามร้อยครอบครัวเดินหาโต๊ะที่มีชื่อของตนจนเจอแล้วนั่งลงด้วยใบหน้ามีความสุข ด้วยความที่นครหลวงมีผู้อยู่อาศัยมากมาย จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกดีอกดีใจที่ตนเองได้รับเลือก

ส่วนประชาชนที่นั่งอยู่ตรงพื้นที่สังเกตการณ์ต่างก็มีสีหน้าอิจฉาขณะมองไปยังกลุ่มคนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ การได้ลิ้มรสอาหารฝีมือพ่อครัวแม่ครัวมีชื่อเสียงมากหน้าหลายตานั้นช่างเยี่ยมยอดยิ่งนัก

เสียงกลองดังขึ้นอีกสามครั้ง บรรดาพ่อครัวแม่ครัวในชุดเครื่องแบบดูสะอาดเรียบร้อยเดินเข้ามา ต่างคนต่างเชิดคางยืดอกด้วยความมั่นใจ แล้วพากันเดินไปประจำที่เตาของตน

ที่ด้านนอกประตูมายาสวรรค์ ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งกำลังค่อยๆ เดินเอามือไพล่หลังมาอย่างไม่รีบร้อน

……………………