บทที่ 173 ตบหน้า

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 173

ตบหน้า

“พูดก็พูดเถอะ ข้าน่ะมอบของขวัญให้หลินรั่วจิ่งไปไม่รู้เท่าไรแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองกลับมาจากหลินรั่วจิ่งเลย ที่แท้นางก็มีแผนจับมือกับคนอื่นแต่แรกแล้วนี่เอง”

ไม่ใช่แค่หลินหัวเยว่ที่คิดเช่นนั้น แม้แต่หลินรั่วจิ่งที่อยู่บนเวทีเองก็ยังคิดว่านางที่อุตส่าห์ทำดีกับหลินซีเหยียนหลายวันมานี้ในที่สุดก็ออกผลเสียที ทำให้นางอดใจที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่ามีอะไรกันแน่อยู่ในกล่องใบนั้น

หงเหมยที่รู้สึกได้ว่าสายตาที่จับจ้องมาที่ด้านหลังของนางหายไปแล้ว นางก็ได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวต่อ “คุณหนูรองได้สั่งไว้ว่า ให้ข้าได้แนะนำของสิ่งนี้ก่อนที่จะเปิดมันออก”

ฮูหยินอวี้นั้นเดิมทีอยากที่จะเข้าไปขัดขวางเพราะนางรู้สึกได้ว่าหลินซีเหยียนนั้นคงไม่ทำอะไรที่ดีงามออกมาแน่ๆ หรือต่อให้นางอยากจะทำนางก็คงไม่ได้ส่งของอะไรดีๆมาแน่ๆ แต่นางก็ได้ถูกหยุดเอาไว้ด้วยสายตาของหลินรั่วจิ่ง

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็แนะนำมาตั้งแต่แรกได้เลย!”

หลินรั่วจิ่งที่ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นบนใบหน้าของนางออกมาได้ ซึ่งการวางตัวและใจกว้างของนางนี้ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกชื่นชมนางอย่างจริงใจ

ด้วยการอนุญาตและการสนับสนุนนี้ ทำให้เสียงของ หงเหมยนั้นไม่ได้เบาเหมือนก่อนหน้านี้ และเต็มไปด้วยความมั่นใจมากขึ้น แม้ว่าเสียงของนางนั้นจะไม่ได้ดังเหมือนกับระฆัง แต่ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆได้ยินอย่างชัดเจน

“คุณหนูรองบอกไว้ว่า ของสิ่งนี้แม้แต่คุณหนูใหญ่ก็น่าจะเดาได้หลังจากที่ข้าพูดจบ เพราะของสิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีหลินและฮูหยินอวี้มอบให้นางในปีนั้น ของขวัญชิ้นนี้เป็นของที่มีความสำคัญมากสำหรับคุณหนูรอง จึงได้คิดที่จะมอบมันให้กับคุณหนูห้าในวันนี้และนางหวังว่าคุณหนูห้าจะ…..”

เมื่อนางพูดไปได้ครึ่งทาง มหาเสนาบดีก็ได้ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ไม่เพียงแต่เขาแต่ยังรวมถึงฮูหยินอวี้ที่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าของที่อยู่ในกล่องนั้นคืออะไร ของชิ้นนั้นจะให้คนอื่นมาเห็นไม่ได้เด็ดขาด

“จะเดาได้ว่าของสิ่งนี้มันคืออะไร?”

ทันทีที่เสียงของหงเหมยจบลง ฮูหยินอวี้ก็ได้รีบเดินมา ดูเหมือนว่านางนั้นคิดที่จะชิงเอากล่องไม้นั้นมาจากมือของนาง แต่หงเหมยก็ได้รีบเอามันหลบไปอย่างรวดเร็ว

นางมองไปที่ฮูหยินอวี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “คุณหนูรองสั่งเอาไว้ว่ากล่องนี้จะต้องไม่ให้ฮูหยินเอาไปได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันจะทำลายตัวเอง ของสิ่งนี้สำคัญกับคุณหนูรองมาก นางบอกว่าต่อให้ท่านไม่พอใจ ก็อย่าให้กล่องนั้นกับท่านไป”

“ฮูหยินอวี้ ทำไมถึงทำเช่นนั้นด้วยเล่า? ผู้คนต่างก็อยากจะรู้นะว่ามีอะไรอยู่ในกล่องนั้น?”

เมื่อใดที่มีปัญหาเกิดขึ้น ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะขาดคนคอยดูอย่างตื่นเต้น แล้วยิ่งท่าทีของฮูหยินอวี้เมื่อสักครู่ด้วยแล้ว หลายคนก็พอจะเดาได้ว่ามีสิ่งใดที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล่องไม้นั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกอาการกลัวว่าของสิ่งจะถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนขนาดนั้น

ฮูหยินอวี้เองก็เป็นผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ อย่างนางนั้นจะตื่นกลัวกับคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร

แล้วฮูหยินอวี้ก็ได้ยิ้มและกล่าว “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนอกจากหนังสือแบบนั้นอยู่ในนั้นน่ะ ในตอนที่เด็กในบ้านโตเป็นผู้ใหญ่ ครอบครัวก็จะต้องซื้อให้เป็นของขวัญอยู่แล้วน่ะ”

พูดเพียงแค่ไม่กี่คำ ฮูหยินอวี้ก็สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ในมือได้แล้ว ซึ่งผู้คนต่างก็รู้สึกเข้าใจได้เมื่อพวกเขาได้ยินที่นางพูด อย่างไรเสียพวกเขาต่างก็ทำเหมือนกัน และของแบบนั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะเอามาโชว์ให้คนอื่นเห็นเสียด้วย

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้สาวใช้สองคนนั้นลงมาได้แล้ว!” แล้ว ฮูหยินท่านหนึ่งที่อยู่ใต้เวทีก็ได้กล่าวด้วยใบหน้าแดงๆ

“พวกเจ้าได้ยินรึยัง? เอาของขวัญแบบนั้นมามอบให้คุณหนูห้าเป็นการส่วนตัวดีกว่าแทนที่จะนำมาให้ต่อหน้าผู้คนหมู่มากเช่นนี้” ฮูหยินอวี้ก็ได้แกล้งทำดุสาวใช้ แล้วนางก็ได้ทำสายตาไปที่สาวใช้สองคนนั้นให้ทำตามอย่างเชื่อฟัง

หงเหมยก็รู้ดีว่าถ้านางไม่ฟังคำสั่งฮูหยินอวี้แล้ว พวกนางจะต้องถูกพาเข้าเตาเผาแน่ ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเสียใจกับคุณหนูรอง แต่นางก็จำเป็นต้องทำตามแต่โดยดี

แล้วสาวใช้ทั้งสองคนก็ได้ทำตามอย่างเชื่อฟังและเตรียมที่จะลงไป แต่ก็ไม่รู้เลยว่ามีใครที่ยื่นเท้าออกมาขวางทางแล้วทำให้หงเหมยสะดุดล้ม มีเสียงดังแกร๊กเกิดขึ้นมาเมื่อกล่องใบนั้นตกลงกับพื้นแล้วเปิดออกมา แล้วของที่อยู่ข้างในก็ได้โผล่ออกมาต่อหน้าผู้คนโดยที่ไม่มีอะไรปิดบัง

“นี่มันปิ่นปักผมไม้ชัดๆ ไหนบอกว่าเป็นหนังสือแบบนั้นไง?”

“บุตรีคนที่สองนี่ใช่ลูกสาวของฮูหยินเยี่ยที่มีชื่อเสียงในเวลานั้นรึเปล่านะ จำได้ว่าในงานพิธีปักผมก็ไม่ได้จัดอย่างดีด้วย แม้แต่เครื่องประดับที่ใช้ก็มีแค่ปิ่นปักผมไม้อันเดียวด้วย ดูจากสีแล้วก็ทำมาจากไม้ธรรมดาๆด้วย เกรงว่าเป็นแบบที่เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนเลยนะ แม้แต่ลูกสาวตระกูลธรรมดาๆก็ยังไม่ใช้กันเลยนะ”

แล้วผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็พูดกันอย่างมันปากมาก “ดูเหมือนว่าการที่ฮูหยินเยี่ยจากไปไวนั้นจะทำให้ลูกสาวที่เหลือเอาไว้นั้นต้องทุกข์ทรมานนะ”

“นั่นสิ แล้วดูเครื่องประดับของคุณหนูห้านั่นสิ เกรงว่าลูกปัดที่ดูไม่โดดเด่นอะไรนั่นก็น่าจะราคามหาศาลอยู่นะ”

เพราะว่าที่รักของฮูหยินอวี้และมหาเสนาบดีหลินตั้งความหวังไว้สูงมาก ทำให้เสียงของที่จัดเตรียมไว้ให้หลินรั่วจิ่งในเวลานี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นของชั้นเลิศที่จะหาได้ในเมืองหลวง

ในเวลานี้คำพูดที่ฮูหยินอวี้อธิบายเอาไว้ก่อนหน้านั้น ได้ถูกด้อยค่าไร้น้ำหนักหมดแล้ว

แม้แต่สีหน้าของฮ่องเต้ก็ไม่ดีอย่างมาก แล้วได้จ้องไปที่มหาเสนาบดีหลินซึ่งได้นั่งลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว แล้วกล่าวกับเขา “สำนึกความผิดคือหนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่”

มหาเสนาบดีหลินก็ได้รีบคุกเข่ากับพื้นทันที “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามที่ฮ่องเต้ชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”

ส่วนหลินรั่วจิ่งที่สีหน้าซีดเผือด แต่ก็ยังฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าว “ทุกท่าน ถึงสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าหามาให้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าพวกเราจะเมินเฉยต่อเรื่องนี้ ต่อจากนี้ท่านแม่ของข้าจะทำเพื่อชดใช้นางแน่นอน ข้าหวังให้พวกท่านจะยกโทษให้ท่านแม่ของข้าในเวลานี้ด้วย”

“เจ้าโกหก!”

ในขณะที่ผู้คนกำลังจะเห็นแก่หน้าของหลินรั่วจิ่งอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงของเด็กดังเข้าหูของทุกคน

เมื่อมองไปพวกเขาก็พบกับเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่สูงยังไม่เท่ากับขาของผู้ใหญ่เลยเดินเข้า พวกเขาต่างก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่รู้หรือไงว่าการไปทำให้ตระกูลขุนนางผู้ใหญ่เช่นนี้โกรธขึ้นมาแล้วเขาจะสู้ได้อย่างนั้นเหรอ?

“ใครกันที่ปล่อยให้เจ้าเด็กผีนี่เข้ามา ทำไมยังไม่รีบเอามันลงไปอีก”

ฮูหยินอวี้ที่กำลังโกรธก็ได้ระเบิดอารมณ์โกรธทันทีที่นางเห็นเทียนเอ๋อโต้แย้งกับหลินรั่วจิ่งกลางเวทีเช่นนี้

ในขณะที่เหล่าสาวใช้กำลังจะรุกเข้าหาเทียนเอ๋อ ชิงอวี่ก็ได้ปรากฏตัวออกมา นางได้ปกป้องเทียนเอ๋อแล้วมองมาด้วยสายตาที่เย็นชาไปยังผู้คนที่จะเข้ามาหาเทียนเอ๋อ

ฮ่องเต้ก็ได้มองดูด้วยแววตาประหลาดใจ หลินซีเหยียนนั้นเป็นเพียงแค่บุตรีของมหาเสนาบดีเท่านั้น แต่กลับหาคนคุ้มกันที่ฝีมือดีขนาดนี้ได้

การรับมือกับผู้หญิงที่ทำได้อาละวาดนั้น ย่อมไม่ใช่คู่มือของชิงอวี่อยู่แล้ว ในเวลาไม่นานนักคนเหล่านี้ก็ได้พากันลงไปนอนกองกับพื้น

เทียนเอ๋อก็ได้ปรบมือเมื่อเขาเห็นเช่นนั้น ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรอยู่นั้น เขาก็ได้สะอึกขึ้นมา จากนั้นผู้คนก็พบว่าเด็กคนนั้นดูเหมือนว่าจะเมาอยู่

“พวกเจ้ามันคนไม่ดี พวกท่านเห็นไหม ป้าคนนั้นยังเรียกด่าเทียนเอ๋อว่าเป็นลูกผีอยู่เลย

อึ๊ก~ พวกท่านรู้บ้างไหมว่าแม่ของเทียนเอ๋อนั้นทั้งถูกปรักปรำ และถูกไล่ล่าจนเกือบตายน่ะ

ยากลำบากแค่ไหนกว่าจะกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีได้ อึ๊ก~

แต่ก็ไม่เคยได้รับความรักและเจอแต่เรื่องยากลำบากจากคนพวกนี้ เทียนเอ๋อรู้สึกสงสารแทนท่านแม่จริงๆ!”

“หุบปาก” เมื่อฮูหยินอวี้เห็นว่านางไม่สามารถที่จะหยุดด้วยกำลังได้ จึงทำได้แต่ตะโกนออกไปเสียงดัง

แต่ไม่น่าเชื่อว่าเทียนเอ๋อนั้นจะร้องไห้ออกมาหลังจากที่ถูกดุ แม้แต่ชิงอวี่ก็ยังตกใจ เพราะจากที่นางรู้ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือยากลำบากแค่ไหนแต่นายน้อยก็ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง จนกระทั่งวันนี้

“เห็นไหม คนน่ารังเกียจนั้นว่าข้าอีกแล้ว”