บทที่ 172
มอบของขวัญ
เทียนเอ๋อนั้นไม่ชอบหลินรั่วจิ่งมาก ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่เคยกระทบกระทั่งกับนางมาก่อนเลยก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาซะเฉยๆ และไม่คิดที่จะปิดบังด้วย
เขาจึงได้ผงกหัวแล้วกล่าว “ข้าก็ไม่ชอบทุกคนในจวนมหาเสนาบดีนั่นแหละ พวกเขาล้วนเป็นคนไม่ดีที่ทำร้ายท่านแม่ของข้า”
องค์ชายสิบหกก็ได้ผงกหัวแม้ว่าจะไม่เข้าใจซะทีเดียว เมื่อพิธีมาถึงตอนต้องผูกผมของหลินรั่วจิ่ง ฮูหยินอวี้ก็เดินออกมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้องค์ชายสิบหกสงสัย “ข้าจำได้ว่าผู้ที่จะผูกผมหากไม่ใช่เมียหลวงก็ต้องเป็นลูกสาวคนโตไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงได้เป็นเมียน้อยมาผูกผมของนางแทนล่ะ?”
ก่อนหน้านี้เทียนเอ๋อก็ได้เล่าเรื่องคนไม่ดีในบ้านมหาเสนาบดีให้องค์ชายสิบหกฟังไปบ้างแล้ว ในเวลานี้เขารู้สึกอายขึ้นมาแล้วแลบลิ้นออกมา
“ข้าลืมเล่าไปเลยว่า มหาเสนาบดีนั้นได้ยกให้นางขึ้นเป็นเมียหลวงแทนน่ะ”
เรื่องนี้ได้ทำให้องค์ชายสิบหกรู้สึกโมโหขึ้นมา มหาเสนาบดีหลินนั้นเอาอกเอาใจเมียน้อยแล้วทำร้ายเมียหลวง จากนั้นก็ปล่อยให้เมียน้อยรังแกลูกสาวตามสมรส มหาเสนาบดีหลินนั้นช่างเหมือนหมาเสียจริงๆ ทำไมถึงได้เป็นคนที่ทำอะไรน่ารังเกียจเช่นนี้เนี่ย
แล้วเด็กทั้งสองคนก็พากันโมโหอย่างมาก จนในที่สุดทั้งสองคนก็ตัดสินใจที่จะไม่อยู่ดูต่อ ด้วยการช่วยเหลือของเหลิ่งเถี่ย ทั้งคู่ก็ได้ลงมาจากคาน
“ข้ารู้สถานที่ดีๆในจวนมหาเสนาบดีล่ะ ให้ข้าพาเจ้าไปนะ” เทียนเอ๋อก็ได้จูงมือขององค์ชายสิบหกไป และดวงตาที่กลมโตของเขาก็ได้เป็นประกายขึ้นมา
เหลิ่งเถี่ยก็ได้คิ้วขมวดแล้วยืนขวางเด็กทั้งสองคนนั้นแล้วกล่าว “คุณชายที่นี่คือจวนของมหาเสนาบดี ผู้น้อยคิดว่าท่านไม่ควรจะเพ่นพ่านไปมาสักเท่าไรนะขอรับ ไม่อย่างนั้นจะถูกพบเอาได้อย่างง่ายดายนะขอรับ”
เมื่อได้ยินที่พูดเช่นนั้น องค์ชายสิบหกก็ได้ก้มหน้าลงแล้วฟังอย่างตั้งใจ ในขณะที่เขาทำท่าจะล้มเลิกอยู่นั้น เทียนเอ๋อก็ได้ตบไหล่ของเขาแล้วจากนั้นก็มองไปที่เหลิ่งเถี่ย “ท่านลุงเหลิ่งเถี่ย อย่าได้เป็นห่วง ข้าจะปกป้องพี่สิบหกเอง”
มองไปที่เด็กตัวน้อยที่สูงไม่ถึงสูงไม่ถึงเอวของเจ้านายของเขา แล้วเหลิ่งเถี่ยก็ได้มีสีหน้าเป็นกังวลอยู่พักหนึ่ง
ด้วยความยืนกรานของเขานั้นทำให้เทียนเอ๋อที่เดิมทีก็มีสีหน้าไม่ดีอยู่แล้ว ก็ไม่ดีมากขึ้นไปอีก จากนั้นเทียนเอ๋อก็ได้เอามือล้วงเข้าไปที่กระเป๋าที่เอวด้วยมือน้อยๆของเขา แล้วจากนั้นก็โปรยใส่เหลิ่งเถี่ย แล้วองครักษ์ชื่อดังเหลิ่งเถี่ยก็ได้ลงไปกองกับพื้นทันที
“เทียนเอ๋อ เจ้าทำอะไรกับเหลิ่งเถี่ยน่ะ?”
องค์ชายสิบหกก็ได้ปัดมือของเทียนเอ๋อแล้วรีบวิ่งไปดูอาการของเหลิ่งเถี่ย
เทียนเอ๋อที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่ดีนั้นก็ได้รู้สึกผิดขึ้นมาแล้วกล่าว “ดูเหมือนข้าจะโปรยยาใส่เขาหนักไปหน่อยน่ะ”
“แล้วจะเป็นอันตรายต่อเหลิ่งเถี่ยไหม?”
แล้วองค์ชายสิบหกก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองเทียนเอ๋อ เขาก็รู้สึกได้ว่าเทียนเอ๋อนั้นเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจทำ เขาจึงได้สอน “เทียนเอ๋อ การที่เด็กอย่างเจ้าใช้ยาทำให้คนอื่นสลบสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้มันไม่ดีนะรู้ไหม?”
“แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของข้าให้ไว้ป้องกันตัวนี่นา” เทียนเอ๋อก็ได้จ้องไปที่เขาตอบ “หรือว่าเจ้ากำลังจะบอกว่าที่ท่านแม่ของข้าทำนั้นมันผิดล่ะ?”
องค์ชายสิบหกเองก็รู้ถึงสถานการณ์ของเทียนเอ๋อดี จึงได้ถอนหายใจออกมา จริงๆแล้วเขาทั้งสองคนนั้นคล้ายกัน เทียนเอ๋อได้ใช้พิษกับคนอื่นเพื่อปกป้องตัวเอง ในขณะที่ตัวเขานั้นถูกพิษตั้งแต่ยังเล็กจนมีภูมิต้านทานพิษเพื่อปกป้องตัวเอง
“เทียนเอ๋อ พี่ชายคนนี้ผิดเองแหละ อย่างที่คนพูดกันหากรู้จักผิดแล้วแก้ไขก็จะเป็นยอดคน เจ้าจะยกโทษให้พี่สิบหกได้ไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี่ เทียนเอ๋อก็ได้เงยหน้าแล้วยิ้มอย่างแจ่มใส “ข้ายกโทษให้เจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องไปสักที่กับข้านะ”
องค์ชายสิบหกก็ลังเล “แต่เหลิ่งเถี่ยอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เอาเป็นว่าเราลากพาเหลิ่งเถี่ยที่หมดสติไปหาที่ปลอดภัยกันก่อนดีกว่า แล้วพวกเราค่อยกลับมาปลุกเขาก็ได้”
เทียนเอ๋อก็ได้เร่งเร้าองค์ชายสิบหก
“ข้า….ว่ามันคงไม่ดีหรอก!”
“อย่าลังเลเลยน่า ไปกันเถอะ”
องค์ชายสิบหกที่เต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการเชิญชวนของเทียนเอ๋อได้จึงได้ตอบไป “ก็ได้! ข้าหวังว่าเหลิ่งเถี่ยคงไม่หักขาของข้าหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาหรอกนะ”
แต่มันก็เป็นแค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้น องค์ชายสิบหกนั้นเป็นถึงองค์ชาย ต่อให้เขาทำอะไรที่หนักกว่านี้ลงไป เหลิ่งเถี่ยก็ไม่กล้าที่จะลงโทษเขา
เมื่อเขาตัดสินใจได้ ทั้งคู่ก็ได้ใช้เรี่ยวแรงที่มีช่วยกันลากพาเหลิ่งเถี่ยไปนอนที่ห้องรับแขกสำหรับผู้ชาย
จากนั้นก็ได้ตามเทียนเอ๋อไปยังสถานที่ลับของเขา
เมื่อเห็นตัวเขาและเทียนเอ๋อที่ไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่รอบๆตัวเขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยวคนมากขึ้นเรื่อยๆ องค์ชายสิบหกที่ทนไม่ไหวก็ได้ถามขึ้นมา “นี่เจ้ากำลังพาข้าไปที่ไหนงั้นเหรอ?”
“ชู่ว อย่าเพิ่งพูดอะไรมาก เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองไม่นานหรอก”
หลังจากที่พูดจบเทียนเอ๋อก็ได้เร่งฝีเท้าเรื่อยๆ แล้วทั้งสองคนก็ได้มาถึงบ้านเล็กๆที่โทรมๆแห่งหนึ่ง
“จริงๆแล้วข้าก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนหรอก แต่ข้าจำได้แค่ว่าท่านแม่บอกกับข้าว่าที่นี่มีเหล้าเก็บเอาไว้อยู่ แล้วเหล้าก็เป็นของดีเสียด้วย แค่ดื่มก็สามารถทำให้ลืมสิ่งที่กังวลได้”
มองไปที่ร่างกายเล็กๆของเทียนเอ๋อแล้ว องค์ชายสิบหกก็ได้ถามอย่างเป็นกังวล “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเหล้าคืออะไรน่ะ?”
เทียนเอ๋อก็ได้คิ้วขมวดแล้วคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วกล่าว “ก็น่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่ทานได้นั่นแหละ”
เมื่อองค์ชายสิบหกได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีแล้วกล่าว “เหล้าน่ะเป็นของที่พวกผู้ใหญ่เขาดื่มกัน เจ้ากับข้าดื่มไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ของมันต้องลอง”
เทียนเอ๋อที่ไม่ฟังเสียงก็ได้เริ่มทำการมองดูรอบๆในบ้านเล็กๆแห่งนี้ แล้วเขาก็พบห้องห้องหนึ่งที่ใช้เก็บเหล้าเอาไว้อยู่
ในห้องนี้ไม่เพียงแต่มีเหล้าอยู่มากมาย แต่ยังมีก้อนน้ำแข็งอยู่มากมายด้วย เทียนเอ๋อก็ได้เปิดไหเหล้าออกมาไหหนึ่งแล้วลองชิมดู แล้วพบว่าทานยากมาก
“แหวะๆ ของที่ดื่มยากแบบนี้เนี่ยมันจะทำให้คนลืมเรื่องที่กังวลไปได้จริงๆเหรอ?”
“มันดื่มยากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เมื่อเห็นเทียนเอ๋อที่มีสีหน้าตกใจเกินจริงเช่นนั้น องค์ชายสิบหกก็ได้เดินข้ามาหาแล้วลองดื่มอย่างสงสัย
กว่าเหลิ่งเถี่ยจะพบทั้งสองคนนั้น พวกเขาก็เมาพับหมดสติอยู่ในโรงเก็บเหล้าเรียบร้อยแล้ว
ในขณะนั้นเอง พิธีปักปิ่นของหลินรั่วจิ่งนั้นก็ได้ดำเนินมาเรื่อยๆอย่างเป็นปกติดี
ในขณะที่พิธีกำลังจะจบอยู่นั้นเอง หงเหมยกับสาวใช้อีกคนก็ได้ปรากฏตัวบนเวที
หลินรั่วจิ่งก็ได้มองไปที่สาวใช้ที่ตื่นๆสองคนตรงหน้านาง ก็ได้ปรากฏแววตาที่ยุ่งยากใจในดวงตาของนาง แต่นางก็ได้ยิ้มอย่างอ่อนโยนไปที่สาวใช้ทั้งสองคนนั้นแล้วถามอย่างนุ่มนวล “พวกเจ้าทั้งสองคนมาผิดที่อย่างนั้นเหรอ?”
“ทำไมพวกเจ้ายังไม่รีบกลับไปอีก ไม่รู้รึยังไงว่าที่นี่ที่ไหนน่ะ?”
ฮูหยินอวี้ก็มีสีหน้าที่ดุดันขึ้นมา บนเวทีแห่งนี้เป็นสถานที่ที่จะหลงทางมาได้ยากที่สุดแล้ว แต่นางก็เห็นว่าลูกสาวของนางนั้นได้พูดอย่างใจเย็นเพื่อสาวใช้สองคนนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้ดวงตาของฮูหยินอวี้ก็ได้อ่อนโยนลงมา นางนั้นคิดไม่ทันนางเลย นางนั้นรู้สึกมีความสุขจริงๆที่ลูกสาวของนางนั้นชาญฉลาดเช่นนี้
ในสายตาของนางนั้นผู้หญิงที่ดีไม่เพียงแต่จะต้องมีรูปโฉมที่งดงามแล้ว จะต้องมีความสามารถและปัญญาด้วย หากว่านางไม่ได้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์แล้ว ก็คงจะรู้สึกน่าเสียดายอย่างมาก
ในขณะที่ฮูหยินอวี้กำลังพึงพอใจอยู่นั้น หงเหมยก็ได้กัดฟันของนางแล้วกล่าว “เมื่อตอนรุ่งเช้าวันนี้ คุณหนูรองได้สั่งให้ข้าน้อยมามอบของขวัญให้คุณหนูห้าเนื่องในวันพิธีปักปิ่นคุณหนูห้าเจ้าค่ะ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ก็ทำให้ทุกคนตกใจขึ้นมาทันที
บุตรีคนที่สองของจวนมหาเสนาบดีงั้นเหรอ?”
หลินซีเหยียน!
ชื่อนี้เป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี และเป็นอีกครั้งที่ชื่อนี้ปรากฏขึ้นในหัวของผู้คนอย่างแปลกประหลาด
แม้แต่มหาเสนาบดีหลินกับฮูหยินอวี้ เช่นเดียวกันกับเหล่าคุณหนูคุณชายบ้านมหาเสนาบดีที่ต่างก็พากันประหลาดใจ หลินซีเหยียนนั้นไปมีความสัมพันธ์อันดีกับหลินรั่วจิ่งตั้งแต่เมื่อไรกัน
“พี่ใหญ่ หลินรั่วจิ่งจะต้องรวมหัวกับหลินซีเหยียนแน่ๆเลย” หลินเสวี่ยเหยียนที่นั่งอยู่ด้านล่างของเวทีที่กำลังมีสีหน้าอิจฉาจนใบหน้าบิดเบี้ยวนั้นก็ได้มองไปที่พี่สาวคนโตที่นั่งอยู่ข้างๆนาง ที่ไม่ได้ตอบอะไรนางแต่นั่งกัดฟันของนางอย่างขมขื่น