บทที่ 171
โรงเตี๊ยมอันฝู
ในเวลานี้ชีวิตของเขานั้นตกอยู่ในมือของผู้อื่นแล้ว แม้สือเหล่ยจะไม่อยาก แต่เขาจำต้องทำตามที่เจียงหวายเย่สั่งแต่โดยดี
“พวกคนที่อยู่ข้างนอกฟังให้ดี ปล่อยให้พวกเขาผ่านไปได้”
คำพูดของสือเหล่ยนั้นทำให้ผู้คนที่รออยู่ด้านนอกนั้นตกใจ ผู้คนที่อยู่ตรงหน้านี้พวกเขานี้เหมือนกับปลาตัวใหญ่ แต่ลูกพี่กลับบอกให้ปล่อยพวกเขาไปงั้นเหรอ?
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสงสัย แต่หากคิดถึงคนที่อยู่เบื้องหลังลูกพี่แล้วพวกเขาก็จำต้องปล่อยไปแต่โดยดี โดยไม่ได้มีความคิดแม้แต่น้อยเลยว่าลูกพี่ของพวกเขานั้นกำลังถูกข่มขู่อยู่
แล้วด้วยความที่สือเหล่ยนั้นเป็นคนดุร้ายเป็นปกติอยู่แล้ว ทำให้ความรู้สึกราวกับว่าคนอย่างเขานั้นไม่กลัวแม้แต่ฮ่องเต้
สือเหล่ยจึงทำได้แค่กัดฟันแสดงสีหน้าไม่พอใจกับลูกน้องโง่ๆของเขา
แล้วรถม้าก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ซึ่งรู้สึกได้ว่ารถม้านั้นกำลังห่างออกจากประตูเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สือเหล่ยก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วถาม “ท่านวีรบุรุษผู้นี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านอีกแล้ว ท่านพอจะปล่อยข้าไปได้หรือยัง?”
เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่มองเขาไปที่ดวงตาสีดำราวกับบ่อน้ำไร้ก้น
บางทีเขาอาจจะตกใจเพราะสายตาที่เยือกเย็นของ เจียงหวายเย่ก็ได้ สือเหล่ยจึงได้พูดอย่างตะกุกตะกัก “ทะ….ท่านอย่าฆ่าข้าเลย ถ้าเกิดท่านฆ่าข้าไป องค์ชายสองจะต้องไม่ปล่อยท่านไปแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาของเขาลง แล้วบรรยากาศรอบตัวของเขาที่แผ่ออกมาก็ได้ทำให้ดูหนักอึ้งมากขึ้นไปอีก
ในขณะที่สือเหล่ยคิดว่าชีวิตของเขากำลังจะจบแล้วอยู่นั้น เสียงที่แหบต่ำก็ได้ดังเข้าหูของเขา “เจ้ามีความสัมพันธ์เยี่ยงไรกับองค์ชายสอง?”
“ข้าน้อยนั้นเดิมทีเป็นเพียงโจรภูเขา แต่ไม่นานมานี้ข้าก็ได้มีชะตากรรมที่พานพบและได้รับการชื่นชมจากองค์ชายสอง แล้วเขาก็ได้สั่งให้ข้ามาทำหน้าที่เก็บค่าคุ้มครอง”
เจียงหวายเย่ไม่ได้มองไปที่เขาเลยราวกับว่าเขากำลังโกหกอยู่ แล้วจากนั้นเขาก็ได้ปล่อยมือที่จับคออยู่อย่างช้าๆ
ในชั่วขณะนั้นเอง สือเหล่ยก็คิดที่จะวิ่งหนีออกไปข้างนอก แต่ก่อนที่เขาจะได้เอามือไปแตะที่ม่านของรถม้านั้นเอง เจียงหวายเย่ก็ได้ขว้างหมากออกไปเพื่อจี้สกัดจุดของสือเหล่ยทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้
ในชั่วขณะนั้นเอง สือเหล่ยที่อยากจะร้องตะโกนก็ทำไมได้ ส่วนเจียงหวายเย่ก็ได้รับสายตาที่เหนื่อยอ่อนลงอย่างช้าๆ
ไม่นานนักรถม้าก็ได้หยุดวิ่ง
“นายท่าน ถึงโรงเตี๊ยมอันฝูแล้วขอรับ”
เจียงหวายเย่ก็ได้ลืมตาขึ้นมา แล้วจากนั้นก็มองดูสือเหล่ยที่ขวางประตูอยู่แล้วก็ขมวดคิ้วก่อนที่จะยกเท้าของเขาขึ้นมาแล้วถีบเขาออกไป
เจียงหวายเย่ที่ออกมาจากรถมา แล้วมองไปที่อันอี้ ซึ่งมีใบหน้าที่ไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าอันอี้นั้นมักติดตามเจียงหวายเย่อยู่บ่อยครั้ง จึงมีคนอยู่น้อยนักที่จะรู้จักใบหน้าค่าตาของเขา ในเวลานี้พวกเขาได้เดินทางมาที่รัฐจงและได้ทำการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของพวกเขา อันอี้เองก็จำเป็นที่จะต้องแปลงโฉมด้วย
เจียงหวายเย่ก็ได้หันหน้าหลบแล้วเอามือปิดปากและไอออกมาหลายหน เมื่อเขาเอามือออกมาก็พบรอยเลือดสีแดงติดอยู่บนผ้าที่มือของเขา
เมื่ออันอี้เห็นเช่นนั้น ลูกตาของเขาก็ได้เล็กลงทันทีแสดงถึงความเป็นกังวล เขาจึงคิดที่จะเปิดปากเพื่อเกลี้ยกล่อมองค์ชาย แต่เขานึกถึงความหัวแข็งขององค์ชายขึ้นมาได้ เขาจึงได้ปิดปากลงไปอีกครั้ง
กลับกันเจียงหวายเย่ก็ได้หันหน้ากลับมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเลือดเย็นเช่นเคย “เอาเขาไปขังเอาไว้ แล้วสั่งให้ใครสักคนคอยจับตาดูเขาเอาไว้”
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงหวายเย่ก็ได้หันหน้าเดินจากไปแล้วเข้าไปในโรงเตี๊ยมอันฝู หลังจากนั้นสักพักก็ได้มีคนของหอพันกลเข้ามาเพื่อส่งมอบข้อมูลในรัฐจงให้
เจียงหวายเย่ก็ได้รับมาแล้วเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว แล้วจากนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มที่ประชดประชันออกมาอย่างช้าๆที่มุมปากของเขา
อำนาจในพระราชสำนักในเป็นสิ่งที่ใครๆก็ถวิลหา ไม่มีใครเลยที่เกิดในราชวงศ์แล้วจะสามารถต้านทานต่อความน่าหลงใหลของมันได้ ด้วยเหตุนี้องค์ชายสองของรัฐจงจึงได้เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงภายในพระราชสำนักก่อนใคร
จะกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้องค์ชายสองนั้นไม่เพียงแต่ต้องการจะครอบครองซึ่งพลัง แต่เขายังต้องการที่จะยึดครองบัลลังก์ด้วย จึงได้ทำการฆ่าพ่อและพี่น้องของตัวเอง
และเพราะว่าองค์ชายสองนั้นตัดสินใจที่จะลงมือทำอะไรบางอย่างใน 3 วันข้างหน้านี้ เขาจึงได้สั่งการออกไป “ให้ฉือเฟิงเตรียมตัวให้พร้อม เราจะทำการลอบเข้าไปสอดแนมพระราชวังในคืนนี้เลย”
“รับทราบ” แล้วคนจากหอพันกลก็ได้ขานรับ แล้วจากนั้นก็ได้ถอยออกไปเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง
อันอี้ก็ได้คิ้วขมวดเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ จี๋เฟิงนั้นเป็นหมอที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาในหอพันกลและเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงในหอพันกล “องค์ชายขอรับ จี๋เฟิงถูกขัดขวางโดยมือขวาของใครบางคนทำให้ทำภารกิจผิดพลาด ข้าน้อยเกรงว่าเขาอาจจะไม่สามารถตรวจหาพิษของฮ่องเต้จงได้อย่างแม่นยำนักขอรับ”
“เปิ่นหวางเชื่อว่าจี๋เฟิงจะมีวิธีการอื่นเป็นแน่”
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงหวายเย่ก็ได้เริ่มไออย่างรุนแรงอีกครั้ง ในคราวนี้จะยืนขึ้นตรงๆก็ยังทำไม่ได้เลย
เมื่ออันอี้รู้สึกได้ว่าอาการนั้นสาหัสมากจึงอยากที่จะเข้ามาช่วยประคองเขา แต่ก็ถูกเจียงหวายเย่จ้องเสียก่อนเขาจึงได้หยุด
“เจ้าไปหาสือเหล่ยแล้วลองดูว่าเราพอจะรีดเอาข้อมูลอะไรจากเขาได้บ้างไหม?”
น้ำเสียงเย็นชาที่แหบแห้งและอ่อนแรงนี้ ทำให้ผู้คนอดที่จะเข้าไปช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
อันอี้ที่มองดูก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจากนั้นก็ได้เดินกลับออกไป
แล้วเจียงหวายเย่ก็นั่งลงที่เก้าอี้ ด้วยสายตาของเขาสูญเสียความเยือกเย็นเป็นครั้งแรก เขาได้พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดทั่วร่างกายอยู่อย่างเงียบๆ แต่หัวใจของเขากลับถวิลหาคิดถึงแต่หญิงสาวที่ทำร้ายเขา
สภาพเช่นนี้ถ้ามีใครมาเห็นเขาก็คงต้องถอนหายใจออกมา โดยไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดตรงนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขานั้นอยู่ในห้วงของความรัก
ในเวลานี้หลินซีเหยียนได้พยายามอย่างเต็มที่ในการไปให้ถึงรัฐจงในเวลาอันสั้นที่สุด
ณ จวนมหาเสนาบดี เมื่อถึงเวลารุ่งสาง พิธีปักปิ่นก็ได้ถูกจัดเตรียมขึ้นเพื่อคุณหนูห้าสุดรักของท่านมหาเสนาบดี ซึ่งว่ากันว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ได้มาด้วย อีกทั้งยังมีทั้งขุนนางเมืองหลวงและขุนนางห่างไกลมากมายต่างก็เดินทางมาร่วมงานนี้
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะท่านมหาเสนาบดี ช่างเป็นบุญจริงๆที่ได้ลูกสาวที่ดีเช่นนี้”
การแสดงความยินดีได้หลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ และมหาเสนาบดีหลินก็ได้ยิ้มแก้มปริจนถึงรูหูด้วยความยินดี สีหน้าของเขานั้นแสดงถึงความภาคภูมิใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนที่งานจะเริ่มขึ้น ฮ่องเต้ก็ได้เสด็จมาถึงแล้ว ตามมาด้วยฮองเฮาที่สวมเครื่องประดับอย่างงดงามเคียงข้างมากับฮ่องเต้ แล้วทั้งคู่ก็ได้นั่งที่เก้าอี้ที่มีตำแหน่งที่สูงที่สุดโดยการนำพาไปของมหาเสนาบดี
“มหาเสนาบดีงานนี้เป็นงานลูกสาวของเจ้าโตเป็นสาวทั้งที เจ้าไม่ต้องมีพิธีรีตองมากขนาดนี้ก็ได้”
เมื่อได้ยินที่ฮ่องเต้เจียงกล่าวอย่างเป็นกันเองอย่างหาได้ยากเช่นนี้แล้ว มหาเสนาบดีหลินก็ได้รีบผงกหัวทันทีที่ได้ยิน แล้วจากนั้นก็เริ่มดูแลสถานการณ์โดยรวมของงาน
มองไปที่ผู้คนที่เริ่มดื่มและทำความสนิทสนมกัน เขาก็ได้สะบัดมือขึ้นมา แล้วจากนั้นทั่วทั้งจวนนั้นก็พลันเงียบสงบลงทันที
“ก่อนอื่นเลยข้าขอยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาร่วมพิธีปักปิ่นลูกสาวของข้า ในเวลานี้ก็สายแล้วข้าจะไม่พูดอ้อมค้อม ขอประกาศเริ่มพิธีปักปิ่นได้”
หลังจากนั้นสายตาของทุกคนก็ได้มุ่งเป้าไปที่ประตูที่ยังไม่เปิด พวกเขาได้ยินชื่อเสียงของบุตรีคนที่ 5 จวนมหาเสนาบดีมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองเสียที ในเวลานี้พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว
ท่ามกลางความเงียบสงบของจวน จนได้ยินเสียงเปิดประตูดังแกร๊กได้อย่างชัดเจน
หลินรั่วจิ่งก็ได้เดินออกอย่างมาช้าๆท่ามกลางสายตาที่กระตือรือร้นของผู้คน และผมที่ยาวสยายออกของนางและแต่งตัวในชุดจีนโบราณ
หลินรั่วจิ่งในวันนี้ทั้งงดงามและร่าเริง แล้วผู้หญิงคนนี้ยังได้เป็นลูกศิษย์ของนักปราชญ์เสียนอวิ๋นอีก นางนั้นช่างมียอดเยี่ยมทั้งความสามารถและรูปโฉมจริงๆ!
หลินรั่วจิ่งนั้นเหมือนกับดอกบัว ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากไกลๆแต่ไม่สามารถเด็ดมาเชยชมได้ ผู้หญิงเช่นนี้จะสามารถเป็นฮองเฮาได้ไม่ว่าวิธีการใดก็วิธีการหนึ่งและกลายมาเป็นแม่ของแผ่นดินได้ในอนาคต
เทียนเอ๋อนั่งอยู่บนคานในห้องนั้น เทียนเอ๋อที่มองดูเหตุการณ์นี้รอบๆทั้งหมดนี้ได้จากด้านบนก็ได้มองดูด้วยสีหน้าที่ไม่ดี และมีเด็กอีกคนที่อายุมากกว่าอยู่ข้างๆเขา ซึ่งถ้า หลินซีเหยียนหรือจงซู่เฟิงอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะต้องตกใจ เพราะเด็กคนนั้นก็คือองค์ชายสิบหกของรัฐจง
“เจ้าไม่ชอบนางอย่างนั้นเหรอ?”
องค์ชายสิบหกนั้นเคยอยู่ในวังหลังมานานหลายปี จึงมีความสามารถในการสังเกตคำพูดและสีหน้าของผู้คนได้