บทที่ 170 พิธีเปิดตัว

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 170

พิธีเปิดตัว

แต่ทว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางอยู่ดี ในเวลานี้สิ่งที่นางต้องทำมีเพียงหายาแก้พิษให้พบแล้วจัดการถอนพิษให้จงซู่เฟิง

หลังจากที่วุ่นวายอยู่พักใหญ่ๆ หลินซีเหยียนก็ได้พบสูตรยาถอนพิษที่มีฤทธิ์เบาที่สุดแล้วส่งสูตรยานั้นให้กับเหลยถิง หลินซีเหยียนก็ได้กลับออกมาแล้วเขียนจดหมายถึงหลงเยว่ฝากให้นางช่วยตามหาองค์ชาย 16

ไม่นานนักค่ำคืนก็ได้มาเยือน หลินซีเหยียนนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพังอยู่ นางนั้นนั่งอยู่ในสภาพนั้นมาสักพักใหญ่ๆแล้ว สุดท้ายนางก็ได้ถอนหายใจออกมา แล้วก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมา ในเวลานี้นางตัดสินใจได้แล้วว่านางนั้นไม่อาจที่จะปล่อยให้เจียงหวายเย่ตายได้

เมื่อนางเดินมาถึงคอกม้า นางก็ได้แก้เชือกม้าตัวหนึ่งเพื่อเตรียมตัวออกไปจากจวน นางคิดที่จะมุ่งหน้าไปที่รัฐจงตลอดค่ำคืนนี้ แต่แล้วนางก็พบเหล่าข้ารับใช้ที่พากันวุ่นวายมากมายระหว่างทาง

คนเหล่านี้พากันรีบร้อนจัดการตกแต่งจวนมหาเสนาบดีเสียใหม่ตั้งแต่บนลงล่าง แต่พวกเขาก็ยังพอจะมีเวลาพูดคุยกันในระหว่างนี้

“สุดท้ายแล้ว นายท่านก็รักคุณหนูห้าที่สุดอยู่ดี ลองดูที่พิธีเปิดตัวนี้เทียบกับคุณหนูคนอื่นๆแล้ว ช่างเป็นงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ได้ยินมาว่าแม้แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็จะเสด็จมาในงานนี้ด้วยนะ”

“ถ้าไม่พูดไม่เปรียบก็ไม่คิดอะไรแล้วแท้ๆ”

สาวใช้ที่ถือแจกันไว้ในมือก็ได้วางลงตรงที่ที่เหมาะสมระหว่างทางเดิน และเพราะว่าเป็นเวลาดึกแล้ว พวกนางจึงได้ไม่กลัวว่าจะถูกเจ้านายจับได้ว่าพูดคุยกัน

“แล้วดูคุณหนูรองสิ ทั้งๆที่นางก็หน้าตาดีและยังเป็นลูกสาวคนหนึ่ง แต่ทำไมถึงทำราวกับว่านางไม่มีตัวตนอย่างนั้น?” สาวใช้ที่ดูฉลาดคนหนึ่งก็ดูเหมือนจะไม่พอใจกับความลำเอียงของมหาเสนาบดี จึงได้บ่นขึ้นมา

คนที่ยืนอยู่ข้างๆนาง เป็นสาวใช้ที่มีอายุมากกว่านางนิดหน่อยก็ได้ตบไหล่นางเบาๆแล้วกล่าว “เจ้าจะพูดเรื่องนี้พล่อยๆไม่ได้นะ หากมีใครได้ยินแล้วเอาเรื่องนี้ไปรายงานนายท่าน เจ้าจะลำบากได้รู้ไหม?”

สาวใช้คนนั้นก็ได้แลบลิ้นออกมาแล้วทำหน้าแบบล้อเล่น “แหะๆ ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะพี่หงเหมย”

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจัดตำแหน่งของแจกันดอกไม้อยู่นั้น ทันทีที่พวกนางหันกลับมา ก็พบหลินซีเหยียนที่กำลังยิ้มอยู่

หงเหมยก็ได้รีบดึงให้สาวใช้ตัวเล็กคุกเข่าลงกับพื้นทันที ทั้งคู่ก็ได้รีบก้มหัวลงด้วยความกลัว “คะ…คุณหนูรองเจ้าคะ พะ…พวกเราสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ”

จากที่พวกนางพูดกันเมื่อสักครู่ หลินซีเหยียนก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร จึงได้โบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ได้โกรธ ลุกขึ้นเถอะ!”

แล้วทั้งสองคนก็ได้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆอย่างสงสัย

หลินซีเหยียนก็ได้ถามอย่างครุ่นคิด “พรุ่งนี้เป็นพิธีเปิดตัวของน้องสาวตัวดีของข้าอย่างนั้นเหรอ?”

หงเหมยนั้นไม่รู้ว่าคุณหนูรองนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้ผงกหัวตอบไปตามความจริง

“ข้าอยากให้เจ้าทำอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าเจ้าพอจะช่วยข้าได้ไหม?”

“พวกเรายินดีที่จะทำให้ที่สุดตามที่คุณหนูรองสั่งเจ้าค่ะ” หงเหมยที่มีสีหน้าซีดเซียว แต่ก็ดูเหมือนจะตั้งมั่นอย่างมาก

หลินซีเหยียนก็ได้กระซิบกระซาบข้างหูของหงเหมย จากนั้นก็ได้มอบอะไรบางอย่างให้แก่นางแล้วก็ขี่ม้าออกจากจวนไป

ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะทางที่ไกลมากกว่าจะถึงรัฐจง แต่นางก็รู้สึกมีความสุขเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่จวนมหาเสนาบดีในวันพรุ่งนี้

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้นางกลับมามีชื่อเสียงในเมืองหลวงอีกครั้ง แต่นางก็ไม่สนใจ อย่างไรเสียมหาเสนาบดีหลินก็คงจะเตรียมตัวที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว

ไม่นานนักแสงยามเช้าก็ได้ส่องมายังหลังของ หลินซีเหยียนที่กำลังควบม้า เมื่อเห็นว่าระยะทางยังคงอีกยาวไกล นางก็ได้บิดริมฝีปากของนางและเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก

ณ รัฐจง เพราะว่าเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ จึงเป็นรัฐที่รุ่งเรืองอย่างมากมาโดยตลอด จนรัฐแห่งนี้เคยได้ชื่อว่าดินแดนที่ไม่เคยหลับใหล แต่ในเวลานี้สายตาของผู้คนกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ถึงแม้ว่าจะยังมีสายธารพ่อค้าแม่ค้าที่ยังสัญจรไปมาไม่หยุด แต่ก็ล้วนพากันเดินอย่างเร่งรีบ ราวกับกลัวว่าจะไปทำผิดเข้ายังไงอย่างงั้น

ในเวลานี้เจียงหวายเย่กับคนอื่นๆนั้น ก็ได้เพิ่งเข้ามาในเมืองลั่วฉุ่ยอันเป็นเมืองหลวงของรัฐจง ในเวลานี้กำลังถูกล้อมโดยผู้คนอยู่

“ข้าสือเหล่ย จะขอเก็บเงินค่าคุ้มครอง ขอให้พวกเจ้าจงให้ความร่วมมือแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้ากินข้าวไม่ได้เลยทีเดียว”

ด้วยขวานสองอันในมือของเขา เขาได้ทำการขู่กรรโชกต่อหน้าทุกคน

อันอี้ก็ได้คิ้วขมวดแล้วมองไปที่ทหารยามที่กำลังมองมาที่พวกเขา เมื่อเห็นสายตาของอันอี้ก็ได้รีบหันหน้าหลบไปทันที ราวกับว่าพวกเขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

เขาจึงได้เดินออกมาพร้อมกับยื่นส่งตั๋วเงินในมือใบหนึ่งให้เขาเพื่อจบเรื่องนี้โดยไว อย่างไรเสียพวกเขามาที่นี่ก็เพราะมีธุระต้องรีบจัดการ จึงจะเป็นการดีกว่าหากว่าจะทำตัวสงบเสงี่ยมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเห็นตั๋วเงิน ก็มีแสงปรากฏขึ้นในแววตาของสือเหล่ย แล้วตามมาด้วยแววตาที่โลภมาก เขาได้หยิบเอาตั๋วเงินมาไว้ในมือแล้วถุยน้ำลายและด่า “เศษเงินนี่มันอะไรกัน? พวกเจ้าเห็นข้าเป็นขอทานรึยังไง?”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร?” อันอี้ก็ได้คิ้วขมวด สีหน้าของเขานั้นยังคงใจเย็นอยู่ แต่มือของเขาก็ได้แตะไปที่ดาบยาวข้างเอวของเขาเพื่อเตรียมพร้อมแล้ว

“ข้าต้องการอะไรงั้นเหรอ?” ราวกับว่าเขาได้ยินอะไรที่น่าขันอยู่ สือเหล่ยก็ได้มองไปที่รถม้าอย่างโลภมาก “ข้าจะเอาทุกอย่างที่พวกเจ้ามีและรถม้าคันนั้น”

เป็นถึงคนเรียกเก็บค่าคุ้มครอง จะให้เขาไม่มีสายตาที่แหลมคมได้อย่างไร? รถม้าที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นทำมาจากไม้ตะโกที่ไม่ได้นำมาใช้กันมานานกว่า 10 ปีแล้ว ถ้าเกิดนั่งรถม้าที่หรูหราเช่นนี้แล้วยังอยากทำตัวสงบเสงี่ยมอีก แสดงว่าคนที่อยู่ข้างในจะต้องรวยมากและไม่พูดมากแน่ๆ

มองดูสือเหล่ยที่จ้องไปที่รถม้าอย่างต่อเนื่องแล้ว สีหน้าของอันอี้ก็ได้หนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ “เจ้านี่ช่างไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ มีชีวิตไว้ใช้เงินก็ดีแล้วแท้ๆหรือจากที่จะมีเงินแต่ไร้ชีวิต?”

ประโยคนี้ทำให้สือเหล่ยถึงกับต้องระวังตัวในทันที เขาได้เดินไปรอบๆอันอี้แล้วจากนั้นก็ได้ขึ้นเสียงผ่านลำคออย่างดูถูก “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบรึยังไง? ข้ารู้นะว่าคนที่นั่งรถม้าเช่นนี้ได้จะต้องมีอำนาจและร่ำรวยมากแน่ๆ แต่เจ้าก็ควรจะรู้ไว้ด้วยนะว่า ที่นี่คือเมืองลั่วฉุ่ยเมืองหลวงของรัฐจง แล้วชีวิตของพวกชาวต่างแดนอย่างพวกเจ้าจะเป็นหรือตายนั้น ขึ้นอยู่กับข้าคนนี้”

คำพูดที่รุนแรงนี้ช่างฟังดูโอหังเอาเสียมากๆ

อันอี้ก็ได้มองไปรอบๆแล้วจากนั้นก็ถาม “ที่นี่ไม่มีคนมาดูแลเรื่องนี้ แม้ในเวลากลางวันแสกๆรึยังไงนะ?”

แล้วเหล่าคนที่ได้ยินก็ได้พากันก้มหน้าทันที

จะมีก็เพียงพ่อค้าคนหนึ่งที่มาจากรัฐเจียงที่ไม่ได้ก้มหน้า เขาได้เดินเข้ามาหาอันอี้แล้วกล่าว “น้องชาย นี่คงเป็นครั้งแรกของเจ้าที่มาที่รัฐจงสินะ!”

จากนั้นเขาก็ได้อธิบายถึงตัวตนของสือเหล่ยที่มีชื่อเสียงของที่นี่ให้อันอี้ฟัง “ลูกพี่สือนั้นได้รับหน้าที่มาจากองค์ชายสองให้มาเรี่ยไรเงินน่ะ จึงทำได้แค่เพียงต้องจ่ายเงินไปถึงจะทำธุรกิจในเมืองนี้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมาคอยรังควานเรื่อยๆ นอกจากนี้เงินน่ะไม่นานก็หาคืนได้แล้วไม่เร็วก็ช้า ข้าแนะนำให้พวกเจ้ายอมจ่ายๆไปจะดีกว่า!

หลังจากที่พูดจบ ชายคนนั้นก็ได้รีบจ่ายเงินแล้วจากไป

อันอี้นั้นยังอยากที่จะโต้เถียงต่อ แต่แล้วก็มีเสียงค่อยๆดังออกมาจากรถม้า

“อันอี้ ปล่อยให้เขาเข้ามา”

อันอี้ก็ได้ตกใจไปชั่วขณะ แล้วก็ได้ถอยออกไปอย่างไปพอใจ เพื่อให้สือเหล่ยผ่านเข้าไป

สือเหล่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าทางนั้นคงจะยอมแพ้แล้ว จึงได้ปีนขึ้นรถม้าไปอย่างดีใจกับไม้ตะโกในตำนานนี้ แต่ทันทีที่ผ้าม่านปิดลงมา เขาก็ถึงกับยิ้มไปออก เพราะว่าคอของเขานั้นกำลังถูกบีบอยู่

เขานั้นพยายามที่จะขัดขืน แต่มือที่บีบคอของเขาอยู่นั้นช่างแข็งราวเหล็กกล้า ไม่ว่าเขาจะออกแรงดึงมากขนาดไหนเขาก็ไม่สามารถดิ้นหลุดออกมาได้เลย

เขามองไปที่หน้ากากสีดำที่น่ากลัวที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เขามองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสายตาที่วิงวอน ด้วยความหวังว่าจะไว้ชีวิตของเขา

“บอกพวกเขาให้ถอยไป แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”