บทที่ 169 ผู้ดื้อรั้น

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 169

ผู้ดื้อรั้น

โดยไร้ซึ่งการรีรอใดๆ หลินซีเหยียนนั้นมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังเดิมที่ตั้งอยู่ในย่านเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นที่ที่ดีในการหลบหูหลบตาผู้คน

ถ้าเกิดว่าซ่อนตัวอยู่ที่นี่แล้วไม่ไปวุ่นวายที่ไหน ก็เกรงว่าพวกเขาคงไม่ถูกพบตัวง่ายๆแน่

หลินซีเหยียนคิดในขณะที่กำลังเปิดประตูบ้านหลังน้อยเข้าไป แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหนีกันไปแล้ว

ในเวลานี้ ดูเหมือนว่านางจะมาสายเกินไป หลินซีเหยียนจึงได้คิดที่จะกลับไปยังจวนมหาเสนาบดี แต่ในระหว่างทางนางก็พบกับเจ้าหน้าที่จำนวนมากกับทหารที่มารวมตัวกันที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งทำให้หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ

หรือว่าพวกเขาจะถูกพบตัวแล้ว?

จริงๆแล้วไม่ใช่แค่นางคนเดียวที่กำลังกระวนกระวายในเวลานี้ ณ มุมมุมหนึ่ง จงซู่เฟิงก็กำลังแอบซุ่มดูทุกการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้อยู่อย่างเงียบๆ

บ้านหลังนี้ดูเหมือนจะขาดการซ่อมแซมมาเป็นเวลานานมากแล้ว แผ่นป้ายหน้าประตูก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นแน่นจนมองเห็นได้ไม่ชัด แต่พอจะมองเห็นความรุ่งเรืองในอดีตได้รางๆจากความยิ่งใหญ่ของประตูบ้าน

“นายท่าน พวกเราได้ทำการล้อมบ้านหลังนี้ไว้แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเจอใคร”

เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยในชุดสีฟ้าได้รายงานด้วยความเคารพ “จะให้บุกเข้าไปจับตัวเลยไหมขอรับ?”

ขุนนางผู้ใหญ่คนนั้นก็ได้ผงกหัว เผยให้เห็นแววตาภาคภูมิใจออกมาจากใบหน้านิ่งๆของเขา หากว่าวันนี้เขาสามารถจับองค์ชายสิบหกของรัฐจงกลับไปได้ เขาจะได้ไม่ต้องทำงานหนักทุกวันเช่นนี้ไปพักใหญ่ๆเลย

แล้วเขาก็กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงามหากจับคนที่อยู่ข้างในได้”

หลินซีเหยียนได้ยินเสียงของเขาดังมาจากไกลๆ ซึ่งทำให้ต้องบ่นพึมพำออกมาเบาๆ “จะมาจับองค์ชายสิบหกกันไม่ใช่รึยังไง? แต่กลับแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้เนี่ยนะ!”

แต่เรื่องนี้ก็ทำให้นางนั้นระแวดระวังขึ้นมาในใจ หรือว่าจะไม่มีองค์ชายสิบหกอยู่ข้างใน? พวกเขาอาจจะแค่แกล้งทำเพื่อล่อให้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐจงออกมาก็ได้?

แต่ช่างโชคร้ายที่ จงซู่เฟิงนั้นไม่สามารถสงบจิตใจของตัวเองไว้ได้ เขารู้ดีว่านี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้ แต่เขาก็ไม่อาจที่จะปล่อยให้องค์ชายสิบหกถูกจับตัวไปได้ แล้วเขากับเหลยถิงที่ไม่สนใจอะไรแล้วก็ได้ดึงผ้าสีดำขึ้นมาปิดหน้าของเขาแล้วตามเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ

หลินซีเหยียนที่เฝ้าดูจากไกลๆ ก็พบชายสองคนที่กำลังเข้าไปด้านใน “หรือว่าสองคนนี้จะเป็นสายลับที่ถูกส่งมาจากรัฐจงให้มาแฝงตัวอยู่ในรัฐเจียงกัน?”

หลังจากที่คนเหล่านั้นได้เข้าไปในบ้านหลังนั้น พวกเขาก็ได้ถูกล้อมโดยทหารที่อยู่ด้านนอกแล้วปิดล้อมทางเข้าออกทั้งหมดเอาไว้ การกระทำเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่ามันคือกับดักอย่างแน่นอน

หลินซีเหยียนก็ได้เฝ้ารออยู่อย่างเงียบๆ เพราะอยากที่จะเห็นว่าสองคนนั้นจะถูกจับหรือไม่ แต่ก็ไม่นึกเลยว่านางรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก จนหมอกตอนเช้าทำให้เสื้อผ้าของหลินซีเหยียนเปียก ซึ่งทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมา

“ดูเหมือนว่าคนที่เข้าไปข้างในนั้นคงจะหาหนีออกมาได้แล้วเป็นแน่” หลินซีเหยียนที่เฝ้าดูจนเช้าตรู่นั้น ก็นึกขึ้นได้ว่า เจียงหวายเย่นั้นเหลือเวลาอีกไม่นานที่พิษจะแพร่กระจายไปทั่วแล้ว นางจึงได้รีบไปที่พระราชวัง

แต่ไม่นึกว่าเมื่อนางไปถึงพระราชวังแล้วกลับไม่พบเขา จะพบก็แต่อันฉีที่เฝ้าพระราชวังอยู่และได้บอกกับนางว่าองค์ชายนั้นเดินทางไปรัฐจงแล้ว

เรื่องนี้ทำให้หลินซีเหยียนถึงกับกัดฟันพูดด้วยความโมโห “นี่เขาไม่รู้ตัวหรือยังไง ว่าตัวเขาถูกพิษร้ายแรงอยู่น่ะ”

“แน่นอนว่าเขารู้”

ในขณะที่หลินซีเหยียนก็กำลังโมโหอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงผู้ชายดังมาจากนอกห้อง เมื่อได้ยินเสียงหลินซีเหยียนก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเฉิงรุ่ยเหยียน

“ก็ถ้ารู้แล้วทำไมถึงได้ทำตัววุ่นวายแบบนี้อีก!”

เมื่อก่อนเฉิงรุ่ยเหยียนนั้นชื่นชมความสามารถทางการแพทย์ของหลินซีเหยียนมาก ทำให้ท่าทีของเขาที่มีต่อนางนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคล่องแคล่ว แต่วันนี้หลินซีเหยียนกลับพบถึงความห่างเหินและความโกรธจากในดวงตาของเขา

“ข้าว่าประโยคนี้ควรจะถามตัวเจ้าเองมากกว่า เจ้าที่เป็นถึงหมอขององค์ชาย ก็น่าจะรู้ดีถึงสภาพร่างกายขององค์ชายดีอยู่แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจะปล่อยให้เขาตายก่อนที่เจ้าจะใช้ยาพิษกับเขาดีกว่า”

หลินซีเหยียนที่กำลังจะเอ่ยปาก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกไป ในเวลานี้ไม่ว่านางจะพูดอะไรออกไปก็ไร้พลังทั้งนั้น เพราะมันเป็นความจริงที่ว่าเป็นนางเองที่ทำร้ายเจียงหวายเย่

“เจ้ามาที่นี่ในวันนี้ เกรงว่าคงเป็นเพราะความสงสารทำให้เจ้ามาที่นี่เพื่อจะถอนพิษให้เขาล่ะสิ?”

คำพูดที่ประชดประชันนี้ราวกับดาบที่แหลมคม ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนพ่ายแพ้ได้ในการฟันเพียงครั้งเดียว แต่เฉิงรุ่ยเหยียนก็พูดถูก นางมาที่นี่เพราะความรู้สึกไม่สบายใจในใจของนาง ทำให้นางไม่โต้แย้งออกไป ไม่สิโต้แย้งออกไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ในเวลานี้นางจึงได้คิดที่จะออกไปตามเจียงหวายเย่เพื่อแก้ไขความผิดของนาง

“เจียงหวายเย่ไปที่รัฐจงอย่างนั้นสินะ?” นางกล่าวด้วยเสียงเบาๆที่แสดงถึงความเสียใจและรู้สึกผิดของนาง

เฉิงรุ่ยเหยียนที่ได้มองไปที่แววตาที่ว้าวุ่นในดวงตาของนาง จากประสบการณ์ชีวิตรักที่วุ่นวายของเขามานานหลายปี เขาก็พอจะรู้ได้ว่าองค์ชายเย่นั้นรักแม่นางหลินจากสายตาของเขา

แล้วเดิมทีเขาคิดว่าแม่นางหลินนั้นคงจะไม่ได้มีใจให้องค์ชาย และอยากที่จะตัดความสัมพันธ์ที่เลวร้ายนี้เสีย แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าหลินซีเหยียนนั้นใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเจียงหวายเย่เลยเสียทีเดียว

เขาจึงได้เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “องค์ชายน่าจะพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอันฝูในรัฐจง แต่ข้าแนะนำว่าหากเจ้าไปเพราะความรู้สึกผิดแล้วล่ะก็เจ้าอย่าไปจะดีกว่า เพราะเขาไม่ต้องการมันหรอก

หลังจากที่พูดจบเฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้จากไป

หลินซีเหยียนก็ได้ครุ่นคิดกับคำพูดนั้นอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีด้วยความสิ้นหวัง

ในระหว่างที่อยู่ที่นั่น นางไม่รู้สึกได้ถึงเงาของเทียนเอ๋อในพระราชวังนั้นเลย แต่เพราะว่าเขานั้นมีชิงอวี่คอยติดตามอยู่ด้วยทำให้นางไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร!

ทันทีที่หลินซีเหยียนกลับมาถึงเรือนเชียนเหยียน นางก็ได้ถูกลากพาไปที่ห้องของจงซู่เฟิงโดยเหลยถิงทันที แล้วพอเข้ามาในห้องแล้วเหลยถิงก็ได้รีบปิดประตูทันที

ในห้องเล็กๆห้องนั้น หลินซีเหยียนก็ได้กลิ่นคาวเลือด นางคิ้วขมวดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ “มีคนเจ็บงั้นเหรอ?”

เหลยถิงก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่กระวนกระวาย “องค์ชายถูกแทงโดยมีดแหลมคมขอรับ และมีดแหลมคมนั้นก็น่าจะอาบยาพิษเอาไว้ด้วย ในเวลานี้องค์ชายไม่ได้สติข้าจึงได้ฝากความหวังเอาไว้ที่แม่นางแล้ว”

หลินซีเหยียนก็ได้เข้ามาตรวจอาการของเขา แล้วก็ถามอย่างสงสัย “ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ทำไมถึงไม่ไปหาหมอคนอื่นเพื่อรักษาไปก่อน? จากที่ข้ารู้ว่าที่เมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนหมอที่มีฝีมือขนาดนั้นนี่นา”

เมื่อได้ยินที่พูด เหลยถิงก็ได้บิดริมฝีปากของเขา ราวกับว่ามีบางอย่างที่เขาปิดบังเอาไว้อยู่

หลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้ แล้วก็ได้มีความคิดแล่นเข้ามาในหัวของนาง หรือว่าชายชุดดำสองคนนั้นจะคือเหลยถิงกับจงซู่เฟิง?

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จะทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมทั้งๆที่บาดเจ็บขนาดนี้ แต่กลับไปยอมพาไปหาหมอคนอื่นรักษา

หลินซีเหยียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปแล้วทำการรักษาบาดแผลของจงซู่เฟิง ซึ่งบาดแผลของเขานั้นสาหัสมาก และเริ่มที่จะเป็นหนองแล้วด้วย นางจึงได้ทำการลอกแผลที่เป็นหนองออกด้วยมีด นางแม้ว่าการทำเช่นนี้จะเจ็บมาก แต่จงซู่เฟิงนั้นหมดสติอยู่จึงไม่ได้ร้องอะไรออกมา

และเพราะว่านางนั้นยังไม่เข้าใจถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบของพิษนี้ หลินซีเหยียนจึงได้หยิบเอายาแก้พิษต่างๆออกมาแล้วเอาใส่ปากของจงซู่เฟิง

“ขอข้าทำการศึกษาองค์ประกอบของพิษนี้ก่อน”

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่แผลที่เป็นหนอง แล้วออกมาจากห้องแล้วค่อยทำการศึกษาวิจัย จนในที่สุดนางก็พบว่าพิษที่จงซู่เฟิงโดนนั้นแปลกประหลาดมาก มันช่างคล้ายกับพิษชื่อซิน ของราชวงศ์รัฐเยี่ยนมาก แต่ก็ไม่ใช่พิษชนิดเดียวกันเสียทีเดียว

“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่างเป็นแน่”