ตอนที่ 775-776

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 775 ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า

 

กู้ซีจิ่วในยามนี้ย่อมเป็นตี้ฝูอี เขาเปิดใช้งานป้ายหยก ลวดลายบนป้ายหยกแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นกระจก ด้านในปรากฏใบหน้าของมู่เฟิง มูเฟิ่งมองเจ้านายของบ้านตนอย่างซับซ้อนยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่ก็ยังสอบถามไปตามหน้าที่อันพึงปฏิบัติ “นายท่าน มีเรื่องใดจะสั่งการขอรับ?”

 

ตี้ฝูอีสั่งการอย่างรวบรัดยิ่ง “ส่งคนไปตรวจสอบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่ข้างกายอวิ๋นชิงหลัวในเทศกาลความรักคืนนั้นคือผู้ใด เป็นมาอย่างไร ระยะนี้จับตามองอวิ๋นชิงหลัวไว้หน่อย ดูว่านางมีอะไรผิดปกติหรือไม่?”

 

มู่เฟิงทั้งตกใจและเดือดดาลยิ่งนัก มีคนกล้าสวมรอบเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรือ?! หน่ายจะใช้ชีวิตแล้วหรือไร?!

 

เขารีบตอบรับ “ขอรับ!” แล้วไปจัดการทันที

 

ตี้ฝูอีเก็บป้ายหยก มือเคาะบนโต๊ะหินเบาๆ

 

มิน่าเล่ากู้ซีจิ่วถึงเป็นปฏิปักษ์ต่อตนมากขนาดนี้ ที่แท้ก็เห็นตนอี๋อ๋ออยู่กับอวิ๋นชิงหลัวนี่เอง…

 

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว กู้ซีจิ่วมิใช่คนหุนหันพลันแล่น โดยทั่วไปแล้วนางไม่มีทางมองผิด แถมคืนเทศกาลความรักนางพาเจ้าหอยยักษ์ลงเขาไปด้วย ด้วยประสาทรับกลิ่นของเจ้าหอยยักษ์ น่าจะวิเคราะห์ได้ว่ากลิ่นอายบนร่างเขาอีกคนเป็นจริงหรือเท็จ…

 

เจ้าตัวปลอมนั่นสมจริงจนแม้แต่เจ้าหอยยักษ์ก็แยกไม่ออกเลยหรือ?

 

ขณะที่เขาใคร่ครวญอยู่ ประตูก็ถูกเปิดเสียงดังปัง เพรียกวายุวิ่งห้อเข้าประตูมาดั่งสายฟ้าแลบ ลู่อู๋น้อยขี่อยู่บนหลังมัน และเจ้าหอยยักษ์หนีบอยู่ที่ปลายหางลู่อู๋น้อย…

 

เจ้าหอยยักษ์คึกคักมีชีวิตชีวา พอเข้าประตูมาก็ตะโกนว่า “เจ้านาย เจ้านาย ได้ยินว่าท่านได้รับบาดเจ็บเลยย้ายมาพักที่นี่ ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

 

มันกลิ้งเข้ามาหาทันที กำลังจะใช้ฝาหนีบชายชุดตี้ฝูอี

 

ตี้ฝูอียกเท้าเหยียบมันไว้

 

ลู่อู๋น้อยก็ร้องแง้วๆ อยู่หลายที กระโจนเข้าใส่พวงหางทั้งเก้าแกว่งไกวดั่งกงจักรเพลิง คิดจะใช้หางพันข้อมือตี้ฝูอีไว้ เพื่อแสดงความคิดถึงที่มันมีต่อผู้เป็นนาย

 

กลับถูกนิ้วหนึ่งของตี้ฝูอีกดไว้ตรงนั้น “เป็นเด็กดีหน่อย!” เขาเอ่ยเสียงต่ำ

 

ถึงแม้เขาจะใช้สังขารของกู้ซีจิ่ว แต่ดวงวิญาณแข็งแกร่งมาก เมื่อปลดปล่อยรัศมีทั้งหมด สามารถทำให้หนังศีรษะคนชาได้

 

ประสาทสัมผัสของสัตว์ไวเป็นที่สุด ดังนั้นลู่อู๋น้อยจึงตกใจจนไม่กล้าขยับ กะพริบตามองตี้ฝูอีอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่เข้าว่าทำไมเจ้านายถึงไม่ยอมใกล้ชิดกับมัน

 

ตี้ฝูอีย่อมไม่ทราบว่าการกระทำตามความเคยชินของตนได้ทำร้ายจิตใจของลูกสัตว์วัยแบเบาะตัวหนึ่งแล้ว

 

เขาก็ไม่สนใจเช่นกัน หลังจากให้เจ้าสามตัวนี้ทำตัวดีๆ แล้ว เขาถึงเปิดปากเอ่ย “พวกเจ้าสามตัวล้วนเป็นเด็กดี ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า”

 

บอกว่าถามพวกมัน ทว่าความจริงแล้วตัวที่เขาจะถามก็มีแค่เจ้าหอยยักษ์ที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ตัวนี้

 

แน่นอน เขาไม่คิดจะให้เจ้าสามตัวนี้รู้ว่าร่างกายของเจ้านายตนเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว ดังนั้นเขาเลยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใช้นโยบายสันติวิธี ก่อกองไฟขึ้นมากองหนึ่ง เตรียมย่างปลาให้พวกเจ้าหอยยักษ์กิน

 

ระหว่างที่ย่างอยู่ เขาก็ทำทีสนทนาเรื่อยเปื่อยกับเจ้าหอยยักษ์อยู่หลายประโยค ในที่สุดก็ได้ทราบรายละเอียดทุกอย่างในยามที่กู้ซีจิ่วได้พบหน้ากับอวิ๋นชิงหลัวและ ‘ตี้ฝูอี’ในเทศกาลความรักคืนนั้น…

 

….

 

และไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีฟองน้ำผุดพรายขึ้นมาบนผิวทะเลสาบ ตามด้วยระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว จากนั้นอวิ๋นชิงหลัวก็โผล่ขึ้นมาดั่งคนเป็นโรคลมชัก

 

เมื่อนางโผล่ขึ้นมาจากน้ำก็สำลักออกมาทันที ใบหน้าเพริศพริ้งหมองคล้ำปานมะเขือม่วง

 

เนื่องจากข่มกลั้นอยู่นานเกินไป นางจึงกระอักโลหิตออกมาคำแล้วคำเล่า

 

ก่อนหน้านี้ยามที่จมลงสู่น้ำนางได้กลั้นหายใจไว้ เนื่องจากนางทราบว่าเข็มอาคมของนางทำให้คนชาได้หนึ่งเค่อ ขอเพียงนางผ่านพ้นช่วงหนึ่งเค่อไปก็จะได้อิสระกลับมา

 

แต่พูดแล้วดูเหมือนง่าย ทว่าทำแล้วกลับยากเย็นนัก

 

เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าหนึ่งเค่อเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ใต้น้ำระยะเวลาหนึ่งเค่อกลับคล้ายว่าจะยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด

 

————————————————————————————-

 

 

บทที่ 776 ฉากนี้อบอุ่นเหลือเกิน

 

ทุกวินาทีช่างแสนทรมานนัก นางกลั้นจนเวียนหัวตาลาย หูอื้อสมองเบลอ…

 

วินาทีสุดท้ายนางกลั้นไว้ไม่ไหวอีกต่อไป สูดหายใจอย่างอดไว้ไม่ได้ จากนั้นก็สำลักน้ำ…

 

ไม่ง่ายเลยกว่าร่างกายจะได้อิสระคืนมา ยามที่นางตะเกียกตะกายว่ายขึ้นมา นางสำลักจนทั้งร่างสั่นเทา

 

การสำลักและไอทำให้ปอดที่ได้รับบาดเจ็บของนางบาดเจ็บหนักขึ้น รอจนยามที่นางปีนขึ้นฝั่งมาได้ อาการคนก็ไม่ดีแล้ว…

 

….

 

ยามที่กู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาบนเตียงใหญ่กว้างขวางอ่อนนุ่มหลังนั้น ท้องฟ้าด้านนอกก็เป็นสีดำแล้ว

 

มู่เฟิงที่อยู่ด้านนอกเคาะประตูเบาๆ “นายท่าน?”

 

กู้ซีจิ่วบิดเอวอย่างเกียจคร้าน มองร่างกายของตนอย่างปวดใจ เธอยังคงอยู่ในร่างของตี้ฝูอี มิใช่เนื่องจากนอนหลับเพียงตื่นเดียวก็สามารถกลับร่างได้

 

ตอนนี้เธอยังคงเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่ง

 

เธอลองตรวจสอบร่างกายดู ภายในร่างเริ่มมีพลังวิญญาณไหลเวียนเอื่อยๆ แล้ว ดูเหมือนร่างนี้กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู และความเร็วในการฟื้นฟูก็ไม่นับว่าช้า

 

ตั้งแต่เธอเข้าอยู่ในร่างนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างขี้เซา ตอนเที่ยงหลังจากเข้าร่วมพิธีปักปิ่นเสร็จ กลับมาในยามบ่ายเดิมทีคิดจะพลิกดูตำราในมิติเก็บของของตี้ฝูอีเสียหน่อย ดูว่ามีวิชาที่เหมาะใช้สลับร่างคืนหรือไม่ แต่รู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก จึงนอนหลับไปเสียดื้อๆ…

 

นอนหลับมาจนถึงตอนนี้

 

“นายท่าน? ตื่นหรือยังขอรับ?” มู่เฟิงที่อยู่ด้านนอกเคาะประตูต่อ

 

“เข้ามาเถอะ” กู้ซีจิ่วเอ่ย หมุนตัวไปนั่งลงหน้าโต๊ะ

 

มู่เฟิงมาพบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเพื่อนคุยธุระด้วยเสมอ ดังนั้นพอเขาเข้าก็เข้าประเด็นทันที “นายท่าน พรุ่งนี้ท่านมีบทเรียนในชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่ง ต้องการให้ข้าน้อยจัดเตรียมสิ่งใดหรือไม่ขอรับ?”

 

สมองกู้ซีจิ่วส่งเสียงดังหึ่งๆ “มีเรียน?” หนนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาด้วยธุรการงานมิใช่หรือ? มีเรียนอะไร?

 

“นายท่าน ท่านรับปากอาจารย์ใหญ่กู่ไว้ว่าจะอยู่สอนที่นี่สามเดือน สอนวิชาเหินหาวเป็นหลักขอรับ…”

 

กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็แจ้งความประสงค์ “เจ้าสามารถเตรียมเนื้อหาการบรรยายให้ข้าได้” ถึงเธอจะไม่รู้วิชาเหินหาวอะไรนั้น แต่ขอเพียงมีเนื้อหาบรรยายเธอก็สามารถวาดกระบวยตามน้ำเต้าได้

 

มู่เฟิงลำบากใจ “นายท่าน วิชานี้นายท่านเพิ่งจะบรรยายเป็นครั้งแรก ข้าน้อยก็ไม่รู้วิชานี้เช่นกันขอรับ”

 

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “…เช่นนั้นเจ้าเตรียมอะไรให้ข้าได้บ้าง?”

 

มู่เฟิงรีบตอบทันที “ข้าน้อยเทน้ำรินชาให้นายท่านได้ เรียกเหล่าศิษย์มารวมตัวให้นายท่านได้ ตอนเรียนวิชานี้น่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์บางอย่าง ข้าน้อยสามารถจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าได้ขอรัยบ”

 

กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “ข้าต้องใคร่ครวญดูหน่อย เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

 

มู่เฟิงส่งเสียงตอบรับ ขณะที่กำลังจะหันหลังจากไป กู้ซีจิ่วก็เอ่ยถามอีก “แล้ว…แม่นางกู้อยู่ที่ใด?”

 

“โอ้ นางน่าจะพักอยู่ในเรือนของตนขอรับ ใช่แล้ว ยามนี้อาการแม่นางกู้ดีขึ้นมาแล้วขอรับ เย็นวันนี้นางออกไปตกปลามาด้วย จนพลบค่ำถึงได้กลับมา”

 

กู้ซีจิ่วลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก “ข้าจะไปเยี่ยมนาง”

 

….

 

กู้ซีจิ่วยังไม่ทันก้าวเข้าไปในเรือนเล็กหลังนั้นก็ได้กลิ่นหอมของปลาย่าง

 

เมื่อผลักประตูเข้าไปแล้วมองแวบหนึ่ง ก็เห็นตี้ฝูอีนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งหินตัวหนึ่ง ด้านหน้าคือกองไฟกองหนึ่ง บนกองไฟย่างปลาไว้ ถัดไปคือเจ้าหอยยักษ์ที่อาฝ้ารออยู่ตรงนั้นอย่างเรียบๆ ร้อยๆ ลู่อู๋น้อยก็นั่งอยู่บนฝาหอย ดวงตาคู่นั้นจับจ้องปลาย่างอยู่เช่นกัน ส่วนเพรียกวายุแกว่งหางเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

 

ฉากนี้อบอุ่นเหลือเกิน กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปาก ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ

 

ฉากอันอบอุ่นนี้เดิมทีควรเป็นของเธอ

 

เจ้าหอยยักษ์ ลู่อู๋น้อย เพรียกวายุ เดิมทีก็เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ ยามนี้กลับไปห้อมล้อมรอบกายตี้ฝูอี ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก

 

————————————————————————————-