บทที่ 121 สองล้านในหนึ่งขาน

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

“หวังเหยียน แจ้งราคาออกไปเป็น 5 ล้าน”

เมื่อเห็นว่าเฉินซิวสู้ไม่ถอย อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเพิ่มราคาขึ้นไปอีก 1.2 ล้านเพื่อทำให้การประมูลนี้จบไปไว ๆ

“น้องอวี้ ฉันว่าของชิ้นนี้มันไม่คุ้มขนาดนั้นหรอก จากบทวิเคราะห์ที่ฉันได้รับมา ตุ๊กตาม้าหยกตัวนี้มีมูลค่าแค่ราว 4 ล้านเท่านั้นเอง”

หวังเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแนะนำขึ้น เขาคิดว่าราคา 5 ล้านหยวนมันมากเกินไป และไม่ต้องการให้อวี้ฮ่าวหรานขาดทุน!

“ไม่เป็นไร เอ่ยราคาไปเลย!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่คิดจะอธิบายถึงเหตุผล เพราะหวังเหยียนคงไม่เข้าใจมันแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงสั่ง

“ห้อง VIP หมายเลข 2 ราคา 3.8 ล้าน! มีใครเสนอต้องการราคาอีกไหม?”

“3.8 ล้าน ครั้งที่หนึ่ง! เอ๊ะเดี๋ยวนะ? ห้อง… ห้อง VIP หมายเลข 4 เสนอราคาสู้มาที่ 5 ล้านครับท่านผู้มีเกียรติ!”

พิธีกรบนเวทีต้องดูราคาที่แสดงบนหน้าจออีกรอบเพราะเขาคิดว่าเขาตาฝาดไปในตอนแรก

จนถึงตอนนี้ ราคาจบประมูลของทุกรายการที่ผ่านมามันต่ำกว่าราคาที่ประมาณการไว้สูงสุดทั้งหมด ท้ายที่สุดไม่มีใครที่ยอมโง่จ่ายราคามากกว่าที่ประเมินเอาไว้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ม้าหยกตัวนี้ที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ มันกลับทำราคาทะยานขึ้นถึง 5 ล้านแล้ว!

“ห้อง VIP หมายเลข 2 สู้ราคาที่ 6 ล้าน!”

หลังจากเสียงประกาศราคา 5 ล้านเบาลงไม่กี่วินาที พิธีกรบนเวทีก็ต้องแปลกใจอีกรอบที่การสู้ราคายังคงไม่จบลง แถมเพิ่มขึ้นไปอีกถึง 1 ล้านหยวน

“พระเจ้า สองคนนี้บ้ารึเปล่า? ทำไมพวกเขาถึงยอมจ่ายราคามหาศาลขนาดนี้?”

“เอ…ฉันจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มีการเปิดประมูลของที่นี่ ทั้งสองห้องนี้ก็แย่งกันซื้อกำไลหยกธรรมดา ๆ อันหนึ่งในราคาเสียดฟ้าเหมือนกัน!”

“นี่พวกเขาอยากได้ของจริง ๆ หรือว่าอยากทำให้อีกฝั่งเสียหน้ากันแน่? พวกเขาโกรธกันแบบไหนถึงได้เอาเงินมาเกทับกันแบบนี้?”

“…”

บรรดาเศรษฐีที่เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ไม่มีใครในพวกเขาที่ต้องการประมูลราคาแข่งสู้กับห้อง VIP หมายเลข 2 และ 4 อีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องไม่ได้จบเพียงแค่นี้!

“ห้อง VIP หมายเลข 4 ราคา 8 ล้าน!”

เมื่อเห็นว่าเฉินซิวยังคงดิ้นรน อวี้ฮ่าวหรานก็ขึ้นราคาไปอีกสองล้าน!

เมื่อราคาดีดสูงขึ้นมาอีกแบบนี้ ห้อง VIP หมายเลข 2 ก็เงียบลงในทันใด มันบ้าไปแล้ว!

เศรษฐีคนอื่น ๆ ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม

สองล้านในหนึ่งขาน?

ในห้อง VIP หมายเลข 2

“บัดซบ! ผู้ชายคนนี้! ที่ผ่านมาฉันอุตส่าห์ยอมถอยให้ตลอด ทำไมเขาถึงไม่ยอมถอยให้ฉันบ้าง!”

เฉินซิวบดขยี้แก้วในมือของตัวเองจนแหลกละเอียดเพื่อระบายอารมณ์ ครั้งที่แล้วเขาก็พลาดกำไลหยก ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงตั้งเป้าเอาไว้ว่าต้องได้ม้าหยกขาวตัวนี้มาให้ได้ แต่มันกลับกลายเป็นว่าเขากำลังจะถูกอวี้ฮ้าวหรานชิงไปเหมือนเดิมอีกแล้ว!

ผู้ชายคนนี้รวยเกินไปหรือเปล่า? โยนเงิน 8 ล้านออกมาอย่างกับเป็นเศษเงินเลยเนี่ยนะ?

อันที่จริงแก็งค์มังกรครามเองก็มีเงินทุนสำรองอยู่ในแก็งค์หลายสิบล้าน แต่ด้วยการที่เขาไม่ได้คาดคิดว่าอวี้ฮ่าวหราน จะโผล่มาอีกรอบแล้วทุ่มเงินหนักขนาดนี้ จึงไม่ได้นำเงินมาเผื่อมากสักเท่าไหร่ หรือต่อให้เอาเงินมามากพอ เฉินซิวก็ไม่กล้าทุ่มเงินมากกว่า 8 ล้านไปกับของแค่ชิ้นเดียวหรอก!

เฉินซิวโทรออกหาหยวนหลงด้วยความโกรธจัดทันที

“หัวหน้า คราวนี้การประมูลล้มเหลวอีกแล้ว ตอนนี้ไอ้อวี้ฮ่าวหรานมันเพิ่มราคาม้าหยกที่มีมูลค่าแค่ 3 ล้านไปถึง 8 ล้านแล้ว มันไร้ยางอายจริง ๆ มันรังแกพวกเรามากเกินไป!”

น้ำเสียงของเฉินซิวโกรธมาก แต่ปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์กลับยังคงใจเย็นอยู่

“แน่ใจว่าเป็นเขา?”

“ผมมั่นใจ 100% ผมเห็นกับตาว่าเขาเข้าไปในห้อง VIP หมายเลข 4 แล้วหลังจากนั้นเขาก็ประมูลแข่งสู้กับผมอย่างไม่ลดละเลย!”

“งั้นหลังจากจบงานประมูล นายก็ไปเชิญเขามาพบฉันหน่อย บอกไปว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา อ้ออย่าลืมว่านายต้องชวนเขาแบบสุภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“คุณอยากเจอเขาจริง ๆ เหรอ?”

เฉินซิวประหลาดใจที่หัวหน้าแก๊งให้ความสนใจชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามขนาดนี้ จึงถามกลับสีหน้าโง่งม

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ

โทรศัพท์ถูกวางสายไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้น เฉินซิวก็ทำได้แต่มองไปยังห้อง VIP หมายเลข 4 ด้วยสีหน้าหนักใจ

ในที่สุด ม้าหยกก็ถูกขายไปในราคา 8 ล้าน ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้มันไปคืออวี้ฮ่าวหราน

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เฉินซิวก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง VIP หมายเลข 2 พร้อมกับลูกน้องอีกสามคน

“พวกแกต้องการอะไร?”

ทันทีที่พวกของเฉินซิวเดินมาถึงหน้าห้อง VIP หมายเลข 4 สมาชิกแก็งค์พยัคฆ์เวหาที่เฝ้าอยู่หน้าห้องก็เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าดุดันทันที

“ฉันมีธุระอยากคุยกับคนที่อยู่ข้างใน”

เฉินซิวเหลือบมองคนเหล่านี้ด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่สามารถใช้พลังปราณได้แล้ว ดังนั้นคนธรรมดาที่ขวางทางเขาอยู่พวกนี้จึงไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย

หากเขาอยากใช้กำลังบุกเข้าไปจริง ๆ แค่เพียงอึดใจเดียวเขาคงจัดการคนพวกนี้ได้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าทำแบบนั้นอยู่แล้วเพราะคนที่อยู่ด้านในคือคนที่เขาไม่อาจสู้ได้เลย

“ลูกพี่ของเราไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปรบกวนแขกผู้มีเกียรติของเขาด้านใน!”

บรรดาสมาชิกแก็งค์พยัคฆ์เวหาตอบกลับเสียงแข็ง พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้เฉินซิวเข้าไปด้านในแน่นอน

“งั้นก็ให้หวังเหยียนออกมา!”

เฉินซิวโกรธจนหน้าแดง การที่ถูกลิ่วล้อตัวเล็ก ๆ สองสามตัวขวางประตูเอาไว้โดยที่ทำอะไรพวกมันไม่ได้ ทำให้เขาเก็บอารมณ์ไม่แล้วอยู่ตะโกนออกไป

“โอ้ หัวหน้าสาขาเฉินเป็นอะไรอีก ทำไมถึงต้องโกรธมากขนาดนี้? ใครที่ยั่วยุนายกัน?”

จู่ ๆ ประตูห้อง VIP หมายเลข 4 ก็เปิดออก และร่างผอมบางของหวังเหยียนก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู

ดวงตาของเฉินซิวหรี่ลง แต่เมื่อเขานึกถึงคำพูดของหัวหน้าแก็งค์ของตัวเอง เขาก็ระงับความโกรธในใจของเขา

“ครั้งนี้ฉันไม่ได้มาสร้างปัญหาอะไร ฉันแค่ต้องการเชิญพี่อวี้ไปคุยกับหัวหน้าแก็งค์ของฉันเท่านั้น”

แก็งค์มังกรครามและแก็งค์พยัคฆ์เวหามีความขัดแย้งกันอยู่เสมอ อันที่จริงแล้วเฉินซิวไม่กลัวโจวเฟยหู่แม้แต่น้อยเพราะ โจวเฟยหู่เพิ่งฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่คนที่เขาหนักใจเมื่อเผชิญหน้าด้วยจริง ๆ หากไม่รวมอวี้ฮ่าวหราน ก็คือหวังเหยียนผู้นี้

ถึงแม้ว่าหวังเหยียนจะดูผอมแห้งไม่มีพิษสงอะไร แต่เฉินซิวรู้ดีว่าคนผู้นี้มีความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย!

ทุกวันนี้เขายังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนของแก็งค์พยัคฆ์เวหาถึงยอมให้โจวเฟยหู่เป็นคนคุมบังเหียนแทนที่จะเป็นหวังเหยียนที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่า

“หาฉัน?”

อวี้ฮ่าวหรานหลังจากได้ม้าหยกมาครอบครอง เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาเดินออกมาถามเฉินซิวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“ถูกต้อง คุณช่วยรบกวนมากับผมหน่อยจะได้ไหม หัวหน้าของผมต้องการคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวที่ผับจินลี่ของเรา”

เฉินซิวรู้ดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน ดังนั้นต่อให้หัวหน้าของเขาจะไม่เอ่ยขึ้นว่าให้ชวนอย่างสุภาพ เขาก็ตั้งใจว่าจะชวนฝั่งตรงข้ามแบบเป็นมิตรอยู่แล้ว

“ชวนไปที่ผับจินลี่ของแก็งค์แกเนี่ยนะ? เฉินซิว แกกำลังวางแผนชั่วอะไรอยู่? ทุกคนรู้ดีว่าที่นั่นมันคือแหล่งกบดานของแก็งค์แก แกวางแผนจะจัดการกับผู้มีพระคุณของของเราใช่ไหม!”

ยังไม่ทันที่ฮ่าวหรานจะได้ตอบกลับ หวังเหยียนก็ขมวดคิ้วและตะคอกออกมาก่อนแล้ว

ทันใดนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นตึงเครียดมากขึ้น บรรดาลูกน้องของหวังเหยียนต่างก็กระจายตัวกันล้อมกลุ่มของเฉินซิวทันที

“หัวหน้าแก็งค์ของฉันแค่ต้องการพบพี่อวี้เท่านั้น พวกฉันจะไปกล้ามีเจตนาร้ายต่อพี่อวี้ได้ยังไง?”

เฉินซิวตอบกลับโดยไร้ความเกรงกลัว เขารู้ว่าตราบใดที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านในสุดไม่เคลื่อนไหว เขาสามารถฝ่าออกไปได้อย่างง่ายดายไม่ว่าหวังเหยียนจะพาคนมากี่คนก็ตาม

เมื่อเผชิญกับคำเชิญที่ดูบีบบังคับเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องไปพบกับหัวหน้าของเฉินซิวสักหน่อย

เขาต้องการไปล้วงข้อมูลว่าอีกฝ่ายใช้วิธีไหนในการมองว่าวัตถุโบราณอันไหนที่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่ ฝั่งตรงข้ามไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตก่อรากฐานด้วยซ้ำ …ดังนั้นจึงไม่ควรที่พวกเขาจะมองออกได้แบบนี้

“ตกลงฉันจะไป นำทางไปได้เลย”

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ตอบกลับพร้อมกับเดินเขาไปหาเฉินซิว

“เดี๋ยวสิน้องอวี้! นายจะประมาทคนอย่างหยวนหลงไม่ได้เชียวนะ!” เมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของหวังเหยียนเปลี่ยนเป็นโง่งมไปในทันที

“ไม่ต้องห่วง มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมหรอก”