บทที่ 151 ไร้กังวล (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 151 ไร้กังวล (1)
“แล้วท่านเล่า” ลู่เซิ่งมีความรู้สึกซับซ้อนต่อหลี่ซุ่นซี ตอนแรกเขามีความคิดลงทุนผูกมิตรกับอีกฝ่าย ภายหลังเพราะมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน เกลียดชังจวนอู๋โยว จึงช่วยเหลืออีกฝ่าย

ต่อให้เป็นครั้งนี้ ก็เป็นวาสนา เป็นความบังเอิญ ถ้าไม่ใช่ชายชราผู้ประกอบพิธีของจวนอู๋โยวสังหารพลพรรคของเขาอย่างเหนือความคาดหมาย เขาก็ไม่คิดกลับไปฆ่าคน

เพราะความบังเอิญติดต่อกัน ที่อธิบายไม่ได้ จึงช่วยเหลือหลี่ซุ่นซีไว้ได้พอดี

ตอนนี้คนผู้นี้มีหยกลี้ลับ มีความสามารถทำนายเรื่องล่วงหน้า สาบานว่าจะทำลายล้างจวนอู๋โยว นี่ทำให้ลู่เซิ่งมีความรู้สึกต่อเขาแตกต่างจากคนธรรมดาเมื่อก่อนหน้า

“ข้าจะไปจงหยวน คนที่มีโลหิตวิญญาณยักษ์อีกคนซึ่งจวนอู๋โยวต้องการหาอยู่ที่นั่น” หลี่ซุ่นซีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“พี่หลี่ออกเดินทาง มีคนรู้จักอยู่ที่จงหยวนแล้วหรือ” ลู่เซิ่งถามอีก

“ไม่มี…ตอนนี้ทุกที่มีแต่คำสั่งประกาศจับข้า ไหนเลยมีคนรู้จักกล้ารับไว้” หลี่ซุ่นซียิ้มหนักใจ

ลู่เซิ่งใคร่ครวญครู่หนึ่ง

“อย่างนั้นท่านไปที่นี่ดู ถ้ามีความจำเป็นก็เข้าอยู่ได้ รอคุ้นที่แล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร” เขาพูดชื่อสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นที่ที่ก่อนหน้านี้สมาชิกโถงอินทรีเหินซึ่งเขาส่งไปจงหยวนสร้างไว้

จากนั้นเขาก็อธิบายวิธีการติดต่ออย่างละเอียด และบอกว่าต้องปรับเปลี่ยนรูปโฉม

หลี่ซุ่นซีซาบซึ้งใจ หลายวันต่อจากนั้น ลู่เซิ่งจัดให้ยอดฝีมือที่ถนัดการปลอมแปลงโฉม ชี้แนะอธิบายต่อเขาอย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็มอบแผ่นทองถุงใหญ่ให้

เป็นเพราะเส้นทางยาวไกล โรงรับเงินของจงหยวนไม่แน่จะใช้ตั๋วเงินของทางนี้ ถึงแม้จะเป็นราชสำนักเดียวกัน แต่ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลก็ยังกุมอำนาจที่แท้จริงในมือ ตั๋วเงินของโรงรับเงินในภาคกลางส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้แพร่หลาย เงินทองของจริงมีประโยชน์กว่า

หลายวันให้หลัง

เรือใบสีดำสนิทจอดอยู่ข้างแม่น้ำ

ลู่เซิ่งไปส่งหลี่ซุ่นซีกับไป๋ชิวหลิงถึงท่าเรือ เขายืนอยู่ด้านหน้าเรือใบ นับว่าเป็นการส่งครั้งสุดท้าย

“พี่ลู่ บุญคุณใหญ่ไม่กล่าวขอบคุณ วันหน้าจะต้องทดแทน!” หลี่ซุ่นซีประสานมือให้ลู่เซิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง

“พี่หลี่พูดอะไร! พวกเราพี่น้องกัน พูดเรื่องพวกนี้ก็เห็นเป็นคนอื่นไกลเกินไป!” ลู่เซิ่งทำท่าหนักแน่นมีคุณธรรม ความจริงตอนอยู่ที่เมืองอินทรีคู่เขาคิดจะไปแล้ว คาดไม่ถึงจะช่วยหลี่ซุ่นซีไว้อย่างเหนือความคาดหมาย

กล่าวตามสัตย์ ถ้าเขารู้แต่แรกแล้วว่าหลี่ซุ่นซีอยู่ที่นั่น และทราบเรื่องยุ่งยากอย่างหยกปีศาจ ก็ไม่แน่ว่าจะหันหลังกลับไปช่วย

แน่นอนว่าคำพูดนี้ไม่อาจกล่าวออกจากปาก ในเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ผิดพลาดก็ผิดพลาดไป

“ท่านอาลู่…บุญคุณช่วยชีวิต ชิวหลิงไม่กล้าลืม!” ตอนนี้ไป๋ชิวหลิงทรุดโทรมลงมาก สองตามืดหม่นไร้ประกาย แต่อย่างน้อยก็มีความหวังมากกว่าก่อนหน้า ความหวังในการแก้แค้น

“ชิวหลิง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ” ลู่เซิ่งพยักหน้าตบไหล่นาง

“จริงด้วย ของสิ่งนี้ข้าทำตลอดคืน หวังว่าจะมีประโยชน์กับพี่ลู่” ทันใดนั้นหลี่ซุ่นซีหยิบผ้าน้ำมันสีเหลืองอ่อนใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ม้วนเป็นม้วนกลม ยื่นส่งให้ลู่เซิ่ง

“กลับไปก่อนค่อยเปิดดู!” เขาเอ่ยอย่างขึงขัง

เพื่อทำของสิ่งนี้ เขาเสียเลือดจากการสละชีวิตของหลิ่วฉินในหยกลี้ลับอย่างน้อยเกือบครึ่ง ตนเองก็ใช้เลือดไปไม่น้อย ปราณกำเนิดเสียหาย อายุขัยลดลง แต่สุดท้ายนับว่าตอบแทนลู่เซิ่งได้เล็กน้อยแล้ว

ลู่เซิ่งรับมาอย่างสงสัย ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้เปิดออกดูต่อหน้า พยักหน้าให้หลี่ซุ่นซี แล้วเก็บเอาไว้

“เขาเขียวไม่เปลี่ยนแปลง ลำธารไหลยืดยาว พี่ลู่ วันหน้าค่อยเจอกัน!” หลี่ซุ่นซีประสานมือให้ลู่เซิ่งเป็นครั้งสุดท้าย

“วันหน้าเจอกัน!” ลู่เซิ่งประสานมือเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน

ทั้งสองคนขึ้นเรือ เรือปลดใบ ใบเรือพองตามลม ลมแรงนำเรือแล่นไปยังที่ไกลอย่างช้าๆ

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่ท่าเรือ มองตามจนเรือไปไกล ทราบว่าพ้นสายตาแล้ว ก็ค่อยๆ หมุนตัวมา

ด้านหลังของเขาคือสวีชุยกับนิ่งซาน ยังมียอดฝีมือจากโถงอินทรีเหินกลุ่มหนึ่ง รอรับคำสั่งจากเขา

“ประมุขพรรค เบื้องล่างส่งจดหมายมาแจ้งเป็นการด่วน” สวีชุยเข้ามามอบจดหมายฉบับหนึ่งให้

ลู่เซิ่งฉีกเทียนผนึก เปิดจดหมายออกอ่าน

“ท้าประลองหรือ”

เนื้อหาในจดหมายเกี่ยวกับตระกูลซั่งหยาง ซั่งหยางเซ่อน้องชายของซั่งหยางจิ่วหลี่จะท้าประลองเป็นตายกับคนในแดนเหนือ

ตอนนี้จิ่วหลี่ปิดด่านไม่ออกมา เรื่องการประลองของซั่งหยางเซ่อจึงตกอยู่ที่ตัวลู่เซิ่ง

‘แต่ประมุขพรรคระดับตรีลักษณ์อย่างเรา ต่อให้คนจะนึกว่ามีสายเลือดตระกูลขุนนางอยู่เล็กน้อย ก็ตกต่ำมานานแล้ว สองปีก่อนซั่งหยางเซ่ออยู่ในระดับจตุลักษณ์ ตอนนี้น่าจะมีพลังเบญจลักษณ์แล้ว ระดับแบบนี้ สถานะของเราเข้าไปยุ่งไม่ได้ เรื่องนี้ส่งจดหมายไปให้ตระกูลซั่งหยางก็พอ’ ลู่เซิ่งตัดสินใจ

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ถ้าได้ยินว่าป่าเขาใกล้เมืองกึ่งบรรณมีการเคลื่อนไหว ให้ปิดล้อมห้ามคนธรรมดาเข้าไป รอหลังเทศกาลอัคคีคู่ค่อยยกเลิก” ลู่เซิ่งสั่งเสียงทุ้มต่ำ

“ขอรับ!”

สวีชุยรับคำสั่งไปถ่ายทอด

ลู่เซิ่งให้นิ่งซานจัดการเส้นทางขากลับ

ลู่เซิ่งขึ้นรถม้า ขณะรอขบวนออกเดินทาง รถม้าจอดนิ่ง จึงค่อยหยิบม้วนผ้าที่หลี่ซุ่นซีมอบให้มาวางไว้บนโต๊ะ

‘สิ่งที่ทำให้เขาจริงจังแบบนี้ได้ จะต้องไม่ธรรมดาแน่’ ลู่เซิ่งค่อยๆ จับมุมหนึ่งของม้วนผ้า แล้วคลี่ออก

ม้วนกางออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาของลู่เซิ่งค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น หายใจแรงเล็กน้อย

‘นี่…คือ…?’

เห็นตัวอักษรแถวหนึ่งที่เขียนไว้อย่างชัดเจนบนม้วนผ้า

‘ดอกสารพัดนึกแปดทบ รับประทานเกสร สามารถหล่อเลี้ยงห้าอวัยวะภายใน ปรับสภาพหยางโชติช่วง เสริมความบริสุทธิ์กับความหนาแน่นของปราณภายในอย่างใหญ่หลวง’

‘เถากรงเล็บมังกรพันปี ต้มแล้วรับประทานน้ำแกง มีสรรพคุณยืดอายุขัย หล่อเลี้ยงเอ็นกระดูก’

‘ราชาโสมหยกขาว รับประทานดิบพร้อมตำรับยาธาตุไฟ สามารถเสริมพลังชีวิต ยืดอายุขัย ไปถึงเส้นลมปราณ’

สถานที่อยู่อันชัดเจนของวัตถุดิบล้ำค่าถูกทำสัญลักษณ์อย่างง่ายๆ ไว้บนม้วนผ้า ม้วนผ้าเป็นแผนที่ของแดนเหนือ ด้านข้างใช้ตัวอักษรเล็กๆ เท่าเหลือบริ้นเขียนหน้าตาลักษณะพิเศษและที่อยู่อย่างเป็นรูปธรรมของวัตถุดิบยาของล้ำค่าแต่ละชนิดเอาไว้อย่างละเอียด

ลู่เซิ่งกะดู มีวัตถุดิบล้ำค่าสิบกว่าชนิด

‘ถ้าของเหล่านี้เป็นของจริง อย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมแล้ว’

เพราะพรรควาฬแดงมีกิจการวัตถุดิบยาของตัวเอง เขาจึงมักไปห้องโอสถอยู่เสมอ เลยรู้จักวัตถุดิบยาบางส่วนในระดับหนึ่ง

วัตถุดิบยาเหล่านี้มีราคาแพง ไม่มีของในตลาด เป็นของที่หาซื้อไม่ได้ มีส่วนช่วยต่อการฝึกฝนปราณภายในของเขาอย่างมหาศาล

นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ ตำแหน่งยาสองสามตำแหน่งถึงกับเป็นโอสถล้ำค่าระดับสูงระดับผลสีชาด

ถ้าเอามารับประทาน อาจมีส่วนช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงต่อปราณภายใน!

ลู่เซิ่งพอกลับมาถึงพรรค ก็สั่งให้คนตรวจสอบสถานที่ที่บันทึกไว้บนม้วนผ้าทันที ยืนยันตำแหน่งคร่าวๆ ก่อนค่อยว่ากัน

แดนจงหยวน จวนอู๋โยวอ๋อง

กลางดึก เสียงขลุ่ยดังมาจากในจวนอ๋องที่มีกำแพงสูงสีแดง มีเสียงหัวเราะร่วนของบุรุษและสตรีอยู่ภายใน

ไฟตะเกียงส่องสว่างโถงหลักในจวน

บุรุษองอาจหน้าตาน่าเกรงขาม เครื่องหน้าไร้ตำหนิ นั่งบนตำแหน่งหลัก ชื่นชมสาวงามที่เต้นระบำอยู่ด้านล่างพร้อมกับแขกเหรื่อที่อยู่ด้านข้าง

ขุนนางใหญ่ท่าทางงุ่นง่านหลายคนแอบเอาล้วงมือเข้าในกระโปรงสตรีที่อยู่ข้างตัว แต่กลับคุยกับคนอื่นๆ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

อู๋โยวอ๋องอายุเจ็ดสิบปี แต่ใบหน้ายังดูหนุ่มแน่นเหมือนกับคนวัยกลางคน ชุมนุมไร้กังวลที่เขากำลังจัดในตอนนี้ เป็นหนึ่งในวิธีการที่เขาใช้ดึงขุนนางคนสำคัญคนอื่นมาเป็นพวก

ชุมนุมไร้กังวล ย่อมไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุข

สตรีที่เหล่าขุนนางคนสำคัญเหล่านี้กำลังหาความสุข นอกจากนางรำ ส่วนใหญ่เป็นสตรีธรรมดาที่เขาแอบนำมาจากทุกที่ทั่วประเทศ ในนี้มีคุณหนูตระกูลใหญ่ มีหยกงามตระกูลลเล็ก มีฮูหยินสูงศักดิ์ มีสาวงามจากชนบท

นอกจากนี้ยังมีพี่น้อง บุตรี หลานสาว ลูกพี่ลูกน้องของตัวขุนนางใหญ่บางคน ขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยเป็นตัวกลางติดต่อในที่ของเขา ค่อยๆ ประกอบกันเป็นเครือข่ายผลประโยชน์อันมั่นคง

อู๋โยวอ๋องมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวอย่างอารมณ์ดี

เขาเลื่อนสายตาไปอยู่ที่ตัวขุนนางใหญ่วัยกลางคนอายุห้าสิบกว่าปีซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่ง คนผู้นี้เป็นเป้าหมายใหม่ของเขา

แต่คนผู้นี้มีรสนิยมแปลกประหลาด อย่างอื่นไม่ชอบ ชอบเล่นกับเพศตรงข้ามในครอบครัวตัวเอง น้องสาวของเขาเล่นไปแล้ว จากนั้นบุตรี ลูกพี่ลูกน้อง หลานสาวก็ไม่ละเว้น คนที่มีหน้าตางดงามในตระกูลล้วนถูกเขาเล่นจนหมดแล้ว

เบื้องหลังตระกูลคนผู้นี้อาศัยเขาเป็นที่พึ่ง หลายๆ ครั้งจวนอ๋องเป็นตัวกลางให้ เปลือกนอกที่เคร่งขรึมน่าเกรงขามในตอนแรกของเขาก็หายไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนครอบครัวให้กลายเป็นที่หาความสำราญของตนเอง

เป็นเพราะคนผู้นี้มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ จวนอู๋โยวยังมอบโอสถบำรุงร่างกายจำนวนมากให้เป็นการเฉพาะ เพื่อคงกำลังวังชาของเขาไว้

แน่นอนว่า สิ่งที่ได้มาย่อมมีเยอะกว่า ศัตรูทางการเมืองจำนวนไม่น้อยถูกคนผู้นี้จัดการไปทีละคนๆ

ขณะอารมณ์กำลังปลอดโปร่ง หญิงสาวสวมกระโปรงสีชมพูคนหนึ่งก็เข้ามาหาอู๋โยวอ๋องจากด้านข้างอย่างเงียบๆ แล้วกระซิบกระซาบข้างหูสองสามคำ

ใบหน้ายิ้มแย้มในตอนแรกของอู๋โยวอ๋องพลันเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“ทุกท่าน อ๋องน้อยมีธุระขอออกไปก่อนสักพัก ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ หาความเพลิดเพลินได้อย่างเต็มที่” เขาลุกขึ้นกล่าวเสียงกังวาน

“ท่านอ๋องมีธุระก็ไปเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกเรา”

“มิผิดๆ ขอบคุณที่ท่านเชิญเรามา ท่านอ๋องอย่าได้เสียการใหญ่เพราะพวกเรา”

“ขอแค่ภายหลังส่งยาดีๆ มาก็พอ”

ทุกคนหัวเราะ

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ อู๋โยวอ๋องยิ้มแย้มพร้อมเยื้องกรายออกจากโถงหลัก

ออกจากโถงใหญ่มาถึงระเบียงเสากลมด้านข้าง บนระเบียงมืดมิดแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่หลายใบ แสงสีแดงส่องลงมา ขับใบหน้าเขาจนดุร้ายอยู่บ้าง

บนระเบียงมีเงาคนสองสายรออยู่ แยกเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี

บุรุษแต่งกายอย่างเศรษฐี ประดับประดาเพชรพลอย เงินทองหยกศิลา อายุราวหกเจ็ดสิบ ผมเผ้าหนวดเคราขาว

สตรีร่างอ้อนแอ้น ทรวงอกกระเพื่อม เอวกิ่วขายาว ใบหน้าชวนลุ่มหลง สวมกระโปรงสีแดงแนบเนื้อ เผยเนินอกขาวผ่องมากกว่าครึ่ง นอกจากจุดสองจุดก็แทบเห็นเค้าโครงทั้งหมด ขาหยกมากกว่าครึ่งโผล่วับแวมในส่วนตัดของชายกระโปรง

“เจาหรง หลิงม่อ เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?!” อู๋โยวอ๋องมองทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เจาหรงสตรีกระโปรงแดงสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว เอ่ยว่า “เรียนนายท่าน ผีดิบขาวอยู่ที่แดนเหนือไม่ส่งข่าวกลับมานานแล้ว ยังมีทางหยกปีศาจ เกิดความผิดพลาด เกศาปีศาจเองก็…”

“อย่าบอกนะว่า กระดิ่งวิญญาณของผู้ประกอบพิธีสองคนหายไปแล้ว…” อู๋โยวอ๋องกล่าวเสียงเย็นชา

เจาหรงก้มหน้าเงียบๆ

เย่หลิงม่อที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงทุ้ม “ท่านอ๋อง เรื่องด่วนในตอนนี้คือการหาให้เจอว่าใครต่อต้านจวนอู๋โยวของเรา ผู้ประกอบพิธีสองคนสาบสูญ ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าจะเสียชีวิต การสูญเสียเช่นนี้สิบปีที่ผ่านมามีน้อยเต็มที ไม่มีผู้ประกอบพิธี พวกเรารับสมัครใหม่ได้ แต่ถ้าพิธีกฎเกณฑ์ล่าช้า จะเป็นปัญหาร้ายแรงแล้ว”

“ถูกต้อง ตอนนี้เป็นเวลาสำคัญ…” เจาหรงเอ่ยอย่างเห็นด้วย

……………………………………….