บทที่ 152 ไร้กังวล (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 152 ไร้กังวล (2)
“ไม่มีผู้ประกอบพิธี หรือว่าพวกเจ้าจะทำพิธีกฎเกณฑ์เอง” อู๋โยวอ๋องกล่าวอย่างเย็นชา

“แดนเหนือวุ่นวายเพราะภัยพิบัติมังกรสีชาด จะหาขุมกำลังเพื่อร่วมมือก็ค่อนข้างลำบาก ทางเมืองอินทรีคู่เดิมต้องการรวบรวมสิบหอกผลึกหยกปีศาจ คิดไม่ถึงขาดอีกก้าวจะสำเร็จ ส่งผลกระทบใหญ่หลวง สมควรตรวจสอบสุดกำลัง” เย่หลิงม่อเอ่ยเสียงทุ้ม

“เจ้าจะลงมือเองหรือ” อู๋โยวอ๋องงงงัน เข้าใจความหมายของเขา

“ข้ากับเจาหรงไปก็พอแล้ว” เย่หลิงม่อตอบ

ไม่มีคนรู้ว่าในจวนอู๋โยวมีผู้เข้มแข็งระดับอสรพิษสองคน คนหนึ่งคืออู๋โยวอ๋อง อีกคนคือเขา

เย่หลิงม่อเดิมเป็นประมุขจวนม้วนมนุษย์ หลังจากจวนม้วนมนุษย์พินาศลง ก็ถูกดึงตัวเข้ามาจวนอู๋โยว เป็นรองประมุขจวนร่วมกับเจาหรง คอยช่วยเหลืออู๋โยวอ๋อง

ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ อายุขัยของอู๋โยวอ๋องใกล้สิ้นสุด ใต้บังคับบัญชามีผู้ประกอบพิธีทั้งหมดห้าคน อีกสามคนมีภารกิจสำคัญติดตัว ไม่อาจเรียกตัวมา เขาเองก็ทำไม่ได้ จึงต้องออกโรงด้วยตัวเอง

อู๋โยวอ๋องจะตายไม่ได้ เกิดเขาตาย สตรีในราชวงศ์นางนั้นจะต้องบุกมากัดกระชากเลือดเนื้อของจวนอู๋โยวดุจผีร้ายแน่

เย่หลิงม่อไม่มั่นใจว่าจะสกัดนางไว้ได้ มีแค่สถานะของอู๋โยวอ๋องทำให้นางกริ่งเกรงได้บ้าง

อู๋โยวอ๋องจดจ้องเย่หลิงม่อพักหนึ่ง ในที่สุดก็ค่อยๆ พยักหน้า

“ทางจัตุรัสแดง ผู้คุมจัตุรัสมีข่าวแล้ว ได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกไม่นานจะกลับแดนเหนือ เจ้าไปที่จัตุรัสแดง ร่วมมือกับพวกนางตรวจสอบเรื่องพิธีกฎเกณฑ์ในแดนเหนืออย่างละเอียดได้ ส่วนที่เมืองอินทรีคู่ รองผู้คุมจัตุรัสก็อยู่ด้วยเหมือนกัน ลองสอบถามดู”

“ทราบแล้ว!”

เย่หลิงม่อพยักหน้าขานรับ “ข้าจะเดินทางทันที”

“ผีดิบขาวใกล้จะเลื่อนถึงระดับสัตตะลักษณ์แล้ว เป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีความหวังบรรลุระดับของพวกเรามากที่สุดในจวน คิดไม่ถึงจะหายไปที่แดนเหนือเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย ต้องหาคำตอบให้เจอ!” อู๋โยวอ๋องเอ่ยเสียงเย็น

“ถ้าเป็นซั่งหยางจิ่วหลี่ลงมือเล่า”

อู๋โยวอ๋องชะงักเล็กน้อย จากนั้นมีสีหน้าน่ากลัวขึ้น

“ต่อให้เป็นตระกูลซั่งหยาง ก็ไม่ต้องกลัว อายุขัยข้าใกล้สิ้นสุดแล้ว ยังมีสิ่งใดละทิ้งไม่ได้อีก!”

เย่หลิงม่อดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ ตอนนั้นเขาถูกตระกูลเจินขับไล่จากแดนเหนือเหมือนกับสุนัขไร้บ้าน ตอนนี้ถึงเวลากลับไปแล้ว…

ทั้งสองคนไม่พูดถึงพันธมิตรบู๊ด้วยซ้ำ สำหรับพวกเขาแล้ว พันธมิตรบู๊มีแค่ฉินอู๋เมี่ยนซึ่งเป็นผู้นำที่พอดูได้ คนอื่นๆ เป็นไก่ดินสุนัขกระเบื้อง ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง

สำหรับทั้งสองที่พลังทำลายล้างอยู่ในระดับอสรพิษ พลังระดับพันธนาการต่อให้เป็นระดับสัตตะลักษณ์ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ก็ไม่อาจฉีกอิสรพิษดำคุ้มกันของพวกเขาออกได้

ลักษณะพิเศษที่เห็นชัดที่สุดของระดับอสรพิษคือเยื่อดำจะรวมตัวกันกลายเป็นอสรพิษดำคุ้มกัน อสรพิษดำนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ถูกเรียกรวมๆ ว่าอสรพิษดำอมตะ มีความสามารคืนชีพอย่างต่อเนื่อง

ตระกูลขุนนางที่แตกต่าง อาวุธเทพศัสตรามารที่แตกต่าง ความสามารถที่นำมาย่อมแตกต่าง แต่ว่าผู้เข้มแข็งที่ก้าวย่างสู่ระดับอสรพิษทั้งหมดจะสร้างอสรพิษดำอมตะเช่นนี้ได้หลายตัว

ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดกับร่างกายจะส่งถ่ายไปที่อสรพิษดำอมตะ ขอแค่อสรพิษดำอมตะยังอยู่ กายแท้ก็เป็นอมตะตลอดกาล

หมายความว่า หลังจากถึงระดับนี้ ระดับอสรพิษจะไม่มีนิยามของจุดอ่อนอีกต่อไป แต่กลายเป็นระดับที่เทียบศักยภาพและการสั่งสมพลังแทน

บวกกับเมื่ออสรพิษดำอมตะรวมตัว พลังของระดับพันธนาการไม่ว่าอย่างไรก็โจมตีไม่เข้า

นี่แตกต่างจากคุณสมบัติของพลังพันธนาการโดยสิ้นเชิง ยกระดับกลายเป็นพลังอีกแบบหนึ่ง นี่เป็นที่พึ่งซึ่งเย่หลิงม่อใช้มองข้ามซั่งหยางจิ่วหลี่ในระดับสัตตะลักษณ์

เป็นเพราะพวกเขามีความแตกต่างกับระดับพันธนาการมากเกินไป

แดนเหนือ จัตุรัสแดง

สตรีกางร่มพุ่งเข้าลานใหญ่อย่างทุลักทุเล

สภาพร่างกายนางบาดเจ็บสาหัส ร่มแดงในมือก็เต็มไปด้วยรูโหว่ ก่อนที่หยกปีศาจจะระเบิด เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกลู่เซิ่งพบ นางรอจนพลพรรควาฬแดงไปหมด ค่อยออกจากเมืองอินทรีคู่เป็นคนสุดท้าย ดังนั้นจึงโดนลูกหลง รับบาดเจ็บร้ายแรง

แต่ยังดีที่รอดมาได้

สตรีกางร่มนึกถึงฉากที่ผู้ประกอบพิธีเกศาปีศาจถูกจิกผมโดยไร้พลังต่อต้าน ร่างกายพลันสั่นเทา

เทียบกับพลังที่นางเคยต่อสู้ด้วย ลู่เซิ่งเหมือนกับไม่ใช่คนเดียวกับก่อนหน้า เขาแข็งแกร่งแบบนั้นอยู่แล้ว หรือว่าเลื่อนระดับในช่วงเวลานี้

สตรีกางร่มไม่ทราบ สิ่งเดียวที่นางคิดทำคือ รีบมาบอกข่าวนี้กับจวนอู๋โยวและผู้คุมจัตุรัส

นางเดินโซเซมาถึงปากบ่อ มองสภาพเละเทะในปัจจุบันของตัวเอง อดส่งเสียงสะอื้นขึ้นไม่ได้

ผู้คุมจัตุรัสไม่อยู่ บริวารส่วนใหญ่ถูกฆ่าในเมืองอินทรีคู่ จัตุรัสแดงในตอนนี้แทบเหลือแค่ชื่อ นอกจากผีป่าวิญญาณเลวส่วนหนึ่งที่ควบคุมไว้ ก็ไม่มีกองกำลังใดอีก

ผีป่าวิญญาณเลวเหล่านี้ก็ไม่มีสติปัญญา เพียงรู้จักแต่ล่าหาอาหารตามสัญชาตญาณ

สตรีกางร่มยิ่งคิดยิ่งปวดใจ อยู่ในจัตุรัสตัวคนเดียว รอบๆ เป็นสิ่งที่สติไม่สมประกอบหรือไม่ก็ไม่มีสติปัญญาอยู่แล้ว

นึกถึงภาพตอนที่ผู้คุมจัตุรัสยังอยู่ นางสะอึ้นไห้อย่างเจ็บปวดกว่าเดิม

หลังร่ำไห้อยู่พักหนึ่ง นางจึงค่อยๆ หยุดลง

‘ที่เมืองอินทรีคู่เสียหาย…หนักเกินไป จวนอู๋โยวจะต้อง…ส่งคนมา… ตรวจสอบ ลู่เซิ่งนั่น…ทำให้แผนการของพวกเราล้มเหลว…ต้อง… สังหารเขา!’

สตรีกางร่มมีความสงสัยมากมาย แต่ก็ทราบดีว่าก่อนที่ยอดฝีมือของจวนอู๋โยวซึ่งแข็งแกร่งกว่าจะมา จัตุรัสแดงในตอนนี้ สำหรับตระกูลซั่งหยางและตัวประหลาดในพรรควาฬแดง เป็นที่ที่ไร้การป้องกัน เกิดเรื่องที่นางทราบเบื้องหลังของลู่เซิ่งหลุดออกไป อาจไม่ต้องรอให้จวนอู๋โยวมาถึง นางก็ถูกกำจัดไปแล้ว

‘ตัวประหลาดนั่น…ซ่อนความสามารถไว้ล้ำลึกนัก… ต้องมีแผนการแน่!’ สตรีกางร่มคู้ตัวอยู่ข้างบ่อ มองดูบ่อโบราณอย่างสับสน

ตอนนี้นางได้แต่รอ รอยอดฝีมือจากจวนอู๋โยวมาถึง

เมืองเลียบคีรี คฤหาสน์ลู่

ลู่เซิ่งนั่งบนตำแหน่งประธาน ด้านข้างเป็นลู่เฉวียนอันกับญาติมิตรในครอบครัว

งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพราะลู่อันผิง ลุงใหญ่ย้ายจากเมืองเก้าประสานมาเมืองเลียบคีรีสำเร็จ ลุงใหญ่นั่งบนตำแหน่งประธานเคียงกัน ยิ้มกว้างขณะคารวะตอบ จากจอกสุราที่ส่งมาจากรอบๆ ตลอดเวลา

ลู่เซิ่งนั่งถัดจากบิดาลู่เฉวียนอัน กับลุงใหญ่ลู่อันผิงบนโต๊ะหลัก

จนถึงตอนนี้ สถานะและตำแหน่งของเขาค่อยๆ เล่าลือไปทั่วบ้าน ลู่เฉวียนอันแม้ไม่รู้จักระดับสูงของพรรควาฬแดง แต่ก็ต้านทานการประจบของคนในสังกัดลู่เซิ่งไม่ไหว

ไปๆ มาๆ เขาก็ค่อยๆ ทราบว่าบุตรของตัวเองตอนนี้มีสถานะเป็นเช่นไร

บุคคลระดับสูงของพรรควาฬแดง

ไฟตะเกียงส่องสว่างห้องโถง หญิงรับใช้ ข้ารับใช้ส่งอาหารมาหลายจานดั่งสายน้ำ

บนโต๊ะหลัก นอกจากตำแหน่งของลู่เฉวียนอันกับลู่อันผิง ก็เป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางน้อยใหญ่ของเมืองเลียบคีรี ทั้งหมดเป็นขุนนางระดับสูงที่คอยดูแลร้านค้าของตระกูลลู่ ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงสุราโดยเฉพาะ

เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่ขุนนางเหล่านี้มองมายังลู่เซิ่งตลอดเวลา

แสดงความกระวนกระวาย และตกตะลึงพรึงเพริด

ถ้าไม่ใช่ลู่อันผิงคารวะสุราพวกเขา บรรยากาศบนโต๊ะเกรงว่าจะประดักประเดิดมาก

ลู่เซิ่งประคองจอกสุรา ดื่มน้ำชาช้าๆ ถือจอกสุราเติมน้ำชา เป็นเรื่องที่เขาทำได้

หลังอาการบาดเจ็บหายดี เขาก็ไม่ได้ยกระดับต่อทันที เพียงสงบใจ ทุกๆ วันโคจรและเสริมความมั่นคงหยิน หยางในร่าง

ก่อนหน้านี้ระเบิดปราณเหลวไปหยดหนึ่งในเมืองอินทรีคู่ เอ็นกระดูกเสียหายไปเล็กน้อย ต้องพักฟื้น

พอดีที่ครอบครัวส่งข่าวมาว่า จะจัดงานเลี้ยงย้ายบ้าน เพื่อฉลองให้ลุงใหญ่ที่ย้ายมารับตำแหน่ง

เขาไม่ได้เจอลู่อันผิงมานาน จึงกลับมาร่วมงานฉลอง

เพียงแต่เขากลับมาอย่างกะทันหัน ทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงพิกลอยู่บ้าง

“จริงสิ อิงอิงเล่า” ลู่เซิ่งพลันกวาดตามอง ไม่พบลู่อิงอิงที่ตั้งท้อง

พอพูดถึงลู่อิงอิง สีหน้าของลู่เฉวียนอันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ไม่ได้ตอบ

ลุงใหญ่มองน้องชาย กล่าวด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน “อยู่ที่ลานหลัง”

ลู่เซิ่งมองดูก็รู้ว่ามีปัญหา ไม่ถามมากความ เขาอึดอัดกับบรรยากาศกระอักกระอ่วนพิลึกพิลั่นในตอนนี้พอดี จึงลุกขึ้น “ข้าจะไปดู”

อย่างไรก็เป็นหญิงสาวตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะทำเรื่องไม่ดีอันใด เด็กในท้องก็ไม่ได้ทำผิด

“พี่เซิ่ง อีอีอยู่กับนางที่ด้านหลัง” ลู่หงอิงบุตรของลุงใหญ่ส่งเสียงเบาๆ ที่โต๊ะด้านข้าง

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม

“บัณฑิตคนนั้นแต่งภรรยาหลวง…” ลู่อันผิงเอ่ยเบาๆ

ลู่เซิ่งงุนงง

บัณฑิตผู้นั้นแต่งภรรยาหลวง หมายความว่า ลู่อิงอิงได้แต่เป็นอนุแล้ว

ไม่ว่าลู่อิงอิงคิดอะไร ยอมเป็นอนุหรือไม่ก็ตาม

น้องสาวของเขาลู่เซิ่งเป็นอนุให้คนอื่น ถ้าเล่าลือออกไป คนอื่นๆ จะมองตระกูลลู่ของเขาอย่างไร?! น้องสาวของประมุขพรรควาฬแดงที่น่าเกรงขามเช่นเขา ถูกคนทำให้ท้อง ยังต้องเป็นอนุคนอื่นอีกหรือ

“บัดซบ!”

เปรี้ยง!

เขาตบฝ่ามือใส่โต๊ะ โถงหลักสั่นสะเทือนดังครึ่กๆ โต๊ะเป็นรอยนิ้วห้านิ้วที่ชัดเจน

โถงหลักงานเลี้ยงที่เมื่อครู่คึกครื้น ถูกฝ่ามือนี้ของลุกเซิ่งหยุดยั้งลง ทุกคนเงียบกริบ

ลู่เซิ่งรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อหนั่นแน่น ศีรษะมีผมสั้นๆ งอกออกมาแล้ว แต่ยังคงมีใบหน้าเหี้ยมเกรียม ดวงตาดุจใบมีด ไม่มีคนกล้าสบตาตรงๆ

ตอนนี้โมโห โถงหลักเงียบสงัด เจ้าหน้าที่ขุนนางหลายคนที่มาตกใจแทบตาย ขาสั่นกึกๆ นั่งหน้าซีดบนเก้าอี้ สั่นเทาทั้งตัว

ผู้เยาว์ในบ้าน สตรีตั้งแต่บ้านหลักไปถึงบ้านสองบ้านสาม ต่างตัวสั่นระริก ไม่กล้าระบายลมหายใจแรงๆ

ลู่เฉวียนอันสีหน้าดูไม่ดี แต่ก็ไม่พูด กลับเป็นลุงใหญ่ลู่อันผิงลุกขึ้นตบไหล่ลู่เซิ่ง

“เสี่ยวเซิ่ง เรื่องนี้ข้ากับบิดาเจ้าก็โมโหแทบตายเหมือนกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ บ้านบัณฑิตคนนั้นมีอำนาจไม่น้อย…”

“ให้ข้าจัดการเอง” ลู่เซิ่งยิ้มดุดันอย่างเคยชิน “อีกเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง อยากเห็นนักว่าบ้านไหนกล้าไม่ไว้หน้าข้า”

“เสี่ยวเซิ่ง นี่เป็นงานเลี้ยงของลุงใหญ่เจ้า…” มารดารองหลิวชุยอวี้ที่อยู่บนที่นั่งอีกด้านหนึ่งลุกขึ้นตำหนิ

ลู่เซิ่งค่อยรู้สึกตัว ขอโทษลุงใหญ่ ถูกต้องแล้ว เขามีบารมีมากเกินไป กลับกลายเป็นรื้อเวทีลุงใหญ่ ข่มเจ้าของงานไปแล้ว

“ไม่เป็นไรๆ เป็นครอบครัวเดียวกัน” ลุงใหญ่โบกมือพลางยิ้มหนักใจ “เสี่ยวเซิ่งถ้าเจ้ามีเวลา อีกเดี๋ยวยังมีงานเลี้ยงสุรา ไปอยู่กับลูกหลานในบ้านก็ได้ น้องชายน้องสาวเหล่านี้วันหน้าต้องให้เจ้าช่วยเหลือประคับประคอง”

“นี่ไม่มีปัญหา!” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ข้าจะไปดูอิงอิงกับอีอีก่อน” เขาลุกจากที่นั่ง

“ข้าไปด้วย!” จางซิ่วซิ่วที่อยู่ข้างลู่เทียนหยางพลันลุกขึ้น รีบติดตามไป

นอกจากนี้ยังมีผู้เยาว์อีกหลายคนลุกขึ้น ติดตามลู่เซิ่งลุกออกจากที่นั่งไปพร้อมกัน

ลู่เซิ่งในปัจจุบันเป็นเสาหลักตระกูลลู่ ย่อมมีคนไม่น้อยคิดแอบอิง

คนแก่ๆ เข้าใกล้ลู่เฉวียนอัน ด้วยลำดับศักดิ์ของพวกเขา ไปเอาใจลู่เซิ่งย่อมไม่เหมาะสม แต่ว่าการสนิทสนมกับลู่เฉวียนอันย่อมไม่มีคนว่า เด็กย่อมเคารพผู้ใหญ่

……………………………………….