แม่เจียงเฝ้าสังเกตอยู่หลายวันทว่าหาได้พบผู้ต้องสงสัยไม่ จึงทำได้เพียงเรียกผู้ดูแลของจวนและหัวหน้าสาวใช้ผู้อาวุโสมารวมตัวกันอบรม โดยกล่าวว่าปัจจุบันนี้คุณชายรองได้เลื่อนขั้นขุนนางแล้ว ตระกูลหลี่จึงเป็นที่จับตามองและกลายเป็นที่ดึงดูดคำวิจารณ์ให้ถูกโจมตีมากยิ่งขึ้น ทุกคนจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เคารพกฎระเบียบเข้าไว้ โดยเฉพาะการพูดคุยเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นนาย หากพบผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษสถานหนัก
ภายในบ้านเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย นางฮานจึงเป็นกังวลว่าภายนอกอาจมีข่าวลือในทางที่ไม่ดีแพร่งพรายออกไป ทว่านางก็ไม่อาจสืบถามไปทั่วได้เช่นกัน เรื่องนี้ไม่ต่างจากหนามที่คอยทิ่มแทงหัวใจของนางจนไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ และที่ทำให้นางอึดอัดใจยิ่งไปกว่านั้นคือ หมิงอวินเพิ่งเลื่อนขั้น หลินหลันก็ได้รับป้ายร้านพระราชทาน สถานะของทั้งสองในตระกูลหลี่มีแต่เลื่อนสูงขึ้น เมื่อใดที่ผู้เป็นสามีนางเอ่ยปากตำหนิหมิงเจ๋อก็จะเอ่ยว่า…เจ้าหัดมองดูหมิงอวินเสียบ้าง…เหตุใดเจ้าถึงมิเรียนรู้อย่างหมิงอวินเสียบ้าง…
วันมะรืนจะเริ่มสอบแล้ว นางฮานจึงเรียกหมิงเจ๋อมาเป็นการเฉพาะ นางให้ทุกคนออกไปจนหมดแล้วเอ่ยถามหมิงเจ๋อ “การสอบครานี้ ในใจเจ้ามีความมั่นใจเพียงใด”
หมิงเจ๋อถูกบิดาตำหนิอย่างหนักหน่วงในช่วงนี้ ตำหนิเสียจนเสมือนลูกหลานเลวๆ คนหนึ่ง นับวันยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจนถึงขีดสุด “เรื่องนี้….คือว่า…”
นางฮานกล่าวด้วยความรำคาญ “มัวอ้ำๆ อึ้งๆ อันใดอยู่ สรุปแล้วเจ้ามีความมั่นใจเพียงใดกันแน่”
“เดิมทีลูกมีความมั่นใจเจ็ดแปดส่วน ทว่าท่านพ่อ…” หมิงอวินบ่นอุบอิบด้วยเสียงบางเบา
“ข้ามิอาจทนดูเจ้าในสภาพตกต่ำเช่นนี้ได้ มิน่าล่ะท่านพ่อเจ้าถึงตำหนิ ภรรยาเจ้าถึงดูถูกเจ้าเช่นกัน เหตุใดเจ้าถึงมิรู้จักขยันขันแข็งทำให้ได้เรื่องได้ราวเสียหน่อย ตำราที่นั่งอ่านอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน อ่านแล้วเอาไปเก็บไว้ในท้องหมาแล้วหรือ” นางฮานอดเดือดดาลมิได้ จึงกล่าวตำหนิด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลก็พูดกับเจ้าไปหมดแล้ว เจ้ามิเคยจำใส่ใจแม้แต่ประโยคเดียวเช่นนั้นหรือ หลายวันก่อนยังเห็นเจ้ามีความตื่นตัว พอวันนี้กลับแย่ลงๆ ไหนเจ้าลองพูดมาสิ สรุปแล้วเจ้าคิดอย่างไรกันแน่ ยังอยากโดดเด่นมีหน้ามีตาอีกหรือไม่”
หมิงเจ๋อก้มหน้าก้มตา “ท่านแม่ เหตุใดลูกถึงมิอยากล่ะขอรับ ลูกเองก็ทำสุดความสามารถแล้ว ทว่า…งานอยู่ที่คน ผลสำเร็จของงานอยู่ที่ฟ้า มันคงเป็นดั่งคำกล่าวประเภทนี้ ลูกจึง…มิกล้าเอ่ยขอรับ”
นางฮานโกรธเกรี้ยวจนรู้สึกปวดศีรษะ นางจับหน้าผากพลางคร่ำครวญ “เหตุใดข้าจึงให้กำเนิดผู้ซึ่งไร้ประโยชน์อย่างเจ้านะ…ช่างเถอะๆ เอาเป็นว่าเจ้าช่วยทำให้เต็มที่หน่อยแล้วกัน ตั้งใจทำข้อสอบ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วกัน!”
นางฮานโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรงทันทีที่พูดจบด้วยขี้เกียจจะมองหน้าเขาอีกต่อไป หมิงเจ๋อรู้สึกโล่งอก เขาคารวะให้นางแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
นางฮานถอนหายใจเฮือกยาว พอได้เอ่ยปากถามกลับกลายเป็นการสร้างความกังวลใจหนักขึ้นไปอีก ไม่ถามยังจะดีเสียกว่า บุตรชายของตนมิได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย! นางเยี่ยเสียชีวิตไปแล้วแท้ๆ ทว่ายังทอดทิ้งมหันตภัยร้ายนี้ไว้ให้ เหตุใดหมิงอวินถึงไม่เหมือนกับนางเยี่ยเลยนะ! นางจิตใจบอบบางเสียยิ่งกระไรดี! เพียงแค่บอกกล่าวนางเยี่ยว่าเหตุใดผู้เป็นสามีถึงไม่อยู่บ้านในวันที่นางให้กำเนิดหมิงอวิน และหลายปีที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่ผู้เป็นสามีออกไปทำงานนอกพื้นที่ล้วนเป็นการไปเยี่ยมเยียนนาง ตามจริงคนที่ท่านพี่รักจริงๆ คือนาง…นางฮาน ทว่าที่แต่งงานกับนางก็เพียงแค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติของนางเท่านั้นเอง…ผลปรากฏว่านางเยี่ยโกรธเกรี้ยวจนออกจากบ้านไป นางเยี่ยเห็นความรักเหนือกว่าทุกสิ่งใด เมื่อนางจับจุดอ่อนนี้ได้จึงโจมตีทันที
เป็นเรื่องง่ายดายในการต่อกรกับนางเยี่ย ง่ายเสียจนเกินกว่าที่คาดคิดไว้ด้วยซ้ำ ทว่าหมิงอวินกลับไม่ต่างจากกระดูกที่ยากจะแทะเล็ม ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้ และยังเต็มไปด้วยทิฐิอันสูงล้ำ จึงมิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต่อกรด้วย เฮ้อ…น่าอนาถใจเสียจริง
หลี่หมิงอวินไปหาบิดาที่ห้องหนังสือหลังรับประทานอาหารค่ำในทุกๆ วัน จนเหมือนเขาได้กลายเป็นมือขวาของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย
“ท่านพ่อ เรื่องของพี่ใหญ่ มิจำต้องพึ่งพาคนวงในจริงๆ หรือขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวหยั่งเชิง
หลี่จิ้งเสียนพับเอกสารแล้ววางลงก่อนกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “กระทั่งการสอบหมิงจิ้งยังต้องไปพึ่งพาผู้อื่น มิขายหน้าแย่หรือ”
หมิงอวินยิ้มเยาะภายในใจ กลัวขายหน้า แต่กลับเผยสีหน้ากลัดกลุ้มบนใบหน้าเสียขนาดนี้ “ทว่ามองดูแล้วพี่ใหญ่เหมือนไม่มีความมั่นใจในตนเองเลยนะขอรับ หากสอบมิผ่านขึ้นมาจริงๆ …ท่านพ่อมิเป็นอันขายหน้าเข้าไปใหญ่หรือขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนขมวดคิ้ว ก็จริงอย่างที่ว่า สอบไม่ผ่านยิ่งขายหน้าหนักเข้าไปอีก ทันใดนั้นจึงรู้สึกปวดสมองคิดไม่ตก
“หรือไม่…ลูกไปขอร้องท่านเผย โดยกล่าวว่านี่เป็นเจตนารมณ์ของลูกเองขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างใส่ใจ
หลี่จิ้งเสียนมองไปยังหมิงอวินแล้วทอดถอนลมหายใจเฮือกยาว “หมิงอวินเอ๋ย! เจ้ามีน้ำใจปานนี้ พ่อซาบซึ้งใจยิ่งนัก แม่เลี้ยงเจ้าควรรู้สึกละอายแก่ใจบ้างจริงๆ”
หมิงอวินกล่าวถ่อมตน “ในใจของลูก ทุกคนล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน สิ่งที่พอช่วยเหลือได้ก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มิว่าเป็นผู้ใดขอรับ” พูดดีเข้าไว้ก่อนก็เป็นพอ ส่วนทางด้านท่านเผยนั้น เขาจะบอกกล่าวหรือไม่ใครจะรู้
“เช่นนั้น เรื่องนี้ก็ลำบากเจ้าหน่อยแล้วกัน ช่วยไปทักทายให้พี่ชายเจ้าหน่อย พ่อมองดูเขามิค่อยได้เรื่องเอาเสียเลย” หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างใจเย็น
“ขอรับ…” หมิงอวินขานรับอย่างนอบน้อม
อาจินเข้ามากล่าวรายงาน “นายท่านขอรับ เจี่ยนชิวมาขอรับ” ภายใต้คำกล่าวนี้หมายถึงอนุภรรยาหลิวกำลังรอคอยอย่างใจจดจ่อ
หลี่จิ้งเสียนส่งเสียง ‘อืม’ คิ้วของเขาค่อยๆ คลายออกตามด้วยใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา หลายวันมานี้มีหมิงอวินช่วยเหลือ เขาจึงปลีกไปหาอนุภรรยาหลิวได้แต่หัววัน เมื่อนึกถึงเรือนร่างอวบอิ่มและผิวพรรณนุ่มนวลของอนุภรรยาหลิว ภายในใจของเขาก็เริ่มร้อนรุ่มขึ้นมาจนนั่งไม่ติด
หลี่หมิงอวินยังคงเผยสีหน้าปกติ ระหว่างนั้นถือโอกาสที่พวกเขาไม่ทันระวังเทผงสีขาวลงไปในถ้วยน้ำชาของบิดาแล้วหยิบกาน้ำชารินน้ำจนเต็ม ก่อนจะรินใส่ถ้วยของตนเองด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นจึงจงใจทำมือสั่นจนหกเลอะบนเรือนร่างของตน
“ไอ้หยา…”
หลี่จิ้งเสียนหันกลับมามอง ปรากฏว่าบนเรือนร่างของหมิงอวินเปียกชื้นเป็นวงกว้างจึงรีบกล่าวถามไถ่ “ร้อนหรือไม่”
หมิงอวินสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “มิเท่าไหร่ขอรับ เป็นลูกเองที่ไม่ทันระวัง”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความห่วงใย “เจ้ารีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
หมิงอวินมองดูคราบน้ำบนตำแหน่งหน้าท้องของตนเองแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ลูกรบกวนขอยืมชุดท่านพ่อสักชุดเพื่อสวมทับนะขอรับ มิเช่นนั้น คงดูไม่สง่างามอย่างยิ่งหากต้องเดินออกไปทั้งสภาพเช่นนี้”
หลี่จิ้งเสียนรีบเรียกอาจินให้หยิบชุดสำรองในห้องหนังสือมาให้ หลี่หมิงอวินเดินเข้าไปด้านหลังเพื่อสวมใส่ชุดของบิดาทับชุดของตนเองแล้วจึงเดินออกมา หลี่จิ้งเสียนมองดูบุตรชายที่อยู่ในชุดของตนเอง ลักษณะนั้น อากัปกิริยานั้นเสมือนตนเองในวัยหนุ่มไม่ผิดเพี้ยน ภายในใจจึงยิ่งรักและเอ็นดูมากขึ้น
หลี่หมิงอวินมองไปยังเอกสารบนโต๊ะที่ยังไม่ได้จัดการให้เสร็จสิ้นจึงกล่าวขึ้น “ให้ลูกนำเอกสารเหล่านี้กลับไปอ่านก็ได้นะขอรับ ท่านพ่อจะได้พักผ่อนแต่หัววันหน่อย”
หลี่จิ้งเสียนครุ่นคิดชั่วครู่ “ก็ดีเหมือนกัน สองสามฉบับนี่เร่งด่วน เดี๋ยวพ่อจัดการเอง ส่วนที่เหลือเจ้านำกลับไปอ่านดูแล้วกัน ทว่ามิต้องอ่านจนดึกดื่นล่ะ ยังมีเวลาอีกสองวัน มิได้เร่งด่วนมากนัก”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปหยิบเอกสาร แต่กลับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่พร้อมเสียง‘ซี๊ด’ปาก ขณะนั้นเอง หลี่จิ้งเสียนถึงพบว่ามือของหมิงอวินถูกน้ำร้อนลวกจนแดงเถือก จึงกล่าว “หรือไม่ วันนี้ก็พักผ่อนเสีย รีบกลับไปให้หลินหลันช่วยดูมือให้ก่อนเถิด”
“มิเป็นไรๆ ขอรับ เอกสารเหล่านี้ให้อาจินช่วยหอบไปให้ก็ได้ขอรับ ลูกกลับไปทายาเดียวก็หายดีแล้วขอรับ”
ภายนอกห้องหนังสือ อาเซียงซึ่งแอบอยู่หลังเสาในระยะไกลออกไป มองเห็นนายท่านเดินออกมาจากห้องหนังสือโดยมีอาจินหอบเอกสารเดินตามหลัง นางจึงรีบวิ่งกลับไปรายงาน
“เสียวเจี่ยะ เหล่าเหยียเดินไปแล้วเจ้าค่ะ”
หมิงจูกล่าวอย่างดีอกดีใจ “มองเห็นแน่ชัดแล้วนะ?”
อาเซียงพยักหน้าอย่างแรง “มองเห็นแน่ชัดเจ้าค่ะ อาจินยังเดินตามหลังอยู่เลยเจ้าค่ะ! เจี่ยนชิวคนข้างกายหลิวอี๋เหนียงมาเร่งเร้า สักพักหนึ่งเหล่าเหยียก็เดินออกมาเจ้าค่ะ”
หมิงจูกอบกุมความมั่นใจเต็มเปี่ยม ยอดเยี่ยมไปเลย นางจับตามองมาเป็นเวลาหลายวัน ในทุกๆ วันท่านพ่อจะออกจากห้องหนังสือไปจึงเหลือพี่รองอยู่ภายในห้องตามลำพัง วันนี้ท่านพ่อออกไปเร็วกว่าทุกครั้งเล็กน้อย เช่นนี้อวี๋เหลียนก็จะมีเวลาเพิ่มมากขึ้น
อวี๋เหลียนซึ่งอยู่ข้างๆ กล่าวอย่างลังเลใจ “เช่นนี้…มิเหมาะกระมัง!”
หมิงจูกล่าวภายใต้สีหน้าจริงจัง “มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้าจะกลับลำมิได้นะ นี่เป็นโอกาสดีที่หาได้ยากยิ่ง หากพลาดไปแล้วเจ้าจะต้องเสียดายไปชั่วชีวิต”
หลายวันมานี้หมิงจูคอยเกลี้ยกล่อมความนึกคิดของอวี๋เหลียนอยู่ตลอดเวลา ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง พูดปากเปียกปากแฉะ ไม่ง่ายเลยกว่าจะยุยงอวี๋เหลียนขึ้นมาได้ เบื้องหน้ามองเห็นความสำเร็จแล้วแท้ๆ แล้วอวี๋เหลียนจะล่าถอยง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
“พวกเราตกลงกันไว้ดิบดีแล้วนี่ ก็แค่พูดไปว่าท่านแม่ข้าให้นำชาโสมมาให้เหล่าเหยีย พอเจ้าเข้าไปก็ทำเพียงแค่ปัดมือไปถูกถ้วยน้ำชาพลิกคว่ำ แล้วข้าจะพาคนบุกตามหลังเข้าไป อวี๋เหลียน เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้วว่าด้วยภูมิหลังของเจ้า ได้เป็นอนุภรรยาของพี่รองหาใช่เรื่องง่ายดายไม่ คนที่บ้านเจ้าล้วนรู้ดีว่าจุดประสงค์ที่เจ้ามาเมืองหลวงคืออันใด หรือเจ้าอยากกลับไปมือเปล่า เช่นนั้นวันหน้าวันหลังจะเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านนี้ได้อย่างไรหรือ คงได้ถูกคนเขาหัวเราะเยาะแย่” หมิงจูกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
อวี๋เหลียนกัดริมฝีปากภายใต้สีหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวสั่นระริก คำพูดของหมิงจูเป็นเสมือนคมมีดทิ่มแทงให้นางรู้สึกเจ็บปวด ทิ่มแทงจนนางถึงกับเลือดไหลซิบ นางรู้ดีว่าตนเองมีสถานะต่ำต้อย การได้เป็นอนุภรรยาของคุณชายรองจึงเป็นหนทางที่จะยกระดับนางขึ้นมาได้ มิใช่นางไม่พึงพอใจ เพียงแต่นางไม่กล้าพอ! เกิดคุณชายรองชักสีหน้าใส่แล้วจะทำอย่าง แล้วหลังจากนี้ทุกคนจะมองนางอย่างไร
หมิงจูกล่าวปลุกระดมอีกระลอก “เจ้ามิต้องรู้สึกกดดันอะไรทั้งสิ้น ถึงเวลาพวกเราจะพูดว่าเป็นเอ้อร์เส้าเหยียที่พยายามล่วงเกินเจ้า หาได้เป็นเจ้าเข้าไปอ่อยเอ้อร์เส้าเหยียไม่ ผู้ที่ขายหน้าจึงเป็นเขามิใช่เจ้า ต่อให้โกรธเกรี้ยวก็ไม่มีทางทำร้ายเจ้าไปได้หรอก อวี๋เหลียน เหลือเวลาไม่มากแล้ว อาเซียง นำชาโสมส่งให้อวี๋เสียวเจี่ยะไปเสีย”
อาเซียงถือถาดที่วางอยู่ยื่นไปเบื้องหน้าอวี๋เหลียน
“อวี๋เหลียน เมื่อค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไป เจ้าก็จะได้เป็นอวี๋อี๋เหนียงแห่งตระกูลหลี่ เอ้อร์เส้าเหยียจิตใจดีมีเมตตาจึงไม่มีทางปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมแน่นอน สำหรับเขาแล้ว เจ้าก็คือความผิดพลาด ความผิดพลาดอันงดงาม…” หมิงจูยุยงพลางจับมืออวี๋เหลียนบังคับให้นางรับถาดชาโสมเอาไปเสีย
มือของอวี๋เหลียนสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อนจนฝาถ้วยน้ำชาและถาดกระทบกันเกิดเป็นเสียง
หมิงจูผลักอวี๋เหลียนให้เดินไปเบื้องหน้า “รีบไปสิ! ข้าจะคอยฟังอยู่ด้านนอกนี่ อีกเดี๋ยวพอถ้วยน้ำชาหล่นแตก ข้าก็จะพาคนมุ่งเข้าไปด้านในทันที”
อวี๋เหลียนลังเลใจคิดไม่ตก เดินไปสองฝีก้าวก็หันกลับมามองอีกครั้ง เมื่อหันกลับมามองก็เห็นหมิงจูถลึงตาใส่นางพร้อมโบกมือไล่ นางจึงกลั้นใจฮึดสู้เดินก้าวต่อไปอีกสองฝีก้าว
หมิงจูเริ่มหงุดหงิด “นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่แท้ๆ หากเจ้าไม่สำนึก ข้าจะมิสนใจเจ้าอีกแล้ว”
อวี๋เหลียนกัดฟันแน่น พยายามบอกตนเองให้กล้าๆ เข้าไว้ ก็แค่ส่งมอบชาโสมถ้วยเดียวเท่านั้นเอง ขอเพียงนางนำน้ำชาส่งเข้าไปก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว
นางเอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่นเขา โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจถูกผู้อื่นจ้องคิดบัญชีกลับคืนอยู่เช่นกัน หมิงจูและอวี๋เหลียนหารู้ไม่ว่าการกระทำของพวกนางล้วนอยู่ในสายตาผู้อื่นแต่แรกแล้ว
แม่โจวดีใจยกใหญ่หลังได้ยินคำบอกกล่าวของตงจึ รออยู่หลายวัน ในที่สุดก็ลงมือเสียที
“รีบกลับไปรายงานเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ละครสนุกๆ กำลังจะเริ่มแล้ว”
อวิ๋นอิงวิ่งกลับไปอย่างรื่นเริงใจ
“ตงจึ เจ้าไปจับตามองไว้อีกที จะให้พลาดละครสนุกๆ ฉากนี้ไปมิได้ เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายคงรอฟังละครสนุกๆ อยู่!”
ภายในห้องหนังสือ หลี่จิ้งเสียนดื่มชาเข้าไปสามถ้วยก็แล้ว ทว่ายังคงรู้สึกกระหาย นอกจากนั้นยังรู้สึกร้อนรุ่มเล็กน้อย เขาปลดเสื้อผ้าให้หลวมพลางบ่นอุบ “ประหลาดเสียจริง นี่เพิ่งเดือนสามแท้ๆ เหตุใดถึงร้อนอบอ้าวเพียงนี้เสียแล้ว”
อีกทั้งภายในสมองยามนี้กลับเต็มไปด้วยเรือนร่างขาวเนียนละเอียดของหลิวอี๋เหนียงล่องลอยเต็มไปหมด ร่างกายเขายิ่งร้อนรุ่มขึ้นมาหนักกว่าเดิม เอาไว้ก่อนแล้วกัน เอกสารเหล่านี้นำติดตัวไปจัดการน่าจะดีกว่า อ่านเอกสารงานพวกนี้ไปพลางดื่มด่ำไออุ่นกลิ่นหอมก็เป็นอะไรที่เพลิดเพลินดีเหมือนกัน เพียงแต่เหตุใดอาจินถึงยังมิกลับมาอีก หรือว่าไปขอรางวัลกับทางด้านนางฮานอีกแล้ว อาจินผู้นี้ คงต้องมีสักวันที่เขาจะจัดการให้เข็ดหลาบ
หลี่จิ้งเสียนเก็บสัมภาระอย่างเร่งรีบแล้วลุกขึ้นเตรียมไปหาอนุภรรยาหลิว เขาเดินด้วยความเร่งรีบก่อนจะชนใครคนหนึ่งเข้าที่บริเวณปากทางประตู