ตอนที่ 166 ละครสนุกเป็นเช่นนี้นี่เอง

ปฏิญญาค่าแค้น

ด้วยสายตาและมือไม้อันฉับไวของหลี่จิ้งเสียน จึงยื่นมือออกไปคว้าถ้วยน้ำชาที่พลิกคว่ำได้ทันการณ์ ขณะที่ต้องการตำหนิผู้ซึ่งบุ่มบ่ามเข้ามา กลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ล่องลอยมาเตะจมูกจนดำดิ่งสู่ก้นบึ้งหัวใจ เสมือนขนนกบางเบาพัดผ่าน ส่งผลให้หัวใจดวงโตเต้นระรัวขึ้นมาชั่วทันทีทันใด เมื่อจ้องมองกลับพบว่าเป็นอวี๋เหลียนนั่นเอง ลักษณะท่าทีตื่นตระหนกนั่นราวกับลูกกวางที่กำลังตื่นกลัวทำให้คนอดนึกสงสารมิได้

“เจ้า มาทำไมหรือ” ยามที่หลี่จิ้งเสียนกล่าวถามเช่นนี้ ตามจริงสิ่งที่ครุ่นคิดอยู่ในใจกลับมิได้เกี่ยวกับคำถามดังกล่าวเลย หากแต่เป็น…การจินตนาการถึงอวี๋เหลียนในความทรงจำที่เป็นเพียงแม่นางตัวน้อยผอมแห้งและดำคล้ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไม่เคยสังเกตอย่างจดจ่อ เมื่อพบเห็นในวันนี้กลับเผยความเปล่งปลั่งขึ้นมาอย่างเด่นชัด ทั้งยังดูงดงามอ่อนหวาน

อวี๋เหลียนตื่นตกใจจนขาแข่งอ่อนปวกเปียกด้วยคาดไม่ถึงว่าผู้ที่อยู่ในห้องหนังสือคือนายท่าน เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ภายในสมองของอวี๋เหลียนเต็มไปด้วยความเวิ้งว้าง นางก้มหน้าลงด้วยความอับอายและกล่าวเสียงสั่นคลอน “ท่าน…ท่านอา…”

หลี่จิ้งเสียนมองดูถ้วยน้ำชาในมือซึ่งยังคงหลงเหลือกลิ่นโสมอ่อนๆ จึงกล่าวด้วยท่าทีอ่อนโยน “เจ้านำชาโสมมาให้ข้าหรือ”

อวี๋เหลียนพยักหน้าตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ส่ายหน้าพัลวัน นางไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร ด้วยความตื่นตระหนกจนอยากหนีไปให้เร็วไว จึงก้าวถอยหลังไปโดยลืมไปว่าบริเวณประตูด้านหลังมีธรณีประตูอยู่ เมื่อเสียหลักทรงตัวคนทั้งคนจึงหงายหลังเอนออกไป

อวี๋เหลียนคิดว่าครั้งนี้คงได้อับอายขายหน้าไม่เหลือชิ้นดีแล้ว กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีท่อนแขนคู่หนึ่งออกแรงดึงรั้งนางกลับมาส่งผลให้ทั้งเรือนร่างของนางโน้มเข้าไปซบในอ้อมอกของอาเขยอย่างแรง

ทั้งหอมทั้งอ่อนนุ่ม ภายในใจของหลี่จิ้งเสียนจึงเกิดความเร่าร้อนและรู้สึกแห้งผากในลำคอ ร่างกายรุ่มร้อนราวกับมีเพลิงเผาไหม้ทำให้รู้สึกแย่ยิ่งนัก เขาปรารถนาที่จะหาใครสักคนมาช่วยปลดปล่อยเพลิงอันรุนแรงนี้ เขาก้มหน้าลง เมื่อสบดวงตาเข้ากับผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดซึ่งกำลังฉายแววตาตื่นตระหนก เขาไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกได้อีกต่อไปจึงประทับจูบลงไปอย่างเหนือความคาดหมาย

อวี๋เหลียนแทบเป็นลมล้มพับ ท่านอาจูบนางได้ด้วยหรือ กลีบปากร้อนและลมหายใจอันร้อนผ่าวนั่น ในที่สุดก็ทำให้อวี๋เหลียนตระหนักได้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมและอันตรายเพียงใด หากหมิงจูบุกเข้ามาเช่นนั้นคงเป็นอันจบเห่แน่ อวี๋เหลียนจึงออกแรงขัดขืนอย่างเต็มกำลัง “ท่านอา ท่านทำเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ…”

หลี่จิ้งเสียนหน้ามืดตามัวอย่างถึงที่สุดไม่แพ้กัน ณ ยามนี้ วินาทีนี้ เขาต้องการเพียงใครสักคน ทว่าในอ้อมกอดเขาก็มีเพียงคนผู้นี้ผู้เดียว เขาคิดเพียงว่าอยากจับคนผู้นี้ตราตรึงไว้ใต้ร่างของเขาแล้วนำความรุ่มร้อนทั้งหมดถาโถมเข้าไปในเรือนร่างของนางอย่างหนักหน่วง…เขาหาได้สนใจการขัดขืนของอวี๋เหลียนไม่ ทันใดนั้นนางก็ถูกโอบอุ้มขึ้นแล้วพาเดินเข้าไปในส่วนห้องนอนของห้องหนังสือแห่งนี้อย่างรวดเร็ว

อวี๋เหลียนสติกระเจิดกระเจิงอย่างแท้จริง นางร้องไห้อ้อนวอน “ท่านอา อย่าทำเช่นนี้เลย ทำเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ…”

น่าเสียดายที่วินาทีนี้หลี่จิ้งเสียนไม่มีสติสัมปชัญญะให้นึกคิดหลักเหตุผลและความเหมาะสมเสียแล้ว

หมิงจูให้อาเซียงไปเรียนเชิญพี่ใหญ่ของนางเพื่อให้พวกเขามาร่วมชมละครสนุกๆ นอกจากนั้นยังพาข้ารับใช้และหญิงชราจำนวนหนึ่งมายืนคอยอยู่ด้านนอกระหว่างการเฝ้ารออวี๋เหลียนทำถ้วยน้ำชาหล่นแตก

น่าประหลาดยิ่งนัก อวี๋เหลียนเข้าไปพักใหญ่แล้วทว่ายังไม่ทำถ้วยน้ำชาหล่นอีก หรือว่าคุยกันถูกคอกับพี่รองเสียแล้ว

นางฮานเดินมาอย่างเร่งรีบทันทีที่ได้รับข่าวคราว เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังอยู่ด้านนอกห้องหนังสือของผู้เป็นสามีจึงอดขมวดคิ้วมิได้ “หมิงจู นี่เจ้ากำลังทำอันใดหรือ”

หมิงจูรีบส่งเสียงชู่ว์ พร้อมกับชี้ไปยังห้องหนังสือ “ท่านป้า รออีกเดียวนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวเดียวก็เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

หมิงเจ๋อและติงหลั้วเหยียนตามมาติดๆ เช่นกัน นางฮานจึงกล่าวด้วยความหงุดหงิด “เจ้ามาทำไมหรือ เหตุใดมิตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือไป”

หมิงเจ๋อกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “เปี่ยวเหม่ยเรียกข้ามา เห็นกล่าวว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”

หลี่จิ้งเสียนจับนางกดลงบนเตียงนอนอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วกระชากเสื้อผ้าของอวี๋เหลียนอย่างบ้าคลั่ง อวี๋เหลียนพยายามดีดดิ้นทว่าไม่เป็นผลแต่อย่างใด จะร้องโวยวายก็ไม่กล้า จึงทำได้เพียงร้องไห้อ้อนวอนด้วยเสียงแผ่วเบา ไม่ทันไรก็ถูกหลี่จิ้งเสียนลงมือ

อวี๋เหลียนรู้สึกเจ็บปวดบริเวณท่อนล่างเสมือนถูกฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือนางไม่มีสิทธิ์ขัดขืน ทันใดนั้นนางตัดสินใจเอื้อมมือออกไปปัดแจกันดอกไม้ที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงตัวเตี้ยร่วงหล่นลง

หมิงจูได้ยินเสียงสิ่งของร่วงแตกจึงกล่าวด้วยความดีใจ “ได้เวลาแล้ว รีบบุกเข้าไปเร็วเข้า” มือคู่น้อยโบกกวัก ทุกคนจึงพากันกรูเข้าไปด้านใน

แม่เจียงกล่าว “หรือว่าเอ้อร์เส้าเหยียกำลังทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงด้านในนั้นเจ้าคะ”

นางฮานดวงตาลุกวาวก่อนตัดสินใจเดินตามเข้าไป

หมิงเจ๋อและติงหลั้วเหยียนมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้วเดินตามเข้าไปเช่นกัน

หลี่จิ้งเสียนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มในขณะนี้ เมื่อได้ยินเสียงคนบุกเข้ามาจึงตะโกนออกไปอย่างดุดัน “นังทาสชั้นต่ำหน้าไหนอีก”

คนกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ในห้องหนังสือต่างตกตะลึง พร้อมใจมองไปยังฉากกันลมด้วยนัยน์ตาอึ้งทึ่ง

หมิงจูยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ นั่นเสียงของท่านพ่อ? ท่านพ่อไปแล้วมิใช่หรือ

หลังจากนั้นตามมาด้วยเสียงร้องไห้หงิงๆ ล่องลอยมาจากด้านใน

นางฮานเข้าใจได้ในทันที นางโกรธเกรี้ยวจนเกือบล้มทั้งยืน โชคดีที่แม่เจียงประคองไว้ทันการณ์พร้อมกล่าวเตือนสติด้วยเสียงกระซิบ “รีบสั่งให้คนพากันออกไปก่อนจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

ความเคียดแค้นภายในใจของนางฮานนั้นล้นหลามจนอยากพังฉากกันลมไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไอ้แก่ตัณหากลับไร้ยางอาย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางซึ่งเป็นนายหญิงบ้านนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก นางสูดลมหายใจเข้าลึกสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุภายในใจแล้วตะคอกเสียงต่ำ “ยังมิรีบออกไปกันให้หมดอีก”

บรรดาข้ารับใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ล้วนตื่นตระหนกจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เมื่อมีคำสั่งออกมา การรีบร้อนออกไปจากสถานที่นี้จึงเป็นการดีที่สุด แต่ละคนล้วนเหงื่อตกท่วมตัวเพราะวันนี้ดันรู้ความจริงที่ว่านายท่านใหญ่กำลังข่มขืนใครบางคน…

หมิงจูยังคงไม่กล้าเอื้อนเอ่ยใดๆ หรือว่าจะหูฝาดไปแล้ว หมิงเจ๋อฉุดกระชากนางเดินออกไปด้านนอกแล้วกล่าวตำหนิด้วยเสียงกระซิบ “ครั้งนี้เจ้าก่อหายนะอันใหญ่หลวงแล้ว”

หมิงจูโต้แย้งเสียงอ่อน “เดิมทีในนั้นควรเป็นพี่รอง…”

ติงหลั้วเหยียนรู้สึกผิดหวังที่ติดตามออกมาเผชิญเหตุการณ์น่าขยะแขยงนี้ สถานที่นี้ขืนอยู่ต่อแม้เพียงนาทีเดียวคงต้องรู้สึกสกปรกจนเกินเยียวยา “หมิงเจ๋อ ข้ากลับก่อนแล้วกัน”

หมิงเจ๋อสั่งการหงซาง “ประคองนายหญิงเดินไปดีๆ ด้วย”

หลังหลั้วเหยียนเดินจากไป หมิงเจ๋อจึงหันกลับไปจ้องเขม็งใส่หมิงจูแล้วกล่าวสั่งสอน “เจ้ายังจะพูดอีกหรือ ไร้มันสมองแล้วยังทำเรื่องเลวทราม เจ้ารีบๆ คิดคำพูดแล้วเข้าไปอธิบายท่านพ่อเสียเถอะ”

อาจินที่เพิ่งจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยมองเห็นคนจำนวนมากเดินออกมาจากทางด้านห้องหนังสือจึงรู้สึกประหลาดใจ เขารั้งคนหนึ่งเพื่อเอ่ยถาม ทว่าคนผู้นั้นกลับเผยสีหน้าตื่นตระหนกแล้วเดินก้มหน้าก้มตาหนีไปลูกเดียว ส่วนคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน อาจินรู้สึกอึดอัดใจ เขาเดินไปถึงด้านนอกห้องหนังสือและเห็นว่าคุณชายใหญ่และเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะก็อยู่ด้วยเช่นกัน อาจินจึงเดินเข้าไปคารวะ “ต้าเส้าเหยีย เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ”

หมิงจูเอ่ยถามอาจินทั้งดวงตาแดงก่ำ “อาจิน เมื่อครู่นี้เจ้าหายไปไหนมา”

อาจินกล่าว “เอ้อร์เส้าเหยียทำชาหกรดมือขอรับ เหล่าเหยียจึงให้ข้าน้อยช่วยเอ้อร์เส้าเหยียหอบเอกสารไปเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ข้าน้อยก็เลยไปเรือนหลั้วเซี๋ยจายมาขอรับ”

หมิงจูถึงเชื่อว่าเสียงเมื่อครู่นี้มิได้หูฝาดไปแต่อย่างใด จึงรู้สึกตื่นตระหนกทันทีทันใด

หมิงเจ๋อกล่าว “เจ้าออกไปก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวเรียกเจ้าแล้ว เจ้าค่อยกลับเข้ามาปรนนิบัติ”

อาจินส่งเสียง อ้อ ด้วยความงุนงงแล้วถอยออกไปพลางบ่นพึมพำ “น่าประหลาดเสียจริง”

“พี่ใหญ่ เอาอย่างไรดี ข้ามิได้ตั้งใจ ข้าคิดว่าด้านในนั้นเป็นพี่รองจริงๆ อาเซียงบอกว่านางเห็นกับตาตนเองว่าท่านพ่อออกไปโดยมีอาจินติดตามไป…”

หมิงเจ๋ออยากฟาดมือลงไปตบสักฉาด “เจ้าก็มิรู้จักไตร่ตรองเสียบ้าง เจ้าเคยเอาคืนพวกเขาได้สำเร็จหรือไร สองคนนั้นฉลาดเฉลียวไม่มีใครเกิน ไม่มีปัญญาแล้วยังกล้าลงมือผลีผลามอีก ช่างงามหน้าเสียจริง แล้วยังทำให้ท่านพ่อเดือดร้อนไปด้วย”

หมิงจูจับมือของหมิงเจ๋อภายใต้สีหน้าตื่นกลัว “พี่ใหญ่ หรือไม่ข้ากลับบ้านเกิดไปก่อน รอให้ท่านพ่อหายโกรธแล้วค่อยกลับมา มิเช่นนั้น…” หมิงจูกล่าวทั้งน้ำตา “มิเช่นนั้น ท่านพ่อคงได้ฆ่าข้าแน่”

นางฮานรอจนกระทั่งทุกคนออกไปจนหมด นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านพี่ ดึกมากแล้ว ท่านอย่าอ่านตำราจนดึกดื่นเกินไปนะเจ้าคะ น้อง…ขอตัวกลับก่อนแล้วเจ้าค่ะ”

ด้วยเสียงดังกล่าวทำให้ตื่นตกใจ หลี่จิ้งเสียนจึงได้สติชัดแจ้งขึ้นมาดังเดิม เขารีบลุกขึ้นจากเรือนร่างอวี๋เหลียนพร้อมกับรีบจัดแต่งเสื้อผ้าจนมือไม้พัลวัน ขณะที่ภายในใจเต็มไปด้วยความลนลานสับสน เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงรู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนจำนวนไม่น้อยอยู่ด้านนอก นางฮานพาคนมาให้ข่มขืนเช่นนั้นหรือ หลี่จิ้งเสียนจ้องมองอวี๋เหลียนที่กำลังร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาด้วยนัยน์ตาเย็นชา ความรู้สึกสงสารเห็นใจมลายหายไปจนไม่หลงเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว เขากล่าวถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นางให้เจ้ามายั่วยวนข้าใช่หรือไม่”

อวี๋เหลียนส่ายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ นางเสียตัว ขายหน้า ยิ่งไปกว่านั้นคือทำให้คนเขาขุ่นเคืองเสียแล้ว มีหรือนางยังกล้าพูดว่าใครสั่งให้นางมา ด้วยเกรงว่าจะถูกลงโทษแล้วส่งกลับบ้านเกิดไป

“เช่นนั้น เจ้าคิดมายั่วยวนข้าเองเช่นนั้นหรือ”

อวี๋เหลียนส่ายหน้าพัลวันยิ่งกว่าเมื่อครู่ นางอยากบอกเล่าความจริง ทว่าจะทำอย่างไรได้ในเมื่อนางสนิทสนมกับหมิงจูถึงเพียงนั้นจึงต้องการปกป้องหมิงจู นางอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างไร้ค่าแล้วผู้ใดจะช่วยเหลือนางได้ อวี๋เหลียนรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างสุดซึ้ง นางไม่ควรเชื่อคำยุยงของหมิงจู ไม่ควรหน้ามืดตามัวจนไร้สติ ทุกอย่างถึงได้จบสิ้นอยู่ ณ ตรงนี้

หลี่จิ้งเสียนรู้สึกเหลืออด วันนี้เขาต้องอับอายขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเองไว้ ผู้ที่กระทำผิดอย่างเขาจึงต้องให้อวี๋เหลียนเป็นผู้รับผิดไป

เขาโน้มตัวลงไป มือหนึ่งบีบคางของอวี๋เหลียนบังคับให้นางเงยหน้าตามด้วยการกล่าวเชิงข่มขู่ “จำเอาไว้ว่าเรื่องในวันนี้ เจ้าพูดได้เพียงแค่ว่าเจ้ามีใจรักใคร่ในตัวข้า จึงจงใจเข้ามายั่วยวนข้า หากมิเช่นนั้น เจ้าคงรู้ดีว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ตระกูลหลี่มิอนุญาตให้แพร่งพรายเรื่องราวที่จะเป็นการทำลายชื่อเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ ข้าเองก็จะทำทุกวิถีทางเช่นกัน”

อวี๋เหลียนพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว

ขณะนั้นเอง หลี่จิ้งเสียนถึงยอมปล่อยมือ เขาตบใบหน้าของนางอย่างเบามือพลางชายตามองเรือนร่างนุ่มนิ่มนี้และกล่าวอย่างใจเย็น “ขอเพียงเจ้าเชื่อฟัง เราจะมิทำให้เจ้าเสียเปรียบอย่างแน่นอน”

ภายในเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันกำลังทายาให้หมิงอวินพลางกล่าวบ่น “ให้เจ้าแสดงละคร ไยเจ้าต้องเอาจริงเอาจังจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ด้วย ”

หลี่หมิงอวินหาได้สะทกสะท้านไม่ จึงกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อต้องแสดงละครทั้งที ก็ต้องแสดงให้เต็มที่ถึงจะถูก มิเช่นนั้นข้าจะทำให้อาจินตามออกมาได้อย่างไรกัน บาดเจ็บแค่นี้มิใช่เรื่องร้ายแรงอันใด หลังทายาก็มิรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแล้ว”

“มิรู้ว่าเรื่องราวไปถึงขั้นไหนแล้ว เจ้าว่าท่านพ่อจะจัดการอวี๋เหลียนจริงๆ หรือไม่” หลินหลันคาดเดา

หลี่หมิงอวินเบ้ปากและกล่าวอย่างสบายอกสบายใจ “มิว่าจัดการหรือไม่ ข้ารู้เพียงว่าหลังจากนี้เรื่องที่แม่มดชราคิดจะจับอวี๋เหลียนยัดเข้ามาในบ้านข้าคงเป็นไปมิได้แล้ว”

หลินหลันกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หมิงอวิน เจ้าว่ากลยุทธ์ของข้านี้โหดเหี้ยมไปหน่อยหรือไม่ หากท่านพ่อต้องถูกคนจับได้คาหนังคาเขาว่ากำลังข่มขืน…” หลินหลันส่งเสียง จุ๊จุ๊ และแอบหัวเราะอยู่ภายในใจเมื่อจินตนาการถึงภาพฉากอนาจารสายตานั่น

หลี่หมิงอวินชายตามองนาง “โหดเหี้ยมทีเดียวเชียวล่ะ ว่าแต่ว่าผู้ใดกันที่กล่าวว่าต้องให้โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุดถึงจะสาแก่ใจ”

หลินหลันมองค้อนใส่เขา “อย่างข้านี่เรียกว่าผู้ใดรุกรานข้า ข้าก็จะรุกรานตอบ หากผู้ใดรุกรานข้า ข้าก็จะสั่งสอนให้นางรู้ซึ้งแก่ใจ หรือว่านางแม่มดชรามีสิทธิ์จับคนมายัดใส่บ้านข้าได้ แล้วข้าจะจับคนยัดใส่บ้านนางบ้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ หากครั้งหน้านางยังคิดจับใครยัดเข้ามาอีก ข้าก็จะส่งคืนกลับไปเช่นกัน”

หลี่หมิงอวินอมยิ้ม “ผู้ใดหาเรื่องเจ้า คงต้องเป็นอันโชคร้ายสถานเดียว”

หลินหลันเบ้ปากใส่เขา “เจ้าก็หนีไม่พ้นเช่นกัน” สิ้นประโยคดังกล่าว นางหันไปมองประตูทางเข้าออกอย่างใจจดใจจ่อ “มิรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ดำเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว เหตุใดตงจึยังมิกลับมาเสียที”