ตอนที่ 149 ฉินหร่านรู้จักคนในสาขาแพทย์ด้วยเหรอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

มือที่อยู่บนแป้นพิมพ์ของกู้ซีฉือนิ่งไป

 

 

เขาจดจ้องประโยคนี้ เอนตัวพิงข้างหลัง ล้วงบุหรี่ออกจากกระเป๋า หรี่ตาลง

 

 

ผ่านไปพักใหญ่

 

 

ลุกขึ้นอีกครั้ง เดินลงจากห้องนอนไปที่ห้องรับแขกชั้นล่าง ค้นกล่องเครื่องมือแพทย์ของตัวเองออกมา หยิบเครื่องมือสื่อสารสีดำออกจากข้างใน

 

 

ต่อสายหาใครบางคน

 

 

กู้ซีฉือจุดบุหรี่ มองหาโต๊ะแล้วเอนตัวพิง รออยู่ไม่กี่นาที ทางนั้นก็ส่งนามบัตรมาให้

 

 

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาถึงโรงแรมใกล้จะสองทุ่มแล้ว เธออาบน้ำก่อนแล้วเดินออกมา

 

 

ขณะที่กำลังหยิบวรรณกรรมภาษาต่างประเทศออกจากกระเป๋า ก็เห็นกล่องที่ถูกใส่ไว้ข้างใน

 

 

ท่าที่กำลังเช็ดผมของฉินหร่านชะงักไป มืออีกข้างยังถือวรรณกรรมอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถึงได้รูดซิปกระเป๋า

 

 

จากนั้นเปิดมือถือโทร.วิดีโอคอลหาเฉินซูหลาน

 

 

มู่หนานยังท่องคำศัพท์อยู่ที่ห้องของเฉินซูหลานอยู่

 

 

“คุณยาย หนูถึงแล้ว” ฉินหร่านยืนอยู่ข้างหน้าต่าง บนร่างสวมชุดคลุมอาบน้ำ ผมยังแห้งไม่สนิท เปลี่ยนทิศทางของกล้อง ให้เห็นวิวค่ำคืนของข้างนอก

 

 

กลางคืนร่างกายของเฉินซูหลานรู้สึกจะดีกว่าตอนเช้า เธอมองทิวทัศน์บนหน้าจอมือถือ พูดช้าๆ ว่า “เจอท่านเว่ยหรือยัง”

 

 

“ไม่ได้บอกเขาว่าหนูมา หากเว่ยจื่อหังรู้ว่าหนูเรียกเขาว่าท่านเว่ย ต้องไม่ชอบใจแน่ๆ” ฉินหร่านพูดเสียงยานคาง

 

 

“นานขนาดนี้แล้ว เขายังไม่ชอบใจอีก” เฉินซูหลานยิ้มๆ

 

 

นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบาว่า “ครั้งก่อนอาจารย์สวี่ก็ติดต่อยายเหมือนกัน เขาหวังว่าหลานจะหาอาจารย์ดีๆ สักคนเรียนต่อ อย่าทิ้งสิ่งนี้ไปเพราะครอบครัวของพวกเขา อาจารย์เว่ยก็มาหายายหลายครั้งเหมือนกัน จะเรียนหรือไม่เรียนหลานตัดสินใจเอง”

 

 

“หนูเป็นคนส่งสวี่เซิ่นเข้าไป แต่อาจารย์สวี่ก็ไม่เกลียดหนู” ฉินหร่านไม่ตอบ เงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง

 

 

ข้างบานกระจกมีเก้าอี้มีโซฟาเดี่ยวสองตัว เธอนั่งลงบนที่วางแขนลวกๆ มืออีกข้างวางตรงพนักพิง

 

 

เมื่อพูดถึงสวี่เซิ่น สีหน้าขยะแขยงฉายบนใบหน้าของเฉินซูหลานอย่างปิดไม่มิด ไม่อยากพูดถึงเขา “หลานตัดสินใจเองเถอะ”

 

 

ทั้งคู่วางสาย

 

 

มู่หนานกดตัดสายวิดีโอคอลในมือตัวเอง

 

 

แล้วหยิบหนังสือคำศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา

 

 

พลิกไปสองหน้าแล้วเงยหน้าขึ้น ใบหน้าคมคาย เบ้าตาลึก ดวงตาสองข้างเป็นดุจบ่อน้ำเย็นเยือก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย “คุณยาย ทำไมตอนนั้น…พี่ถึงชกสวี่เซิ่นล่ะ”

 

 

ได้ยินว่า ตอนที่สวี่เซิ่นถูกคนหามออกมา เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด

 

 

แถมสกุลสวี่ไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ

 

 

ตอนนั้นมู่หนานเพิ่งขึ้นมัธยมต้น มีเรื่องราวมากมายที่เขาไม่รู้

 

 

“คนน่ารังเกียจ ฆ่าให้ตายยังกลัวมือจะสกปรกเลย” เฉินซูหลานหลับตา จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “แกรู้จักคุณเฉิงคนนั้นหรือเปล่า”

 

 

มู่หนานวางมือถือของเฉินซูหลานไว้อีกทางแล้วเงยหน้าขึ้น “คุณเฉิงคนไหน”

 

 

“เด็กผู้ชายหน้าตาดีที่อยู่กับพี่ฉินหร่านของแกไง” เฉินซูหลานลืมตาขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยน “แถมยังมีมารยาทมากด้วย”

 

 

มู่หนานมองเฉินซูหลานแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

ความทรงจำที่ยายเขามีต่อคนอื่น หากไม่ใช่ดูดีมากก็คือพอใช้ แล้วก็จำไม่ได้

 

 

คนที่ทำให้เฉินซูหลานพูดว่าดูดีมากออกมาได้น่ะเหรอ มู่หนานถอนหายใจ

 

 

ได้ยินแม่เขาบอกว่าตอนนั้นที่หนิงฉิงพาฉินฮั่นชิวกลับบ้าน ทั้งครอบครัวไม่ค่อยพอใจ มีแค่เฉินซูหลานที่ไม่คัดค้าน บอกว่าเป็นเพราะฉินฮั่นชิวหน้าตาดี

 

 

“รู้จัก หมอท่านหนึ่งของห้องพยาบาลที่โรงเรียน” มู่หนานขยับชายผ้าห่มให้เธอ พูดอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

 

 

เฉินซูหลานพยักหน้าด้วยความพอใจ “เป็นหมอดีแล้ว ดีแล้ว ถึงว่ามือของเขาก็สวยมากเหมือนกัน เหมือนพี่แกเลย”

 

 

มู่หนาน “…”

 

 

 

 

สกุลเสิ่น เมืองหลวง

 

 

คฤหาสน์สี่ชั้น ข้างนอกมีสวนดอกไม้ อยู่ในย่านเจริญของเมืองหลวง

 

 

ฉินอวี่พักอยู่ในห้องนอนแขกตรงชั้นสาม

 

 

มือข้างหนึ่งของเธอถือไวโอลิน อีกข้างกำมือถือกำลังโทร.หาหลินจิ่นเซวียน

 

 

ไวโอลินยังคงเป็นคันเดิมกับที่เมืองอวิ๋นเฉิง สายที่ถูกอู๋เหยียนตัดจนขาด หลินฉีหาช่างที่มีชื่อเสียงซ่อมให้เรียบร้อยแล้ว

 

 

“พี่ ได้บัตรแล้วใช่ไหม วันมะรืนพี่กับพี่เฟิงจะมาดูหรือเปล่า” ก่อนลงจากตึก ฉินอวี่ยืนอยู่ตรงสุดทางเดินชั้นสาม กำลังคุยโทรศัพท์กับหลินจิ่นเซวียน

 

 

น้ำเสียงของหลินจิ่นเซวียนราบเรียบ “ดูก่อน ทางนี้อาจจะไม่ว่าง”

 

 

ตั้งแต่ครั้งนั้น หลินจิ่นเซวียนก็แสดงท่าทีเย็นชามากกับเธอมาตลอด ความสัมพันธ์กลับไปสู่จุดเยือกแข็งเหมือนตอนที่เพิ่งเข้ามาสกุลหลินอีกครั้ง

 

 

ฉินอวี่กำมือถือแน่น แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย “ได้ งั้นไว้เจอกันนะพี่”

 

 

หลังวางสาย ฉินอวี่ก็หลับตาครู่หนึ่งแล้วหันหลังเดินลงจากตึก

 

 

คนชั้นล่างไม่เยอะ หลินหว่านนั่งอยู่ข้างโซฟา เธอสวมกี่เพ้าสีม่วง เข้าคู่กับผ้าคลุมไหล่ขนเฟอร์สีขาวบนไหล่

 

 

“อวี่เอ่อร์ รีบลงมาเร็ว” พอเห็นฉินอวี่ลงมา รอยยิ้มของหลินหว่านก็อ่อนโยนขึ้น จากนั้นหันไป “ท่านรอเธอนานมากแล้ว”

 

 

ฉินอวี่ถือไวโอลิน พยักหน้าให้พวกเขาอย่างมีมารยาท

 

 

หลังเล่นจบหนึ่งบทเพลง ผู้เฒ่าเสิ่นก็พยักหน้าน้อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ก้าวหน้าอีกแล้ว ใช้ได้”

 

 

ผู้หญิงที่นั่งอยู่อีกมุมไม่ค่อยชื่นชมมากนัก เธอกำมือถือเล่นเกมอยู่นานแล้ว พอจบบทเพลง เธอก็ลุกขึ้น “ฟังไม่รู้เรื่อง แต่คล้ายอัลบั้มแนวดาร์กที่เป็นอัลบั้มแรกๆ ของพี่เหยียนซีนิดหน่อย”

 

 

“แกจะไปรู้อะไร” รอยยิ้มของผู้เฒ่าเสิ่นหายไป “รีบขึ้นตึกไปซะ ดูแกสิไม่มีเหมือนคุณหนูสกุลเสิ่นเลยสักนิด”

 

 

ผู้หญิงคนนั้นยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วตรงขึ้นตึกไป

 

 

“อย่าไปฟังเธอพูดเหลวไหลเลย เธออายุแค่นี้ รู้อะไรไม่น้อยเลย” ผู้เฒ่าเสิ่นพยักหน้าแล้วยิ้ม “อาจารย์เว่ยชอบลูกศิษย์ที่มีไหวพริบ เธออย่ากดดันมากเกินไปล่ะ แสดงความสามารถตามปกติก็พอ”

 

 

พอกลับขึ้นชั้นสาม หลินหว่านก็ขยับผ้าคลุมไหล่ น้ำเสียงเจือความเย้ยหยัน “อย่าไปฟังที่เสิ่นอวี๋เหวินพูดเลย ปีสามแล้ว สกุลเสิ่นยังไม่ยอมให้เธอไปฝึกงานที่บริษัทเลย”

 

 

ฉินอวี่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร แต่มือกลับหยิบมือถือออกมาค้นหาเพลงแนวดาร์กของเหยียนซี

 

 

คำพูดที่เสิ่นอวี๋เหวินพูดให้สัญญาณเตือนบางอย่างกับเธอ หากโน้ตเพลงที่เธอเก็บได้เป็นเพลงที่ถูกแกะออกมาล่ะ

 

 

แฟนคลับของเหยียนซีมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก หากว่าเจอจุดที่เหมือนกัน เธอต้องตายเพราะคำพูดด่าประณามของแฟนคลับเหยียนซีแน่

 

 

“พี่สาวคนนั้นของเธอมาด้วยหรือเปล่า” หลินหว่านนั่งลงบนโซฟาในห้องฉินอวี่ มองดูการตกแต่งของห้อง

 

 

ริมหน้าต่างมีแจกันวางอยู่สองใบ ตรงกลางเป็นโซฟาสีเบจสไตล์ยุโรป ตกแต่งได้พิถีพิถัน

 

 

เมื่อเทียบกับห้องของเสิ่นอวี๋เหวิน ก็ไม่ต่างกันมากนัก

 

 

ผู้เฒ่าเสิ่นชอบฉินอวี่มาก เป็นเหตุให้ทุกคนทั้งระดับบนล่างสุภาพกับฉินอวี่เป็นอย่างมาก

 

 

“เปล่าค่ะ แม่บอกว่าพี่ไม่อยากมา” ฉินอวี่เจอหลายเพลงเลย

 

 

สีหน้าของหลินหว่านไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่ดวงตายังคงมีความเสียดสีเจือปนอยู่ เธอรู้ว่าหลินฉีเลือกใคร

 

 

ไม่พูดถึงฉินหร่านอีก

 

 

พอหลินหว่านออกไปจากห้องแล้ว ฉินอวี่ก็หยิบหูฟังออกจากลิ้นชัก ไล่ฟังเพลงของเหยียนซีทีละเพลง

 

 

…วันต่อมา

 

 

ฉินหร่านตื่นเช้า

 

 

เธอแปรงฟันทานมื้อเช้าเสร็จ ก็หยิบเป้สีดำเตรียมลงจากตึก

 

 

ชั้นที่เธอพักคือชั้น 28 ห้องพักสแตนดาร์ด

 

 

มีพนักงานคอยยืนประจำข้างลิฟต์ พอเห็นเธอ ก็โค้งตัวแล้วยิ้ม “สวัสดีครับ คืนนี้ห้องจัดงานเลี้ยงชั้นสามไม่เปิดให้บริการ ประตูหลักก็เช่นกัน หากว่าท่านจะกลับในเวลาระหว่างสี่โมงถึงหกโมงเย็น กรุณาเข้าทางประตูสอง ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงสำหรับความไม่สะดวก”

 

 

คงจะมีสักตระกูลมาเหมาห้องจัดงานเลี้ยงของโรงแรม ฉินหร่านพยักหน้า ดึงฮู้ดของเสื้อกันหนาว บ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว

 

 

โรงแรมอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงไม่มาก

 

 

ฉินหร่านตั้งใจเลือกที่นี่โดยเฉพาะ ไม่ต่อรถ แต่เดินไปมหาวิทยาลัย

 

 

ระหว่างทาง มีสายจากเมืองหลวงโทร.เข้ามา ไม่แสดงชื่อเช่นเคย

 

 

ฉินหร่านกดรับ จากนั้นใส่หูฟังให้ตัวเอง “อาจารย์เว่ย”

 

 

เสียงของอาจารย์เว่ยฟังดูสดใสมาก “พักที่ไหน”

 

 

ฉินหร่านไม่ได้บอกชื่อโรงแรม “คุณไม่ต้องมา ทางนี้ยังมีธุระอื่น เสร็จแล้วฉันจะไปหาคุณเอง”

 

 

อาจารย์เว่ยปลายสายยังซ้อมการแสดงอยู่เขาโบกมือให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นเดินไปอีกทาง ไม่ตอบฉินหร่าน แค่พูดอย่างไม่ค่อยชอบใจว่า “เธอรู้ที่อยู่ของบ้านฉัน ทำไมมาตรงมาที่นี่เลย เธอเพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรก ไม่คุ้นเคยสักหน่อย”

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” มือของฉินหร่านจับหูฟัง ยืนรอสัญญาณไฟจราจรอยู่ริมถนน

 

 

เธอคุยกับเว่ยหลินเสร็จ ไฟเขียวของทางเท้าก็สว่างขึ้น เธอจึงสาวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกันผู้คน

 

 

ตอนที่หลินจิ่นเซวียนเห็นฉินหร่าน ฉินหร่านกำลังเดินอยู่บนถนนหลินยินของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

 

 

เธอสวมเสื้อกันหนาวสวมฮู้ดไว้ นัยน์ตาหลุบต่ำ ยัดหูฟังไว้ทั้งสองข้าง เห็นแค่คางสวยที่โผล่ออกมา มองดูเท่มากทีเดียว

 

 

ต่อให้ไม่เห็นหน้าตรง คนรอบข้างที่เดินผ่านก็อดเหลียวหลังมองเธอไม่ได้

 

 

“รอเดี๋ยว ฉันมีธุระนิดหน่อย” หลินจิ่นเซวียนหยุดเดิน หันไปบอกชายหนุ่มหลายคนข้างกาย เดินไปทางฉินหร่านทันที

 

 

หลินจิ่นเซวียนวิ่งเหยาะๆ แค่ไม่กี่ก้าวเข้ามาขวางฉินหร่าน ขมวดคิ้วมุ่น “เธอมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง มาเยี่ยม…มาดูงานดนตรีกับแม่เธอเหรอ”

 

 

ในความทรงจำ ฉินหร่านไม่ใช่คนที่มีนิสัยแบบนี้

 

 

“อา” ฉินหร่านเงยหน้าขึ้นช้าๆ “เปล่า ฉันมาหาคนอื่นน่ะ”

 

 

หลินจิ่นเซวียนพยักหน้า ไม่ถามว่าเธอมาหาใคร “ตอนนี้พักที่ไหน”

 

 

ฉินหร่านเอาหูฟังออก ไม่ตอบ

 

 

เย็นชาและห่างเหิน

 

 

ท่าทางหลินฉีจะไม่ได้บอกเรื่องก่อนหน้ากับหลินจิ่นเซวียน

 

 

หลินจิ่นเซวียนดูเวลา มุ่ยคิ้วน้อยๆ “ผู้หญิงตัวคนเดียว… ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันมีธุระ ไว้ค่อยติดต่อเธอตอนค่ำๆ”

 

 

พอฉินหร่านเดินไปแล้ว วัยรุ่นหลายคนที่เดินกับหลินจิ่นเซวียนบนทางเดินก่อนหน้านี้ก็เดินเข้ามา

 

 

“จิ่นเซวียน คนเมื่อกี้เป็นน้องสาวของนายเหรอ หน้าตาดีกว่าดาวมหาลัยของเราเยอะเลย ได้ยินว่าเล่นไวโอลินเป็นด้วยนี่ใช่ไหม เธอให้บัตรนายมาสองใบ นายไม่เอา ให้ฉันดีไหม” ชายคนนี้มองแผ่นหลังของฉินหร่าน

 

 

หลินจิ่นเซวียนมองเขานิ่งๆ “ไม่ใช่ นายห้ามคิดจะยุ่งกับเธอ”

 

 

ไม่พูดอะไรมากกว่านี้

 

 

คนคนนั้นลูบจมูก ไม่พูดอะไรอีก

 

 

หลินจิ่นเซวียนเห็นฉินหร่านเดินไปไกลแล้ว จากนั้นมองไปทางถนนที่ฉินหร่านเดินมา

 

 

ถนนหนทางในรั้วมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเชื่อมต่อกันทั่วถึง แต่แทบจะทุกเส้นทางที่มีปลายทางที่แตกต่างกัน

 

 

เขาชี้ไปทางที่ฉินหร่านเดินมาพลางถามคนข้างๆ “ถนนเส้นนี้ไปที่ไหน”

 

 

“น่าจะคณะแพทย์มั้ง” มีคนหนึ่งมองไปทางนั้น “แฟนฉันก็เรียนแพทย์นี่แหละ”

 

 

หลินจิ่นเซวียนพยักหน้า ทำท่าครุ่นคิด คณะแพทย์งั้นเหรอ

 

 

ฉินหร่านไปที่นั่นทำไม

 

 

เธอรู้จักคนในมหาลัยเมืองหลวงด้วยเหรอ

 

 

หลินจิ่นเซวียนคิดไม่ตก

 

 

 

 

ฉินหร่านออกจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ย้อนกลับไปทางเดิม

 

 

ฝั่งตรงข้ามของสัญญาณไฟจราจรมีซูเปอร์คาร์สีแดงคันหนึ่งจอดอยู่ ติดป้ายทะเบียนเลขหกตัวอย่างไม่กลัวเกรง

 

 

บิวอิคก์คันด้านหลังจำใจต้องอยู่ห่างจากรถคันนั้นหนึ่งร้อยเมตร

 

 

สัญญาณไฟเขียวสว่าง คนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับใส่หูฟังบลูทูธ กำลังจะเหยียบคันแรง เมื่อกวาดสายตา ก็เห็นร่างผอมบางท่ามกลางผู้คนริมถนน “เชี่ย!”

 

 

คนปลายสายชะงักไป พูดอย่างเชื่องช้าว่า “ลู่จ้าวอิ่ง ฉันอนุญาตให้นายพูดใหม่อีกครั้ง”

 

 

“คือว่า ท่านเจวี้ยน นายไม่รู้แน่ว่าฉันเห็นใคร” ลู่จ้าวอิ่งจอดรถข้างทาง “เดี๋ยวค่อยว่ากัน ฉันขอจอดรถก่อน”

 

 

รอบๆ มีแต่ทางเท้า ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่มองหาที่จอดรถ แต่จอดรถไว้ข้างทางส่งๆ

 

 

จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถ

 

 

ฝ่าเข้าไปในฝูงชน ลากตัวร่างนั้นออกมาแล้วดึงหมวกเธอออก “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอกลับไปเยี่ยมญาติที่หมู่บ้านไม่ใช่หรือไง”

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รีบร้อน สวมหมวกเข้าที่เดิม “ฉันไม่ได้บอกว่าญาติอยู่เขตหนิงไห่ซะหน่อย”

 

 

พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ

 

 

“…เธอชนะแล้ว” ลู่จ้าวอิ่งฮึดฮัดในคอ แต่ตอนนี้เขาดีใจ เหตุผลนี้ทำให้เขาทำใจยอมรับได้ ใกล้จะถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว “ไป พาเธอไปรู้จักกับเพื่อนๆ ของฉัน”

 

 

เขาพาฉินหร่านขึ้นรถ จากนั้นตรงไปที่สโมสรส่วนตัวแห่งหนึ่ง

 

 

ระหว่างทางยังโทร.ออกหลายสาย แทบจะเรียกเพื่อนทั้งหมดของเขาแล้ว

 

 

“จะแนะนำน้องสาวของฉันให้พวกนายรู้จัก” ลู่จ้าวอิ่งใส่หูฟัง เลิกคิ้วขึ้น ดูภูมิใจมากทีเดียว “น้องสาวคนใหม่ รู้จักที่เมืองอวิ๋นเฉิง…ไปให้พ้น คนเขาเป็นนักเรียนม.ปลาย”

 

 

สโมสรเงียบสงบมาก ไม่ใช่ร้านที่พวกเขามักจะรวมตัวกัน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่กล้าพาฉินหร่านไปสถานที่จำพวกบาร์

 

 

“แค่ไม่กี่คน” พอถึงห้องวีไอพี เขาก็หยิบเมนูโยนให้ฉินหร่าน ให้ฉินหร่านสั่งตามใจชอบ “เป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กทั้งนั้น เฉิงมู่ก็อยู่เหมือนกัน มีเจียงตงเย่ด้วย หลานชายของคุณอาเจียงคนนั้นนั่นแหละ ตอนนี้กำลังถูกใช้แรงงานอยู่ที่บริษัท ไม่ต้องเกร็ง”

 

 

เขานัดไว้ประมาณตอนเที่ยงๆ

 

 

ยังไม่มีใครมา ลู่จ้าวอิ่งจึงขมวดคิ้ว

 

 

เที่ยงห้านาที ประตูห้องถูกผลักออก ผู้ชายที่สวมชุดกันลมสีดำเดินเข้ามา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งตัวตรง “พวกเขามาแล้ว!”

 

 

ข้างหลังผู้ชายคนนั้นไม่มีใครเลย

 

 

หลังเขาเข้ามา ยังปิดประตูลงอย่างใส่ใจ ชี้แจงว่า “ตอนขามา เฉิงมู่บอกว่าวันนี้ 129 ทดสอบ พวกเขาไปหาโอวหยางเวยแล้ว”