ตอนที่ 150 เฉิงมู่รู้สึกเหมือนทะลุมิติในเสี้ยววินาที

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งนั่งเอียงหัว มือวางอยู่บนที่วางแขน ยิ้มอย่างสบายๆ

 

 

พอได้ยินประโยคนี้ รอยยิ้มตรงปากก็นิ่งค้าง เขาหรี่ตาลง “ไปกันหมดเลยเหรอ”

 

 

ปกติลู่จ้าวอิ่งก็เหลาะแหละเสเพลอยู่แล้ว

 

 

พวกนั้นได้ยินเขาบอกว่า ‘น้องสาวคนใหม่’ เป็นคนอวิ๋นเฉิง แถมยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย

 

 

วันนี้โอวหยางเวยไปสอบข้อเขียน ตอนเที่ยงมีงานเลี้ยงที่ทุกคนฉลองให้เธอล่วงหน้า ทางฝั่งลู่จ้าวอิ่ง ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง

 

 

ไม่มาก็ปกติ

 

 

ผู้ชายคนนั้นพยักหน้า ไม่พูดอะไร

 

 

สายตาเบนมาทางฉินหร่าน พูดอย่างสุภาพว่า “คุณหนูฉินสินะ สวัสดี ฉันชื่อเจียงตงเย่ เรียกว่าพี่เจียงก็พอ”

 

 

เขามีหน้าตาหล่อเหลา สง่างาม

 

 

จมูกโด่งเป็นสัน เสียงยามพูดจาอ่อนโยน

 

 

ประเมินฉินหร่านอย่างไม่แสดงออก

 

 

เสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีขาว มีใบหน้าที่สวยมาก ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยก็สวยมากเช่นกัน

 

 

แต่เย็นชาไปหน่อย

 

 

ทั้งๆ ที่ท่วงท่ามีมารยาทมาก แต่ตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับมีความน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหันไปมองฉินหร่าน พยักพเยิดไปทางเจียงตงเย่ “เจียงตงเย่ คนที่เคยบอกเธอ”

 

 

พอได้ยินชื่อนี้ มือที่วางอยู่บนโต๊ะของฉินหร่านก็ชะงัก เธอมองเจียงตงเย่อย่างสงบนิ่ง สุภาพอย่างยิ่ง “สวัสดีค่ะ”

 

 

…ศัตรูตัวฉกาจของกู้ซีฉือ

 

 

เธอเคยส่งข้อมูลของคนคนนี้ให้กู้ซีฉือด้วยซ้ำ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งให้พนักงานเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ

 

 

เฉิงมู่โทรศัพท์มา ลู่จ้าวอิ่งกดตัดสายทันที ใบหน้านิ่งเฉย

 

 

“ซุปหมูต้มพริกเสฉวนเจ้านี้อร่อย” ลู่จ้าวอิ่งดันกับข้าวมาตรงหน้าฉินหร่าน เป็นเชิงบอกให้เธอรีบกิน จากนั้นถามว่า “เธอมาถึงเมื่อวานสินะ พักที่ไหน”

 

 

ฉินหร่านบอกที่อยู่ไป ลู่จ้าวอิ่งบันทึกไว้

 

 

“ปลาก็ใช้ได้เหมือนกัน กินเยอะๆ นะ” เจียงตงเย่ไม่ค่อยหิว ย้ายตำแหน่งของปลาที่อยู่หน้าตัวเองด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งกำลังรออยู่ที่สโมสรอีกแห่ง

 

 

เฉิงมู่หยิบมือโทร.หาลู่จ้าวอิ่ง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่รับเลย

 

 

ตอนที่เขามาถึงสโมสรถึงได้รู้คนที่ลู่จ้าวอิ่งพูดคือฉินหร่าน

 

 

“ทำไมพวกนายไม่บอกฉันว่าเป็นคุณหนูฉิน” เฉิงมู่หันไปมองคนข้างๆ

 

 

“ก็แค่น้องสาวที่คุณชายลู่รู้จักไม่ใช่เหรอ จริงจังขนาดนั้นทำไม” ผู้ชายที่ย้อมผมสีทองคนหนึ่งเทเหล้าให้ตัวเอง ไม่ค่อยแยแสมากนัก “ปีปีหนึ่งเขามีน้องสาวตั้งกี่คนนายก็รู้ ไอดอลนายไม่ได้นัดกันได้ง่ายๆ นะ วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองล่วงหน้า”

 

 

อีกคนพยักหน้า พูดอย่างเห็นด้วยว่า “ค่อยให้เขาพาน้องคนนี้มาวันหลัง ค่อยนัดกันก็สิ้นเรื่อง ไม่งั้นก็โทร.หาคุณชายลู่ ให้เขาพาน้องสาวคนนั้นมาที่นี่สิ”

 

 

เฉิงมู่ถูกคนกดไหล่ บังคับให้นั่งลง

 

 

มีคนล้วงมือถือออกจากกระเป๋า ให้ลู่จ้าวอิ่งพา ‘น้องสาว’ ของเขามา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่รับ

 

 

หลายคนที่สรวลเสเฮฮาต่างก็วางทุกอย่างในมือลง บรรยากาศคึกคักในห้องวีไอพีค่อยๆ เงียบลง

 

 

เฉิงมู่ลุกขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบถือมือ หันหน้าแล้วพูดว่า “พวกนายสนุกกันต่อเถอะ ฉันจะไปหาคุณชายลู่”

 

 

ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์เสมอมา แต่วันนี้กลับดูเย็นชามากกว่าเดิม

 

 

พอเขาออกไป คนอื่นในห้องก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีคนลูบหัว “ปฏิกิริยาไม่ปกตินะ โอวหยางเวยเป็นไอดอลของเขาไม่ใช่เหรอ …หรือพวกเราจะไปหาคุณชายลู่”

 

 

“แค่ผู้หญิงม.ปลายคนหนึ่ง จะอะไรกันนักหนา คุณชายลู่ไม่ถือสาหรอก” ผู้ชายผมทองดึงสายตากลับมา เขาวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ ท่าทางไม่ยี่หระ

 

 

คนอื่นๆ ทำท่าครุ่นคิด รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน

 

 

 

 

ตอนที่เฉิงมู่มาถึงห้องวีไอพีของลู่จ้าวอิ่ง พวกฉินหร่านก็กินข้าวได้พอประมาณแล้ว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเงยหน้ามองเฉิงมู่แวบหนึ่ง เขายกมือกอดอก เชิดหน้าขึ้น “ทำไม ไม่ไปดูไอดอลของนายแล้วเหรอ”

 

 

เฉิงมู่ลูบจมูกแก้เก้อ “ผมไม่รู้ว่าคุณหนูฉินมา”

 

 

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ “คุณหนูฉิน กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิดไม่ใช่เหรอ”

 

 

“เธอแค่บอกว่าเยี่ยมผู้ใหญ่ ไม่ได้บอกว่ากลับเขตหนิงไห่ซะหน่อย นายโง่หรือไง” ลู่จ้าวอิ่งมองเฉิงมู่อย่างเหน็บแนม

 

 

ฉินหร่านมองลู่จ้าวอิ่งด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์

 

 

เฉิงมู่ร้อง ‘อ่า’

 

 

เขามองฉินหร่าน คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูฉินจะมีญาติอยู่ในเมืองหลวงด้วย

 

 

เมื่อได้ยินเขตหนิงไห่ เจียงตงเย่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

 

 

เขาวางตะเกียบลง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “เขตหนิงไห่ไม่เลวเลย ได้ยินว่าเมื่อก่อนเคยมีหมอที่มีชื่อมากคนหนึ่ง”

 

 

“เจียงตงเย่ นายเพลาๆ หน่อยนะ” ลู่จ้าวอิ่งลุกขึ้น เตะเขาไปทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “นายจับกู้ซีฉือจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ถึงได้มาถามฉินเสี่ยวหร่านน่ะ คนที่แม้แต่นายก็หาไม่เจอ เธอจะเคยเจอได้ยังไง”

 

 

เจียงตงเย่ก็ยันโต๊ะลุกขึ้นแล้วกระแอม “ขอโทษที ความเคยชินจากงาน”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งใช้นิ้วเกี่ยวกุญแจรถที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้น ก้มหน้าน้อยๆ “ฉินเสี่ยวหร่าน ฉันจะส่งเธอกลับโรงแรมก่อน”

 

 

ฉินหร่านตอบรับช้าๆ เธอลุกขึ้น ยกฮู้ดขึ้นสวมไว้บนหัว ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง “อยู่แค่นี้เอง ฉันกลับเองได้”

 

 

ผู้ชายมาดแมนทั้งสามคน จะวางใจยอมให้เธอกลับคนเดียวได้อย่างไร

 

 

“คุณหนูฉินพักที่ไหน” เฉิงมู่เดินตามหลังทั้งสามคน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งบอกชื่อโรงแรม

 

 

เฉิงมู่พยักหน้า “บังเอิญจังเลย โรงแรมที่จัดงานคืนนี้พอดีเลย”

 

 

“ได้ยินคนที่โรงแรมพูดเหมือนกันว่ามีงานเลี้ยง” ฉินหร่านหรี่ตาลง เดินอย่างไม่รีบร้อน

 

 

เจียงตงเย่ยกมือขึ้นกลัดกระดุมเสื้อกันลมของตัวเอง ถามฉินหร่านอย่างสุภาพบุรุษว่า “ของกินที่โรงแรมใช้ได้เลย คืนนี้เธออยากไปทานอะไรหน่อยไหม ฉันจะให้คนส่งบัตรเชิญขึ้นไปให้ ถ้าไม่อยากไปฉันจะให้คนส่งอาหารขึ้นไปให้”

 

 

พวกเขาลงลิฟต์ ข้างนอกลมพัดแรง

 

 

ฉินหร่านดึงคอเสื้อขึ้น เสียงฟังดูอู้อี้นิดหน่อย “ไม่ดีกว่า ขอบคุณค่ะ”

 

 

ทั้งสามคนส่งฉินหร่านกลับห้อง 2819 ของโรงแรม

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกำชับฉินหร่านว่า ห้ามเปิดประตูส่งเดช

 

 

พอประตูปิดลง

 

 

เฉิงมู่ก็หมุนดูรอบๆ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พักที่นี่แค่คืนเดียว คุณหนูฉินต้องใช้เงินพาร์ทไทม์เท่าไหร่กันนะ”

 

 

เขากังวลเล็กน้อย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหยิบการ์ดใบหนึ่ง ให้เฉิงมู่ไปจัดการจ่ายค่าห้องให้ฉินหร่านหนึ่งอาทิตย์

 

 

เจียงตงเย่นึกถึงเขตหนิงไห่ รู้ว่าฐานะของครอบครัวฉินหร่านอาจจะไม่ค่อยดีมากนัก

 

 

เขาดึงการ์ดของลู่จ้าวอิ่งกลับ หยิบการ์ดของตัวเองออกมาให้เฉิงมู่ “ไม่มีรหัส”

 

 

เฉิงมู่รับมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อีกครั้ง

 

 

ไม่กล้าพูดว่าเขาก็อยากจะพักสักสองสามวันเหมือนกัน

 

 

เฉิงมู่ออกจากลิฟต์ เจียงตงเย่ก็กดอีกชั้นทันที

 

 

“เป็นไงบ้าง” ลู่จ้าวอิ่งยักคิ้ว เขาลูบต่างหู ถามเจียงตงเย่อย่างอวดดี

 

 

เจียงตงเย่พยักหน้า หยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมา “รูปร่างหน้าตาใช้ได้ นิสัยก็ไม่แย่ ไม่ธรรมดา”

 

 

“วิชาเลขของเธอดีกว่าคุณชายสวีคนนั้นซะอีก สกุลสวีแต่ละคนพิลึกคนจะตาย นายก็รู้” ลิฟต์มาถึงลานจอดรถ ลู่จ้าวอิ่งล้วงกุญแจออกมาพร้อมกับคุยโวอย่างอดไม่ได้

 

 

“ได้ยินว่าเธอเรียนไม่เก่งไม่ใช่เหรอ” เจียงตงเย่ชะงัก

 

 

ลู่จ้าวอิ่งวางมือลงบนประตูรถ ไม่เข้าไป เพียงแค่หรี่ตาลง “ฟิสิกส์ไม่ทำ วิชาอื่นรวมกันได้ 646 คะแนน ว่าแต่นายไปได้ยินใครพูดเรื่องฉินเสี่ยวหร่านมา”

 

 

“ท่าทางจะไม่ต้องห่วงเรื่องสอบเข้ามหาลัยเมืองหลวงแล้ว” เจียงตงเย่ไม่พูดถึงเรื่องนี้ เปลี่ยนประเด็น

 

 

“นายว่า…” เจียงตงเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยืนขวางประตูไม่ยอมให้เขาปิดประตู “ฉันไปขอให้เธอช่วยขอร้องท่านเจวี้ยน ท่านเจวี้ยนจะยอมช่วยฉันอีกครั้งหรือเปล่า”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งทำหน้า ‘นายจับกู้ซีฉือจนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ สินะ’

 

 

 

 

พลบค่ำ

 

 

หลินหว่านใช้เวลาตอนที่ฉินอวี่ไม่มีซ้อม พาเธอมาหาหนิงฉิงที่โรงแรม

 

 

พอรถมาจอดที่ลานจอดรถ ก็เห็นรถหรูจำนวนมาก ไม่ก็เป็นทะเบียนรถที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

 

 

ยามของโรงแรมบอกทั้งสองคนอย่างสุภาพว่าประตูหลักงดให้บริการชั่วคราว

 

 

หลินหว่านเอ่ยขอบคุณอย่างเข้าอกเข้าใจ

 

 

จากนั้นก็หันไปบอกกับฉินอวี่ว่า “คงจะมีคนมาจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่นี่ละมั้ง ประตูหลักเก็บไว้ให้แขกผู้มีเกียรติใช้ คนที่จัดงานที่นี่ได้ไม่ค่อยธรรมดา”

 

 

ประตูหลักกับประตูด้านข้างห่างกันไม่มาก

 

 

ฉินอวี่เห็นพรมแดงที่ถูกปูยาวอยู่ไม่ไกล กับบอดี้การ์ดชุดดำที่ขนาบสองข้าง

 

 

อลังการอย่างมาก

 

 

“งานเลี้ยงอะไรเหรอคะ เมื่อกี้หนูเห็นรถที่จอดอยู่ก็ไม่ธรรมดาเลย” ฉินอวี่ไม่ละสายตา

 

 

“ไม่รู้เหมือนกัน อลังการแบบนี้ คงไม่พ้นตระกูลพวกนั้น” หลินหว่านหรี่ตาลง “งานเลี้ยงแบบนี้ คนทั่วเมืองหลวงที่ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ร่วมงานเลี้ยงแบบนี้มีไม่น้อย”

 

 

ฉินอวี่กลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง หลินหว่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นงานเลี้ยงอะไร คงจะไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในแวดวงนั้นเลยสินะ

 

 

เธอเดินตามหลังหลินหว่านไปทางประตูหมายเลข 2 อดเหลียวหลังมองไม่ได้

 

 

คิดในใจว่า ‘ตระกูลพวกนั้น’ เป็นตระกูลไหนกันแน่

 

 

วันนี้ลิฟต์ก็ถูกกั้นด้วยเช่นกัน มียามและบอดี้การ์ดคอยควบคุมดูแลตลอดทางรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น

 

 

ฉินอวี่ละสายตา เหมือนจะเห็นเงาอันคุ้นเคยในกลุ่มคน

 

 

รูปร่างที่สูงโปร่ง เพียงแต่ดูเย็นชา

 

 

ดูจากข้างหลัง เหมือนสวีเหยากวงนิดหน่อย

 

 

ฝีเท้าของเธอชะงัก

 

 

“เป็นอะไรไป” หลินหว่านเห็นฉินอวี่ไม่ได้ตามมา ก็หยุดเดินหันไปถามฉินอวี่

 

 

ฉินอวี่หรี่ตาลง เมื่อมองอีกครั้ง คนพวกนั้นก็หายลับไปตรงสุดทางเดินแล้ว

 

 

“เหมือนจะเห็นเพื่อนที่โรงเรียน” ฉินอวี่กัดริมฝีปาก ไม่ค่อยแน่ใจ

 

 

“เพื่อนเธองั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง” หลินหว่านมองไปทางนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “คนที่เข้าไปได้ไม่รวยก็สูงศักดิ์ เพื่อนคนนั้นของเธอเป็นใคร ถ้าบอกว่าเป็นคนสกุลเฟิง ฉันก็พอจะเชื่อบ้าง”

 

 

ฉินอวี่เบือนสายตา รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน “หนูน่าจะตาฝาดไป”

 

 

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เธอก็ล้วงมือถือออกมา ก้มหน้าส่งข้อความหาสวีเหยากวง

 

 

‘คุณพักอยู่โรงแรมไหน’

 

 

ตอนที่เธอมาถึงชั้นที่ 58 ข้อความของสวีเหยากวงเพิ่งถูกตอบกลับมา ‘พักบ้านญาติ’

 

 

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เทข้าวของในกระเป๋าลงบนโต๊ะ

 

 

ของอื่นๆ อยู่ครบ ขาดเพียงขวดน้ำที่เธอใส่ลงไปในเป้ก่อนหน้านี้

 

 

มือถือข้างๆ สว่างอีกแล้ว เป็นวิดีโอคอลจากกู้ซีฉือ ฉินหร่านกดรับสายทันที

 

 

“ไม่ปกติ” กู้ซีฉือเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมยังเปียกชื้น เขาถือมือถือเดินมาถึงห้องรับแขก เปิดเบียร์กระป๋องหนึ่ง “ฉินเสี่ยวหร่าน ไม่ใช่สมาคมแฮ็กเกอร์ที่ช่วยปิดบังข้อมูลให้ฉัน”

 

 

ฉินหร่านเบื่อจะด่าเขาแล้ว เก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋า เหลือไว้แค่วรรณกรรมเล่มนั้น พลิกดูอย่างสบายๆ “อ่อ”

 

 

“ไม่ใช่หัวหน้าแมทธิวด้วย เธอว่าจะเป็นใครได้” กู้ซีฉือเงยหน้าขึ้นดื่มเบียร์คำหนึ่ง ไม่รอให้เธอตอบ ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ช่างเถอะ ถามเธอก็ไม่มีประโยชน์ ครั้งก่อนบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าแมทธิวมีรายชื่อของเธอ มีคนกำลังสืบเรื่องของเธอเหรอ ฉันขอมาจากเขา วันนี้อ่านดูรอบหนึ่ง มองอะไรไม่ออก เดี๋ยวจะส่งให้เธอ”

 

 

ฉินหร่านเลิกคิ้ว มองออกว่าไม่สบอารมณ์ “ส่งมาให้ฉัน”

 

 

ใครบังอาจสืบเรื่องของเธอ

 

 

“คงเป็นเพราะครั้งก่อนฉันให้เธอช่วยหาข้อมูลลบร่องรอยได้ไม่สะอาดพอ ครั้งหน้าไม่ให้เธอช่วยหาแล้ว” กู้ซีฉือวางเบียร์ลง “เจียงตงเย่เป็นคนบ้าชัดๆ ให้เธอเข้ามายุ่งไม่ได้”

 

 

ข้างนอกมีคนกดกริ่ง

 

 

และได้ยินเสียงพูดคุยกันของลู่จ้าวอิ่งกับเจียงตงเย่แว่วๆ

 

 

“วางก่อนนะ” ฉินหร่านบอกแล้ววางสายทันที

 

 

จากนั้นไปเปิดประตู

 

 

“เอาของกินมาให้” ลู่จ้าวอิ่งกับเจียงตงเย่ยืนอยู่ข้างหน้า ในมือหิ้วถุงพลาสติก

 

 

ข้างหลังเป็นเฉิงมู่ กับผู้ชายที่สูงไล่เลี่ยกับเฉิงมู่

 

 

ทั้งสี่คนเดินเข้ามา ห้องของฉินหร่านดูคับแคบไปถนัดตา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งวางถุงลงบนโต๊ะ ประเมินห้องเล็กๆ ห้องนี้ชั่วครู่ ไม่ค่อยพอใจมากนัก

 

 

“คนนี้ชื่อเฉิงจิน” ลู่จ้าวอิ่งชี้ไปที่ผู้ชายข้างเฉิงมู่

 

 

เฉิงจินก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเคร่งขรึมก้าวหนึ่ง พูดอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า “คุณหนูฉิน สวัสดีครับ”

 

 

เฉิงมู่จัดแจงอาหารอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ใช้กาต้มน้ำในห้องชงชาให้ฉินหร่าน

 

 

ทำเอาเฉิงจินกับเจียงตงเย่ที่เพิ่งเคยเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันอึ้งไป

 

 

ลู่จ้าวอิ่งคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เขานั่งลง “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอเจอผู้อาวุโสของเธอแล้วหรือยัง เขาอยู่ไหน ทำอาชีพอะไร เมืองหลวงเป็นถิ่นของพวกเรา ต่อไปมีอะไรให้เขามาหาฉันได้”

 

 

เฉิงมู่รินชาเสร็จสรรพ มองฉินหร่านอย่างแปลกใจเหมือนกัน

 

 

เธอไม่มีทางติดต่อสกุลหลินแน่นอน มีญาติคนอื่นอยู่ในเมืองหลวงด้วยเหรอ

 

 

มีคนในครอบครัวทำงานที่นี่?

 

 

ฉินหร่านพูดขอบคุณเฉิงมู่ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบตะเกียบขึ้น พูดเสียงอู้อี้ว่า “นักดนตรี ฉันจะไปหาเขาพรุ่งนี้”

 

 

พวกเฉิงมู่พยักหน้า เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้

 

 

“เป็นนักดนตรีลำบากจะตาย” เจียงตงเย่พูดด้วยความใจดีมีเมตตา น้ำเสียงอ่อนโยน “ให้เขามาทำงานกับฉันได้นะ ช่วงนี้กำลังขาดคนอยู่พอดี”

 

 

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

เฉิงมู่วางกาน้ำลง เดินไปเปิดประตู

 

 

เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู เฉิงมู่ก็รู้สึกเหมือนข้ามมิติในเสี้ยววินาที “ผู้…ผู้อาวุโสเว่ย?”