ตอนที่ 151 เขาก็แซ่เว่ยเหมือนกันเหรอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เว่ยหลินก็ชะงักเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าคนที่เปิดประตูจะเป็นผู้ชาย

 

 

เขาผงะถอยหลังหนึ่งแก้ว มองหลายเลขห้องแวบหนึ่ง 2819 ไม่ผิดนี่นา

 

 

“แกไม่ได้บอกเลขห้องผิดใช่ไหม” เว่ยหลินมือไพล่หลัง มองเว่ยจื่อหังที่อยู่ข้างๆ

 

 

เว่ยจื่อหังมองเขานิ่งๆ สายตาราวกับมองคนโง่ ไม่ปริปาก และไม่ขยับเช่นกัน

 

 

เฉิงมู่ที่มืออยู่บนลูกบิดได้สติ ไม่รู้ว่าควรจะแสดงอาการอย่างไรดี “ผู้อาวุโสเว่ย มาหาใครเหรอครับ”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกับเจียงตงเย่เองก็เพิ่งตัดสินใจว่าจะย้อนกลับมา ระหว่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้ใครแตกตื่น ผู้อาวุโสเว่ยไม่น่าจะรู้ว่าสองคนอยู่ที่นี่

 

 

อีกอย่าง…

 

 

ผู้อาวุโสเว่ยไม่มีธุระต้องมาหาสองคนนี้

 

 

“ไม่ทราบว่า ฉินหร่านพักอยู่ที่นี่หรือเปล่า” เว่ยหลินครุ่นคิดแล้วหันกลับไป ก้มหน้าเล็กน้อย ถามอย่างมีมารยาท

 

 

เฉิงมู่พอคาดเดาได้บ้าง แต่ก็พยักหน้าอย่างงุนงงอยู่ดี

 

 

เว่ยหลินยิ้ม คล้ายว่าจะโล่งอก “แสดงว่าไม่ผิดห้อง ฉันมาหาเธอน่ะ”

 

 

เขามองเข้าไปในห้องแวบหนึ่งดูเหมือนจะอยู่กันหลายคน จึงไม่เข้าไป

 

 

เฉิงมู่ไม่ปิดประตู เขาหน้านิ่งกลับเข้าไป

 

 

ฉินหร่านยังกินข้าวอยู่ เธอนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มือข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เอียงหัวน้อยๆ เหมือนจะกำลังฟังลู่จ้าวอิ่งพูดอยู่

 

 

“ใครมาเหรอ” ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งคิดว่าพนักงานมาส่งอาหารค่ำ แต่เฉิงมู่กลับมาพร้อมกับสองมือที่ว่างเปล่า

 

 

“อ่อ อาจารย์เว่ย” เฉิงมู่มองฉินหร่าน พูดเสียงเรียบว่า “คุณหนูฉิน ท่านมาคุณน่ะ”

 

 

พอฉินหร่านได้ฟัง มือก็ชะงัก เธอวางตะเกียบลง มองเฉิงมู่อย่างไม่สะทกสะท้าน “เข้าใจแล้ว”

 

 

จากนั้นก็ลุกขึ้น บอกกล่าวกับพวกลู่จ้าวอิ่งอย่างมีมารยาท ยกมือขึ้นจัดคอเสื้อของเสื้อกันหนาว เดินออกไปพร้อมกับปิดประตูด้วย

 

 

หลังเธอไป เจียงตงเย่ก็เอียงหัวด้วยความสงสัย “เฉิงมู่ นายหมายถึงอาจารย์เว่ยคนไหน”

 

 

ในเมืองมีคนแซ่เว่ยอยู่ถมถืด แต่คนที่สามารถเรียกว่าอาจารย์ได้ มีอยู่แค่ตระกูลเดียว

 

 

มาหาฉินหร่าน เจียงตงเย่จึงตัดสกุลเว่ยออกตามสัญชาตญาณ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งก็เอนตัวพิงพนัก เลิกคิ้วขึ้น มีบันยะบันยังไม่ตามออกไป “ญาติที่เธอพูดถึงหรือเปล่า”

 

 

“ใช่” เฉิงมู่พยักหน้า จากนั้นตอบเสียงเรียบว่า “ก็เว่ยหลินนั่นแหละ อาจารย์เว่ย ไต้ซือดนตรีระดับตำนาน ผมเคยซื้อตั๋วของเขาให้ประธานเจียง”

 

 

“อ้อ” ลู่จ้าวอิ่งกับเจียงตงเย่พยักหน้า

 

 

ต่างก็ไม่พูดอะไร

 

 

ลู่จ้าวอิ่งขยับไปข้างหลังอย่างนิ่งสงบ แถมยังเปิดน้ำขวดหนึ่งยกดื่มอีกด้วย

 

 

หนึ่งนาทีต่อมา

 

 

ทั้งสองคนได้สติ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งปิดฝาขวด เขามองเฉิงมู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เมื่อกี้นายบอกว่าใครมานะ”

 

 

“อาจารย์เว่ยไง” เฉิงมู่ตอบส่งๆ ไป “เจอเขาที่งานราตรีด้วยนี่นา”

 

 

“ญาติของเธอเป็นนักดนตรีไม่ใช่เหรอ” เจียงตงเย่บีบมือถือแน่น เขารู้สึกเหมือนเสียสติแล้ว

 

 

เฉิงมู่ตอบอืม ไปยืนข้างเฉิงจิน เตือนสติเขาด้วยความใส่ใจว่า “คนที่คุณบอกว่าให้ไปทำงานกับคุณคนนั้นนั่นแหละ…”

 

 

 

 

มีพรมปูอยู่ทั่วทางเดินของโรงแรม

 

 

เงียบสงบมาก

 

 

“อาจารย์เว่ย ไม่พบกันนานเลย” ฉินหร่านยืนอยู่สุดทางเดิน หลุบตาลง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไปหาคุณพรุ่งนี้ ทำไมถึงมาก่อนล่ะ”

 

 

เธอตั้งใจไม่บอกชื่อโรงแรมกับเขา

 

 

“ก็แค่แวะมาน่ะ คืนนี้มีงานเลี้ยงในโรงแรมพอดี คิดว่าเธอน่าจะอยู่ที่นี่ เลยถือโอกาสแวะมาหาเธอ” เว่ยหลินพูดอย่างไม่รีบร้อน

 

 

เว่ยจื่อหังที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกมือกอดอก พิงผนังของทางเดิน ได้ยินคำพูดของเขาก็เลิกคิ้วน้อยๆ

 

 

ไม่รู้ว่าใครกันที่นอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน โวยวายจะให้เขาพามาเจอฉินหร่าน

 

 

“มือของเธอไม่เป็นไรใช่ไหม” สายตาของหลินเว่ยมองไปที่มือขวาของเธอ คิ้วขมวดเล็กน้อย

 

 

ฉินหร่านยกมือขวาขึ้น มีรอยแผลเป็นสีชมพูอ่อนจางๆ เป็นทางยาวมากทีเดียว

 

 

ข้างๆ มีร่องรอยของการเย็บ

 

 

“ไม่เป็นไรตั้งนานแล้ว” ฉินหร่านก้มมอง ปิดหน้าปิดตา เดาอารมณ์ไม่ออก “คุ้มมาก”

 

 

“คุ้มกับผีน่ะสิ จื่อหังเล่าให้ฟังหมดแล้ว สวะแบบนั้นควรค่าให้เธอใช้มือของเธอแลกด้วยหรือไง” เว่ยหลินอ่อนโยนสง่างามมานาน

 

 

เพิ่งเคยเห็นเขาเลือดขึ้นหน้าสบถด่าเป็นครั้งแรก

 

 

คิดๆ ดูแล้ว เขาก็ยกนิ้วโป้งแตะเล็บนิ้วชี้ “เขามีค่าแค่นี้”

 

 

ฉินหร่านกระแอมแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “อาจารย์เว่ย เรื่องที่เรียนต่อ…”

 

 

“ฉันไม่รีบ ฉันไม่รีบ ฉันไม่รีบเลยสักนิด” เว่ยหลินรีบโบกไม้โบกมือ ใจเย็นอย่างยิ่ง “พรุ่งนี้หลังดูการแสดงเสร็จ ค่อยตัดสินใจว่าจะเรียนต่อหรือไม่เรียน วันนี้ฉันแค่มาเยี่ยมเธอก็เท่านั้น”

 

 

“ก็ได้” ฉินหร่านหรี่ตาน้อยๆ หัวเราะเบาๆ “เรื่องนั้นค่อยคุยกันคืนพรุ่งนี้”

 

 

เว่ยหลินสำรวจอากัปกิริยาของฉินหร่าน อีกฝ่ายดูเหมือนหัวเราะอย่างสบายๆ

 

 

ในความไม่แยแสมีความไม่จริงจังอันคุ้นเคยเจือปน

 

 

แต่คนคนนี้เก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองได้ดี เว่ยหลินมองไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

“ได้” อาจารย์เว่ยยืนมือไพล่หลัง ยากลึกหยั่งถึง

 

 

เขาหันหลังจะพาเว่ยจือหังกลับ แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับมาอีกครั้ง “จริงสิ คนที่เปิดประตูเมื่อกี้ รู้สึกจะหน้าคุ้นๆ”

 

 

“เป็นเพื่อนคนหนึ่ง” ฉินหร่านหลุบตาต่ำ พูดอย่างไม่รีบร้อน

 

 

อาจารย์เว่ยพยักหน้า คุยกับฉินหร่านอีกไม่กี่คำ ก็พาเว่ยจื่อหังลงจากตึกไป

 

 

ฉินหร่านส่งทั้งคู่ที่หน้าลิฟต์แล้ว ค่อยกลับไปที่ห้อง

 

 

สี่คนในห้องจ้องเธออย่างไม่ละสายตา

 

 

ฉินหร่านกลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์ หยิบตะเกียบขึ้นแล้วลงมือกินข้าวต่อ ก้มหน้าก้มตา ท่าทางดูจริงจังมาก

 

 

“เดี๋ยวนะ อาจารย์เว่ยมาหาเธอทำไม” ลู่จ้าวอิ่งโยนขวดน้ำแร่ในมือใส่โต๊ะ

 

 

ไม่ใช่แค่เขา สามคนที่เหลือก็ไม่เข้าใจ ศิลปินระดับตำนาน มาหาฉินหร่านถึงห้องงั้นเหรอ

 

 

ฉินหร่านเหลือบมองเขาอย่างเกียจคร้าน “มีธุระนิดหน่อย”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งตอบอืม ไม่ซักไซ้ไล่เลียง เพียงแค่พูดเสียงอ่อยว่า “ฉันไม่รู้ว่า นักดนตรีที่เธอพูดคืออาจารย์เว่ย”

 

 

เจียงตงเย่กับเฉิงมู่และเฉิงจินก็พากันมองไปทางฉินหร่านด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

ช่วงค่ำของวันต่อมา

 

 

ณ โรงละครของเมืองหลวง

 

 

ฉินอวี่ไม่ใช่การแสดงหลัก เธอจะขึ้นแสดงเพียงลำพัง หลังการบรรเลงเดี่ยวกับแบบกลุ่มบรรเลงเสร็จ สมาชิกแยกย้ายกันแล้ว

 

 

คนที่อยู่ลำดับก่อนหน้าเธอเป็นผู้ชายอีกคน

 

 

โอกาสนี้หายากยิ่งนัก เพราะที่นี่ล้วนเป็นศิลปินระดับตำนานของวงการดนตรี โดยเฉพาะเว่ยหลิน ผู้ที่เป็นมือหนึ่งของด้านนี้

 

 

คนที่อยากได้โอกาสนี้มีมากมายก่ายกอง

 

 

ฝ่ายโปรดิวเซอร์หลังได้ฟังวิดีโอที่ทุกคนส่งกันเข้ามาแล้ว ถึงได้เลือกฉินอวี่กับผู้ชายอีกคน

 

 

ซ้ำยังจัดให้ฉินอวี่อยู่หลังผู้ชายคนนั้น จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับฉินอวี่

 

 

และด้วยเหตุนี้เอง หลินหว่านกับสกุลเสิ่นจึงคิดว่าผลลัพธ์ในครั้งนี้ไม่น่าเกินคาด

 

 

ฉินอวี่กับหลินหว่านยืนอยู่ที่จุดตรวจบัตร รอหลินจิ่นเซวียนกับหนิงฉิง

 

 

หลินจิ่นเซวียนพาเพื่อนอีกคนมา หนิงฉิงมาถึงก่อนเขา

 

 

เขาทักทายหนิงฉิงกับคนอื่นๆ อย่างมีมารยาท เมื่อไม่เห็นฉินหร่าน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

“คุณน้า หรานหร่านไม่ได้มาด้วยเหรอ” หลินจิ่นเซวียนถามเสียงเบา

 

 

หลินหว่านเห็นหลินจิ่นเซวียนกับเพื่อนของเขา ก็ดีใจมากทีเดียว แต่พอได้ยินคำนี้ รอยยิ้มก็จางลงไป “ไม่มา เราเข้าไปกันก่อนเถอะ”

 

 

ฉินอวี่กลับแปลกใจ ก่อนหน้านี้หลินจิ่นเซวียนเมินเธอมากทีเดียว ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะมาด้วย “พี่ พี่เฟิงล่ะ”

 

 

“เขาติดธุระ” หลินจิ่นเซวียนช้อนตาขึ้น เม้มปากน้อยๆ หันไปมองหนิงฉิง “น้าหนิง ครอบครัวคุณน้ามีญาติคนอื่นอยู่ในเมืองหลวงหรือเปล่า”

 

 

หนิงฉิงส่ายหน้า “ไม่มี”

 

 

หลินจิ่นเซวียนบีบมือเล็กน้อย

 

 

หัวคิ้วขมวดเป็นปม งั้นฉินหร่านก็อยู่ในเมืองหลวงคนเดียวงั้นเหรอ

 

 

เมื่อคืนตอนที่โทร.หาเธอ เธอก็ไม่ได้บอกเขาว่าพักอยู่ที่ไหน

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของหนิงฉิง ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย

 

 

หลินจิ่นเซวียนกุมขมับ เขาอยากโทร.หาฉินหร่าน แต่เข้ามาให้โรงละครแล้ว ไม่ดูก็คงจะเสียมารยาท ซ้ำร้ายเขายังพาเพื่อนมาด้วย

 

 

หลินจิ่นเซวียนอดทนอดกลั้นสแกนบัตรแล้วเข้าไปในโรงละคร

 

 

เหลือแค่สวีเหยากวง

 

 

“แม่ เข้าไปข้างในกับคุณอาก่อนเถอะ เหลือเพื่อนแค่อีกคน ไม่ต้องรอรับหรอก” ฉินอวี่กอดไวโอลินของตัวเองไว้ ยิ้มให้ทั้งสองคน

 

 

หลินหว่านรู้ว่าเป็นเพื่อนจากอวิ๋นเฉิงของฉินอวี่

 

 

เธอยกมือขึ้นจัดผ้าคลุมไหล่ของตัวเอง ไม่สนใจมากนัก พยักหน้า “งั้นฉันเข้าไปก่อนนะ”

 

 

ยังไม่ทันได้หันหลัง จู่ๆ ฉินอวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็นิ่งไป

 

 

“แม่ นั่นมันพี่ไม่ใช่เหรอ” เธอชี้ไปทางคนสองคนที่อยู่ไม่ไกล

 

 

หนิงฉิงเตรียมจะสแกนบัตรพร้อมกับหลินหว่าน พอได้ยินก็หันไปมอง เห็นวัยรุ่นสองคนที่อยู่ข้างประตูไม่ไกลจากที่นี่

 

 

คนหนึ่งสวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ด ใส่หมวกคลุมหัว แม้จะเผยให้เห็นใบหน้าแค่ครึ่งเดียว ก็สามารถมองออกได้ในแวบเดียวว่าเป็นใคร แม้แต่ท่ายืนก็ไม่ค่อยมีมารยาท ดูเหลาะแหละ

 

 

หลินหว่านช้อนตามอง ทำท่าแสยะยิ้ม พูดเสียดสีว่า “เธอไม่มาไม่ใช่หรือไง”

 

 

เมื่อมองออกไป จะเห็นผู้ชายที่สวมเสื้อกันหนาวสีดำข้างๆ เธอ เห็นใบหน้าตรงที่ดูหล่อเหลา

 

 

มาดไม่ธรรมดา

 

 

หลินหว่านหรี่ตา ยกมือชี้ไปทางนั้น “พวกเธอรู้จักผู้ชายคนนั้นไหม”

 

 

กิตติศัพท์ของเว่ยจื่อหัง โรงเรียนรอบข้างไม่มีใครไม่เคยได้ยินหรอก

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขาเคยบอกว่าเธอเล่นไวโอลินได้ห่วย ฉินอวี่จึงพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจว่า “รู้จักค่ะ ชื่อเว่ยจื่อหัง”

 

 

หลินหว่านกระชับผ้าคลุมไหล่ เสียงสูงขึ้น “เขาแซ่เว่ยเหรอ”

 

 

อาจารย์เว่ย ก็แซ่เว่ยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ