ตอนที่ 152 เสียงไวโอลินของฉินอวี่

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

แซ่เว่ยที่ทำให้คนนึกถึงมีแค่อาจารย์เว่ยเพียงคนเดียว

 

 

           เมื่อได้ยินหลินหว่านพูดแบบนี้ ฉินอวี่ก็ชะงักไป

 

 

           เว่ยจื่อหังคนนั้นแซ่เว่ยก็จริง แต่ว่า…

 

 

           “คนนั้นเป็นอันธพาลที่มีชื่อเสียงในแถบโรงเรียนของหนู” ฉินอวี่ละสายตา มองไปทางหลินหว่าน “ชอบมีเรื่องชกต่อย คนในแถบโรงเรียนกลัวเขากันทั้งนั้น”

 

 

           คนแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับอาจารย์เว่ยได้อย่างไร

 

 

           “งั้นเหรอ” หลินหว่านนิ่งไป ดูจากมาดแล้วไม่ค่อยเหมือนอันธพาลสักเท่าไหร่

 

 

           ฉินอวี่ไม่ค่อยอยากให้หลินหว่านสนใจฉินหร่านมากนัก “เป็นหัวโจกของโรงเรียน ก่อนหน้านี้อยู่โรงเรียนเทคนิคข้างๆ นักเรียนพวกนั้นพอเกาะกลุ่มกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าทำ ตอนนี้อยู่ห้องกีฬาของอีจง”

 

 

           หลินหว่านพยักหน้า ละสายตาแล้วในที่สุด

 

 

           “แต่ว่านะแม่ ตอนนี้พี่ควรจะอยู่ที่โรงเรียนไม่ใช่เหรอ” ฉินอวี่จัดบัตรสองใบให้เรียบร้อยแล้วหันหน้าไปมอง พูดอย่างงุนงงว่า “ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ แถมยังอยู่กับคนอย่างเว่ยจื่อหังด้วย”

 

 

           หลินหว่านหัวเราะเยาะ

 

 

           ส่วนหนิงฉิงกลับเม้มปาก ตอนแรกเธออยากเข้าไปถามฉินหร่านว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ พอได้ยินประโยคนี้ ฝีเท้าก็หยุดลงทันที

 

 

           ทั้งสองคนสแกนบัตรเข้าไป

 

 

           ฉินอวี่มองไปทางฉินหร่าน ขมวดคิ้วน้อยๆ

 

 

           ไม่นาน สวีเหยากวงก็มาถึง

 

 

           “มีธุระนิดหน่อย” สวีเหยากวงสวมผ้าปิดปากสีดำ ข้างนอกเป็นแจ็คเก็ตเบสบอลสีดำ เผยให้เห็นแค่ดวงตาเย็นชาคู่นั้น “ขอโทษที่ให้รอ”

 

 

           ฉินอวี่กอดไวโอลินพูดว่าไม่เป็นไร

 

 

           ทั้งสองสแกนบัตรเข้าไป

 

 

           ฉินอวี่หันไปมองทางประตูแวบหนึ่ง ฉินหร่านกับเว่ยจื่อหังที่อยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว เธอแปลกใจเล็กน้อย

 

 

           ที่นั่งของสวีเหยากวงอยู่ข้างพวกหนิงฉิง เขาสวมผ้าปิดปากสีดำ ท่าทางเหมือนห้ามคนแปลกหน้าเข้าใกล้

 

 

           หนิงฉิงรู้จักเขา จึงพยักหน้าให้

 

 

           ตอนที่เห็นเธอ สวีเหยากวงชะงัก จากนั้นก็เรียกว่า ‘คุณน้าหนิง’

 

 

           ในน้ำเสียมีความนอบน้อมที่หาได้ยาก

 

 

           หนิงฉิงนิ่งไปเล็กน้อย ฉินอวี่เคยบอกเธอไม่ต่ำกว่าหนเดียวว่า สวีเหยากวงเป็นที่หนึ่งชั้นเรียนไม่มีใครล้มได้ เธอจึงจดจำสวีเหยากวงได้เป็นอย่างดี

 

 

           อีกฝ่ายถือตัวนิดหน่อย ปกติเป็นคนเงียบขรึม ไม่คิดว่าวันนี้กิริยาจะดีไม่หยอกเลย

 

 

           สวีเหยากวงให้เกียรติหนิงฉิงมากทีเดียว แต่กับหลินหว่านกลับวางตัวตามสบาย แค่ทักทายส่งๆ

 

 

           หลินหว่านแค่มองเขานิ่งๆ ไม่ขานรับและไม่ตอบ

 

 

           ผ่านไปครู่เดียว มือถือในกระเป๋าของสวีเหยากวงก็ดังขึ้น เขายกมือขึ้นดึงผ้าปิดปากออก “ฉันไปห้องน้ำหน่อยนะ”

 

 

           ฉินอวี่ลุกขึ้น อยากบอกเขาว่าห้องน้ำอยู่ข้างนอก ห้องน้ำหลังเวทีห้ามเข้า กลับเห็นสวีเหยากวงพรวดพราดออกไปแล้ว

 

 

           สุดท้ายก็ไม่ได้ใส่ใจเขามากนัก ฉินอวี่หย่อนตัวนั่งลง ไม่ได้คิดอะไรมาก

 

 

           …        

 

 

           อีกด้านหนึ่ง ฉินหร่านกับเว่ยจื่อหังตรงไปที่หลังเวที ประตูเล็กเป็นเส้นทางที่ใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่

 

 

           เว่ยจื่อหังคุ้นเคยกับที่นี่มาก

 

 

           ตอนที่ทั้งสองเข้าไป ศิลปินใหญ่ที่อยู่หลังเวทีหลายคนต่างก็กำลังลองเครื่องดนตรีอยู่

 

 

           “ได้ยินทางโปรดิวเซอร์บอกว่า การแสดงเดี่ยวหลังจบการแสดง มีเด็กใหม่คนหนึ่งใช้ได้ทีเดียว” ผู้พูดเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขาคือไต้หราน เขานั่งตำแหน่งรองประธานรองจากเว่ยหลินในครั้งนี้

 

 

           คนที่ปีนขึ้นตำแหน่งรองประธานนี้ได้ ล้วนไม่ธรรมดา

 

 

           โดยเฉพาะงานดนตรีชั่นสูงขนาดใหญ่แบบนี้

 

 

           คนอื่นพยักหน้า “เป็นเด็กผู้หญิง ทั้งความสามารถกับไหวพริบใช้ได้หมด แต่มาหาอาจารย์เว่ย”

 

 

           “ใครไม่ได้มาเพื่ออาจารย์เว่ยบ้าง” มีคนหัวเราะ

 

 

           ไต้หรานยืนอยู่อีกมุม ทำหน้านิ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

           อายุของเขาน้อยกว่าอาจารย์เว่ย ชาติตระกูล ความสำเร็จล้วนไม่ด้อย เพียงแต่ในวงการนี้ มักถูกเว่ยหลินแซงอยู่เสมอ

 

 

           เมื่อรู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยปกติ คนอื่นๆ ก็พากันปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

           “จื่อหัง นายมาหาคุณปู่เหรอ” ตอนที่บรรยากาศเงียบงัน เว่ยจื่อหังก็พาฉินหร่านเข้ามา อาจารย์หลายคนชี้ไปข้างหน้า “เขาปรับเสียงอยู่ข้างใน”

 

 

           “ขอบคุณครับ” เว่ยจื่อหังยิ้มอย่างเป็นมิตร

 

 

           คนอื่นโบกมือ มองผู้หญิงข้างกายเขา

 

 

           ผู้หญิงคนนั้นดูไม่คุ้นตา เห็นการแต่งตัวธรรมดาของเธอ ก็ไม่เหมือนคนที่จะแข่งในคืนนี้

 

 

           หรือจะเป็นแฟนของเว่ยจื่อหัง

 

 

           คนในวงการต่างก็รู้ดีว่าหลานชายของอาจารย์เว่ยถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เด็ก ได้ยินว่าอาศัยอยู่ที่ชนบทมาตลอด ไม่ยอมกลับมาเรียนที่เมืองหลวง เสเพลจนเป็นนิสัย

 

 

           เมื่อได้ยินเสียง อาจารย์เว่ยในห้องก็ถือไวโอลินออกมาแล้ว

 

 

           “หรานหร่าน มาแล้วเหรอ” อาจารย์เว่ยหน้าแดงระเรื่อ มองออกว่าดูจะดีใจเป็นอย่างมาก “เข้ามาก่อน”

 

 

           เขาเบี่ยงตัว ให้ทั้งสองคนเข้ามาในห้องรับรองของเขา

 

 

           “อาจารย์เว่ย ท่านนี้คือ…” มีคนมองทางฉินหร่านยิ้มๆ

 

 

           ในวงการมีข่าวลือมาตลอดว่า อาจารย์เว่ยมีลูกศิษย์คนโปรดแล้ว แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย

 

 

           แต่คนที่รู้เรื่องไม่ค่อยเชื่อกันมากนัก

 

 

           เพราะผ่านมานานปานนี้แล้วก็ไม่เห็นข้างกายอาจารย์เว่ยจะมีลูกศิษย์ผู้หญิงเลย หากว่ามีลูกศิษย์คนโปรดจริง ฐานะก็ไม่ใช่สิ่งที่นักไวโอลินทั่วไปจะสู้ได้ จะไม่ป่าวประกาศให้รู้กันถ้วนทั่วเชียวเหรอ

 

 

           “ลูกหลานในบ้าน มาดูการแสดงของฉัน” เสียงของอาจารย์เว่ยนุ่มนวล น้ำเสียงยามพูดไม่ช้าไม่เร็ว เดาอารมณ์ไม่ออก

 

 

           คนอื่นก็ไม่คลางแคลงใจ

 

 

           …

 

 

           ในห้อง

 

 

           อาจารย์เว่ยเปิดจอสำหรับกล้องวงจรปิด สามารถมองเห็นเวทีกับที่นั่งผู้ชม

 

 

           “โรงละครนี้เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์เว่ยยืนอยู่กลางห้อง มือชี้ไปที่ภาพรวมของโรงละครอันโอ่อ่าบนหน้าจอ “คนที่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีต่างหาก ที่ถือว่าได้รับการยอมรับจากวงการนี้”

 

 

           โรงละครแห่งนี้เมื่อก่อนเป็นของหลวง เงื่อนไขการใช้เข้มงวดอย่างยิ่ง

 

 

           เป้าหมายของนักดนตรีทุกคนก็คือ ได้จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่นี่สักครั้ง

 

 

           ฉินหร่านลากเก้าอี้มา มือข้างหนึ่งวางอยู่บนพนักพิง อีกข้างถือแก้วใบหนึ่ง หรี่ตา แพขนตายาวลู่ลงเล็กน้อย เอาแต่ใจและไม่ยี่หระ

 

 

           มองหน้าจอทีวีอย่างเฉื่อยชา

 

 

           ราวกับความฮึกเหิมอันเดือดพล่านของอาจารย์เว่ยจุดประกายเธอไม่ได้

 

 

           ส่วนเว่ยจื่อหังกลับนั่งอยู่บนโต๊ะ ก้มหน้าดูมือถือ คล้ายว่าจะกำลังส่งข้อความหาใครบางคนอยู่

 

 

           คำพูดของอาจารย์เว่ยสะดุดกึก จากนั้นยื่นมือขวาของตัวออกไป ตบหัวเว่ยจื่อหังอย่างแรง “แกมาทำอะไรกันแน่ ไม่ได้มาดูฉันแสดงหรือไง”

 

 

           เว่ยจื่อหัง “…”

 

 

           “ครับ” เว่ยจื่อหังเงยหน้า เขาเก็บมือถือ ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ “ผมผิดเอง ผมควรจะชมการแสดงของคุณปู่อย่างจริงใจและตั้งใจ”

 

 

           เชื่อเขาเลย

 

 

           “นี่ เจ๊หร่าน” เว่ยจื่อหังยัดมือถือใส่กระเป๋า หันหน้ามองอากัปกิริยาของฉินหร่านครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้น จะโยนไวโอลินของอาจารย์เว่ยให้ฉินหร่าน ดวงตาคมคู่นั้นหรี่ลง “ลองดูไหม”

 

 

           ฉินหร่านมองไวโอลินในมือเขาอยู่ชั่วขณะ ท่าทางยังคงเฉื่อยชามากอยู่ดี

 

 

           ผ่านไปสักพัก เธอก็วางแก้วในมือลงบนโต๊ะ

 

 

           รับไวโอลินมา

 

 

           ฉินหร่านก้มหน้า หลับตาพริ้ม

 

 

           …        

 

 

           สวีเหยากวงมาถึงหลังเวทีอย่างคล่องแคล่ว

 

 

           เขาดึงผ้าปิดปากลง

 

 

           ไต้หรานจัดเสื้อผ้าเดินออกมาจากข้างในพอดี พอเห็นเขาก็ชะงัก “คุณชายสวี?”

 

 

           สกุลสวีเป็นตระกูลใหญ่ ชื่อเสียงของผู้อาวุโสสวีกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง ในวงการนี้ต่างก็รู้ดีแก่ใจ ใครแตะได้ใครแตะไม่ได้จำได้ขึ้นใจ

 

 

           “อาจารย์ไต้” สวีเหยากวงชื่นชอบไวโอลิน ทุกครั้งที่มีการแสดงขนาดใหญ่ คนที่นี่มักจะเก็บบัตรไว้ให้เขาโดยเฉพาะ

 

 

           สกุลไต้ก็พอจะคบค้าสมาคมกับสกุลสวีอยู่บ้าง

 

 

           มีใจอยากจะคุยกับสวีเหยากวงให้มากกว่านี้ แต่การแสดงใกล้เข้ามาแล้ว ไต้หรานถึงไม่รีรอ ไปที่โซนรอเรียกก่อนแล้ว

 

 

           สวีเหยากวงไม่ได้เข้าห้องน้ำ เพียงแค่โทรศัพท์ตรงทางเดินหลังเวที

 

 

           หลังคุยโทรศัพท์เสร็จ กำลังจะออกไป ก็มีเสียงไวโอลินดังแว่วมาจากบริเวณห้องรับรอง

 

 

           เสียงสูงได้จังหวะ เสียงต่ำไพเราะเพราะพริ้ง สูงต่ำสลับกัน ควักหัวใจออกมา จู่โจมจิตวิญญาณอย่างทรงพลัง

 

 

           ดนตรีแบบนี้ก็คืองานเลี้ยงอันรื่นรมย์ใจ

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่สามารถทำให้คนดำดิ่งอยู่ในภวังค์

 

 

           มือของสวีเหยากวงยังเกี่ยวผ้าปิดปากอยู่ แววตาเป็นประกายวนเวียนอยู่ที่ห้องรับรอง

 

 

           ไม่นาน ประตูตรงสุดทางเดินก็เปิดออก คนของวงดนตรีกรูกันออกมา “ทุกคนเร็วกันหน่อย อาจารย์ไต้กำลังรออยู่!”

 

 

           “ทุกคนอย่าลืมเครื่องดนตรีของตัวเอง”

 

 

           การแสดงเปิดเป็นการบรรเลงร่วมกันทั้งหมด

 

 

           เมื่อรวมวงดนตรีแล้วมีร่วมๆ ร้อยชีวิต

 

 

           เสียงฝีเท้าไม่เป็นระเบียบแทรกความคิดของสวีเหยากวง

 

 

           เขายืนมองห้องรับรองอยู่กับที่อยู่นาน เมื่อจำได้ว่าคนคนนั้นคืออาจารย์เว่ย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจออกไปก่อน

 

 

           หากจำไม่ผิดล่ะก็ หลังเวทีมีกล้องวงจรปิด

 

 

           สวีเหยากวงกลับมาที่ที่นั่งของตัวเอง ฉินอวี่แปลกใจนิดหน่อย

 

 

           ห้องน้ำอยู่ข้างนอก ไปกลับใช้เวลาอย่างน้อยสิบห้านาที สวีเหยากวงไปไม่ถึงสิบนาทีก็กลับมาแล้ว

 

 

           แต่ใกล้จะเริ่มแสดงแล้ว ฉินอวี่จึงไม่พูดอะไร

 

 

           ที่นั่งของพวกเขาอยู่ตรงกลาง ข้างหน้าสุดมีที่นั่งวีไอพีสี่แถว เก็บไว้ให้เหล่าศิลปินที่จะขึ้นบรรเลงเดี่ยวกับแขกผู้มีเกียรติบางส่วน

 

 

           แสงไฟเหนือศีรษะดับลงในพริบตา การบรรเลงเปิดงานเริ่มขึ้นแล้ว

 

 

           …        

 

 

           คนที่มาชมการแสดง นอกจากพวกที่มีรสนิยมแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกับวงการนี้

 

 

           ในการบรรเลงเดี่ยวครั้งนี้ล้วนเป็นบุคคลระดับศิลปินใหญ่ ต่อให้เป็นพวกคนที่มีรสนิยม ก็ฟังจนขนลุกเกรียวกราวไปทั้งตัว บ้างก็เศร้าบ้างก็สุข ได้สัมผัสรสชาติชีวิต

 

 

           โดยเฉพาะลำดับสุดท้าย การแสดงปิดท้ายของอาจารย์เว่ย

 

 

           เขาล้วงทักษะสุดยอดที่สุดของทั้งชีวิตเขาออกมาแทบจะหมดแล้ว

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งมือ ดับเบิ้ลสต็อป โอเวอร์โทน หรือเทคนิค Spiccato[1] สิ่งเหล่านี้เขาล้วนทำได้อย่างคล่องแคล่ว ใช้เทคนิคได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

           เทคนิคเหล่านี้ ใช้คำว่าพรสวรรค์มานิยามไม่พอ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นความอดทนในการฝึกฝนเทคนิค        

 

 

           เว่ยหลินถูกขนานนามว่าเป็นยอดนักดนตรีแห่งประวัติศาสตร์ไวโอลิน ไม่ใช่เรื่องไม่มีมูล ความเข้มงวดและความเคารพที่เขามีต่อไวโอลินเกินกว่าที่ทุกคนจินตนาการ ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ มีการแสดงเกือบจะพันครั้ง เขาไม่เคยทำพลาดเลย

 

 

           ความยิ่งใหญ่ของเขา มีแค่นักดนตรีไวโอลินของจริงเท่านั้นที่จะเข้าใจ

 

 

           ความแตกต่างของศิลปินระดับตำนานกับอาจารย์ทั่วไปไม่ใช่เพียงน้อยนิด

 

 

           สามารถมองเห็นได้จากที่โรงละครเงียบสงัดไปหนึ่งนาทีไปจนถึงเสียงปรบมือที่ดังไม่ขาดสาย หลังเว่ยหลินบรรเลงบทเพลงนานกว่ายี่สิบนาทีจบ

 

 

           ฉินหร่านนั่งอยู่ทางซ้ายมือของแถวที่หนึ่ง หลังฟังจบ เธอก็ลูบหน้าครู่หนึ่ง สูดหายใจเข้าลึก

 

 

           อาจารย์สองคนข้างๆ ยังคงวิจารณ์กันอยู่

 

 

           “ครั้งนี้อาจารย์เว่ยสู้ช่วงพีคของประเทศ Y ครั้งก่อนได้แล้ว พอฟังอาจารย์เว่ยเสร็จ ฉันคิดว่าตัวเองกลับไปทำนาที่บ้านดีกว่า”

 

 

           หลังจบการแสดง ทุกคนก็ทยอยออกไป

 

 

           ฉินหร่านดึงฮู้ดของเสื้อกันหนาวขึ้นมาสวม

 

 

           ออกไปจากทางเดินอีกฝั่ง

 

 

           “มีนักเรียนใหม่อีกสองคน โปรดิวเซอร์ในครั้งนี้แนะนำมา” เว่ยจื่อหังตามหลังฉินหร่าน กระซิบบอกว่า “เรารอกันอีกสักหน่อย”

 

 

           “อืม” ฉินหร่านก้มหน้าเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ตอบสนองช้ามากทีเดียว

 

 

           ทั้งสองคนยังคงออกทางประตูเล็ก

 

 

           …

 

 

           ในโรงละคร ทุกคนแทบจะกลับไปกันหมดแล้ว

 

 

           พวกหนิงฉิงกับหลินหว่านยังอยู่ นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีครอบครัวของผู้ชายอีกคน

 

 

           “พวกเธอดูสิ เดี๋ยวอวี่เอ๋อร์จะขึ้นไปแสดงข้างบนนั้น” หนิงฉิงโทร.วิดีโอคอลหาหนิงเวย เสียงพยายามระงับความตื่นเต้น

 

 

           พอได้ยินเสียง มู่หยิงที่นั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆ ก็อดมองมาทางนี้ไม่ได้

 

 

           หลายวันนี้เธอคับข้องใจอยู่ตลอด หนิงเวยกับมู่หนานไม่ยอมคุยกับเธอก่อน คราวนี้เธอกลับเป็นฝ่ายเขยิบเข้ามา

 

 

           ภาพที่เห็นในสายไม่ใช่การซ้อมใหญ่เหมือนครั้งที่แล้ว แต่เป็นสถานที่จริง ไม่ว่าจะแสงไฟหรือเอฟเฟ็กต์พิเศษ ล้วนเป็นสิ่งที่การฝึกซ้อมครั้งก่อนเทียบไม่ได้

 

 

           “เวทีสวยจังเลย” มู่หยิงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามต่อว่า “คุณป้า พี่รองจะขึ้นเวทีแล้วเหรอ”

 

 

           “ใกล้แล้ว รอให้ผู้ชายคนนั้นเล่นเสร็จ ก็ถึงคิวพี่รองแกแล้ว” หนิงฉิงภูมิใจในตัวฉินอวี่มาตลอด ตอนนี้มีอนาคตแล้ว เธอก็ยากจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้

 

 

           หลินหว่านที่นั่งข้างๆ หยิบกระจกออกมา เติมลิปสติกให้ตัวเอง ชายตามอง ในดวงตามีแต่ความเย้ยหยัน

 

 

           ทำเหมือนกับไม่เคยเห็นโลกกว้างอย่างนั้นแหละ

 

 

           คนที่เตะตาโปรดิวเซอร์ ความสามารถไม่เลวเลย

 

 

           ดูท่าทางเขาจะอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี อายุไม่มาก บรรเลงเพลงค่อนไปทางใช้เทคนิค ไหวพริบสู้เทคนิคของเขาไม่ได้

 

 

           แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นต้นกล้าระดับยอดฝีมือเช่นกัน

 

 

           อาจารย์ทั้งแถวต่างก็ชมไม่ขาดปาก มีแค่อาจารย์เว่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำของตัวเอง มือถือแก้ว เขาที่มีหูตากว้างไกล พูดเสียงเรียบว่า “พอใช้ได้”

 

 

           ได้รับคำชมจากเว่ยหลิน แปลว่าผู้ชายคนนั้นมีฝีมือจริงๆ

 

 

           มีอาจารย์หลายคนเริ่มพิจารณาแล้ว

 

 

           “คนต่อไปเป็นผู้หญิง ชื่อฉินอวี่” เห็นได้ชัดว่าอาจารย์คนที่พูดทำการบ้านมาก่อน “เป็นเด็กผู้หญิงที่ทางโปรดิวเซอร์แนะนำ บอกว่าอาจารย์เว่ยต้องชอบแน่นอน”        

 

 

           แซ่ฉินเหมือนกันงั้นเหรอ

 

 

           แถมคิดว่าตัวเองต้องชอบแน่นอนงั้นเหรอ

 

 

           ฉินอวี่ขึ้นเวที ในมือถือไวโอลิน

 

 

           ไม่ถึงสิบวินาที ราวกับอาจารย์เว่ยได้ยินอะไรบางอย่างเข้า เขาทิ้งแก้วของตัวเองลงบนโต๊ะ หรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องฉินอวี่อย่างเย็นเยือก      

 

 

 

 

 

 

[1] เทคนิค Spiccato คือ ยกคันชักออกช่วงสั้นๆ เมื่อหางม้าสัมผัสกับสายไวโอลิน