ตอนที่ 153 ฉันเคยได้ยินแบบนี้เปี๊ยบเมื่อสามปีก่อน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ดนตรีของฉินหร่านมีความเฉพาะตัวสูงมาก

 

 

ไหวพริบกับพรสวรรค์ล้วนเป็นระดับที่อาจารย์เว่ยพบได้ยาก

 

 

ไม่อย่างนั้นคงไม่อาลัยอาวรณ์ทั้งที่ถูกปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง

 

 

เว่ยจื่อหังอาศัยอยู่ชั้นบนของบ้านเฉินซูหลาน ครั้งแรกที่อาจารย์เว่ยได้ยินฉินหร่านเล่นไวโอลินเป็นสมัยที่เธออายุเจ็ดขวบ อายุไม่มาก นั่งอยู่บนระเบียบเก่าๆ โทรมๆ ดวงตาดำสนิทฉายความโดดเดี่ยวที่อ่านไม่ออก

 

 

นั่นเป็นครั้งแรกที่อาจารย์เว่ยรู้ว่า มีคนประเภทหนึ่งต่อให้ไม่ต้องใช้เทคนิคก็สามารถใช้ไวโอลินบรรเลงเพลงที่จับจิตจับใจได้เช่นกัน

 

 

เธอมีจินตนาการเหนือคนทั่วไปในด้านการเขียนเพลง

 

 

เว่ยจื่อหังบอกเขาว่า พ่อแม่ของเธอหย่ากันวันนั้น

 

 

ฉินหร่านมีครูสอนไวโอลินคนนั้น เขาเป็นครูสอนชีวิตให้ฉินหร่าน อาจารย์เว่ยรู้ดี เขาไม่ได้แย่งของของคนอื่น

 

 

กระทั่งวันหนึ่งเว่ยจื่อหังโทร.มาบอกเขาว่า ฉินหร่านแตกหักกับอาจารย์คนนั้นแล้ว อาจารย์เว่ยไม่กลัวว่าหนทางจะไกล มุ่งหน้ามาจากเมืองหลวงทันที

 

 

เพียงแต่ว่าฉินหร่านทำท่าเหมือนจะต่อต้านเมืองหลวงเป็นอย่างมาก

 

 

เฉินซูหลานมีมารยาทกับเขามาก พาเขาไปดูห้องของฉินหร่านด้วย เขาเคยเห็นโน้ตเพลงที่ถูกขยำทิ้งในถังขยะห้องฉินหร่านเป็นจำนวนมาก

 

 

บทเพลงสิบวินาทีแรกของฉินอวี่เรียบง่าย ฟังดูไม่มีอะไร แต่หลังจากสิบวินาทีเป็นต้นไป ก็เริ่มสอดแทรกจังหวะที่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ไม่สนุกสนาน แต่ทำให้เกิดความรู้สึกกดดันอยู่ในใจลึกๆ

 

 

ความรู้สึกไวต่อดนตรีของอาจารย์เว่ยสูงจนน่ากลัว

 

 

เขาจำได้ว่าในวันเกิดของฉินหร่านเมื่อสามปีก่อน เธอเคยบรรเลงเพลงหนึ่ง มันเจือความอึดอัดและความเศร้าอันเข้มข้นที่น่าหงุดหงิดและอัดอั้นตันใจจนเดาอารมณ์ไม่ถูก

 

 

ทุกคนที่เล่นไวโอลินต่างก็มีสไตล์ของตัวเอง สไตล์ของฉินหร่านเป็นสิ่งที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้

 

 

มือของอาจารย์เว่ยวางอยู่บนโต๊ะ มองฉินอวี่ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

ระยะเวลาในการบรรเลงของเธอคือห้านาที ระหว่างนี้มีจังหวะสอดแทรกเข้ามาเป็นท่อนที่อาจารย์เว่ยคุ้นเคยยิ่งนัก

 

 

รวมกันแล้วมีเกือบสามนาที

 

 

และสามนาทีนี้เป็นจุดเด่นในการบรรเลงไวโอลินของฉินอวี่ครั้งนี้เช่นกัน

 

 

 

 

หน้าเวที หลังฉินอวี่บรรเลงเสร็จ หลินจิ่นเซวียนก็ลุกขึ้นแล้วออกไปข้างนอกทันที

 

 

เพื่อนของเขาตะโกนไล่หลัง “จิ่นเซวียน น้องสาวนายเยี่ยมมาก ฉันรู้สึกว่ามีหลายท่อน ที่ทำให้ขนลุกขนชัน ไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์พวกนั้นเลย”

 

 

หลินจิ่นเซวียนตอบอืมอย่างไม่แยแส ใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงอารมณ์

 

 

“ได้ยินว่าน้องสาวนายจะฝากตัวเป็นศิษย์ไม่ใช่เหรอ นายไม่รอดูผลหรือไง” เพื่อนของเขาเหลียวมองแวบหนึ่ง แลดูอาลัยอาวรณ์นิดหน่อย

 

 

“ไม่รอแล้ว ฉันจะไปหาหรานหร่าน” คิ้วของหลินจิ่นเซวียนขมวดเป็นปม หยิบมือถือออกมาโทร.หาฉินหร่าน

 

 

วันสองวันนี้ได้ยินคำว่า ‘หรานหร่าน’ ออกจากปากหลินจิ่นเซวียนบ่อยครั้ง

 

 

เพื่อนของเขายกยิ้ม ยื่นมือมาโอบไหล่เขา “จะว่าไป น้องหรานหร่าน สวยกว่าน้องสาวของนายคนนี้เยอะเลย ม.ปลายปีสามใช่ไหม ปีหน้าก็มาเรียนมหาลัยเดียวกับเราได้แล้วใช่ไหม”

 

 

“มาไม่ได้” พอได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าเฉยชาของหลินจิ่นเซวียนก็มีรอยยิ้มบางๆ ทุกครั้ง ราวกับริ้วคลื่นบนผิวน้ำที่ถูกสายลมเบาบางโชยผ่าน แค่ครู่เดียวก็จางหายไป “ผลการเรียนของเธอแย่เกินไป”

 

 

เพื่อนชะงัก จากนั้นก็ยิ้ม “งั้นก็น่าเสียดาย”

 

 

ขณะเดียวกัน

 

 

สวีเหยากวงที่นั่งอยู่ข้างๆ พอฟังการบรรเลงของฉินอวี่เสร็จ ก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน

 

 

คิดๆ แล้วก็ผงกหัวเล็กน้อย บอกลาหนิงฉิงแล้วยกผ้าปิดปากขึ้นปิดหน้า เดินตรงไปทางหลังเวที

 

 

ตอนนี้หนิงฉิงกำลังตื่นเต้นกับผลลัพธ์ ไม่ทันได้สนใจสวีเหยากวง

 

 

เธอแค่หันหน้า ตั้งใจกดเสียงให้เบาลง ถามหลินหว่านว่า “อาจารย์ข้างหน้ามีปฏิกิริยายังไง การแสดงของอวี่เอ่อร์เป็นยังไงบ้าง”

 

 

หลินหว่านไม่พูดอะไร แต่ผู้เฒ่าเสิ่นกลับยันที่จับแล้วลุกขึ้น สายตามองมาที่หนิงฉิง หัวเราะเสียงดัง “การแสดงของฉินอวี่ครั้งนี้ไม่เลวเลย มาตรฐานดีกว่าปกติเยอะเลย ไป เราไปดูข้างหน้ากันเถอะ”

 

 

หลินหว่านมองหนิงฉิง น้ำเสียงเป็นมิตรอย่างหาได้ยากเช่นกัน “ไม่ต้องห่วง ทางโปรดิวเซอร์บอกแล้วว่า อาจารย์เว่ยต้องชอบแบบเธอแน่นอน”

 

 

เมื่อได้ยินคำยืนยันของหลินหว่านแล้ว หนิงฉิงถึงได้สงบลง

 

 

เธอลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าของตัวแล้วค่อยเดินตามผู้เฒ่าเสิ่นกับหลินหว่านไป

 

 

 

 

ทางด้านหน้า เงียบมาสองนาทีแล้ว ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

ในบรรดาคนเหล่านี้ แน่นอนว่ามีอาจารย์เว่ยมีตำแหน่งสูงสุด

 

 

อาจารย์เว่ยในตอนนี้เพียงแค่เอนตัวพิงพนัก ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นจ้องฉินอวี่เขม็ง ราวกับอยากมองให้ทะลุปรุโปร่ง

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ อาจารย์คนหนึ่งมองไปทางอาจารย์เว่ย ถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสเว่ย เด็กคนนี้ คุณคิดว่าเป็นยังไง”

 

 

“มีประวัติไหม ขอฉันดูหน่อย” ปลายนิ้วของอาจารย์เว่ยคว่ำอยู่บนโต๊ะ เอ่ยปากนิ่งๆ

 

 

คล้ายกันแค่จุดสองจุด สามารถพูดได้ว่าบังเอิญ แต่บทเพลงยาวห้านาที เขาฟังออกว่ามีสามนาทีที่คล้ายคลึงกัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแล้ว

 

 

อาจารย์เว่ยจำได้ว่า มีคนเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ว่า ในการบรรเลงเพลงของนักเรียนสองคนนี้ เป็นเพลงที่เขียนเอง

 

 

มีคนรีบเอาประวัติออกมาให้อาจารย์เว่ย

 

 

อาจารย์เว่ยรับมาแล้วพลิกดูช้าๆ

 

 

เขาตั้งใจอ่าน มีคนข้างๆ กระซิบว่า “ผู้อาวุโสเว่ยตั้งใจอ่านขนาดนี้ ต้องเกิดความคิดอยากรับศิษย์แน่ๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็มีเป้าหมายเป็นอาจารย์เว่ยอย่างชัดเจน…”

 

 

ไต้หรานที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำหน้าไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเขาก็ถูกใจฉินอวี่เช่นกัน

 

 

ไวโอลินในตอนนี้แบ่งออกเป็นหลายแขนง ตัวของไต้หรานสู้อาจารย์เว่ยไม่ได้ ไม่อยากยอมแพ้อาจารย์เว่ยในด้านของการหาลูกศิษย์สืบทอดอีก

 

 

เพลงที่ฉินอวี่บรรเลงทำให้เขาตะลึงอย่างแท้จริง

 

 

แม้ระหว่างนี้จะมีหลายเทคนิคที่ยังไม่คล่องแคล่ว แต่บทเพลงมีจิตวิญญาณ เพียงพอจะเพิ่มคะแนนให้

 

 

อาจารย์เว่ยไม่รู้เรื่องที่คนข้างๆ วิจารณ์เลยสักนิด เขาเพียงแค่พลิกอ่านข้อมูลในมือนิ่งๆ เท่านั้น

 

 

ด้านบนมีประวัติส่วนตัว รวมถึงระดับของไวโอลิน รางวัลที่ได้ตั้งแต่เด็กจนโต

 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนปลอมเปลือก อาจารย์เว่ยกวาดสายตาผ่านไปดื้อๆ

 

 

สุดท้าย นิ้วมือเ**่ยวย่นก็หยุดอยู่ที่ตัวหนังสือบรรทัดหนึ่ง

 

 

‘บทเพลงบรรเลงครั้งนี้เป็นผลงานที่เขียนขึ้นเอง’

 

 

“ฉินอวี่ใช่ไหม” อาจารย์เว่ยวางประวัติลงบนโต๊ะ มองฉินอวี่นิ่งๆ “เธอบอกว่าเพลงเป็นผลงานที่เธอเขียนเอง”

 

 

พอได้ยินประโยคนี้ มือของฉินอวี่ก็เกร็งขึ้นมาชั่วขณะ

 

 

คืนก่อนเธอใช้เวลาเกือบทั้งคืน ฟังเพลงของเหยียนซีอยู่หลายรอบ

 

 

สไตล์อัลบั้มแรกๆ ของเหยียนซีคล้ายคลึงกับเพลงนี้ของเธอจริง

 

 

แต่เป็นแค่ความคล้ายคลึงของสไตล์เท่านั้น แต่การเรียบเรียงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

เธอเชยตาขึ้น ทั้งมีมารยาทและมีความมั่นใจ “ใช่ค่ะ”

 

 

อาจารย์เว่ยพยักหน้าแล้วถามอีกว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

“ตั้งแต่เดือนกันยายนค่ะ” ฉินอวี่ตอบ มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม “เคยฝึกซ้อมที่โรงเรียนหลายต่อหลายครั้ง เพื่อนฉันก็รู้”

 

 

พอได้คำตอบนี้ อาจารย์เว่ยก็ไม่พูดอะไรเลย มือยันโต๊ะแล้วลุกขึ้น หยิบแก้วเก็บความร้อนขึ้น ผงกหัวให้อาจารย์คนอื่น “ทุกท่าน ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อน”

 

 

ทุกคนในเหตุการณ์รวมถึงไต้หรานต่างก็คิดว่า อาจารย์เว่ยถามละเอียดแบบนี้ เป็นเพราะถูกใจลูกศิษย์อย่างฉินอวี่เข้าแล้ว

 

 

ใครจะรู้ว่าเขาไม่พูดอะไรเลย หยิบแก้วจะออกไปแล้ว

 

 

ผู้เฒ่าเสิ่นกับหลินหว่านและหนิงฉิงเพิ่งมาถึง ก็เห็นเหตุการณ์นี้ ทั้งสามคนต่างก็ชะงักงัน

 

 

“อาจารย์เว่ย หมายความว่ายังไง คุณไม่เอาฉินอวี่งั้นเหรอ” ไต้หรานลุกขึ้นทันที ถามด้วยแววตาที่เป็นประกาย

 

 

อาจารย์เว่ยถือแก้วชา เข้าใจอากัปกิริยาของไต้หรานได้ไม่ยาก

 

 

ครั้งแรกที่เขาได้ฟังฉินหร่านเล่นไวโอลิน ปฏิกิริยาก็คล้ายๆ แบบนี้

 

 

“อืม ไม่เอา” เสียงของอาจารย์เว่ยยังคงราบเรียบ เดาอารมณ์อะไรไม่ออกเลย

 

 

ฉินอวี่ที่ชัยชนะอยู่ในกำมือมาตลอดเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

เธอมั่นใจกับเพลงเพลงนี้ของตัวเองเป็นอย่างมาก ตลอดเวลาหลายเดือนที่บรรเลงเพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นสวีเหยากวงหรือผู้เฒ่าเสิ่นต่างก็ชมเปาะ เธอฝากอนาคตในวันข้างหน้าไว้กับเรื่องนี้แทบจะทั้งหมดแล้ว

 

 

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในเวลานี้ อาจารย์เว่ยจะตบหน้าเธอแบบนี้

 

 

เขาพูดคำว่า ‘ไม่เอา’ ออกมาได้หน้าตาเฉยขนาดนี้ได้อย่างไร

 

 

อาจารย์คนอื่นก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

 

 

ผู้ชายคนเมื่อครู่ไหวพริบไม่ดีเท่าฉินอวี่ แต่อาจารย์เว่ยยังพูดว่า ‘พอใช้ได้’

 

 

“คุณไม่เอาจริงเหรอ” แต่ไต้หรานกลับดีใจอย่างเหนือความคาดหมาย เขาพยายามควบคุมตัวเอง ถามอีกครั้งอย่างไม่ค่อยวางใจ

 

 

“ไม่เอา” อาจารย์เว่ยเดินไปตรงทางออกต่อ ไม่เหลียวหลังด้วยซ้ำ

 

 

ไต้หรานโล่งอก นอกจากอาจารย์เว่ย ไม่มีใครแย่งฉินอวี่กับเขา เขาทำท่านึกขำ “อาจารย์เว่ยสมกับเป็นศิลปินใหญ่จริงๆ แม้แต่ฉินอวี่ก็ไม่ถูกใจ ไม่รู้ว่าอัจฉริยะแบบไหนถึงจะเตะตาเขา”

 

 

แน่นอนว่า ประโยคนี้เป็นการเหน็บแนม

 

 

แต่ละปีมีคนมาฝากตัวเป็นศิษย์มากมายปานนั้น ไต้หรานยังไม่เคยเจอนักเรียนคนไหนที่มีไหวพริบเท่าฉินอวี่มาก่อน

 

 

ไหนเล่าจะรู้ว่าฝีเท้าของอาจารย์เว่ยจะหยุดลง เขาเบี่ยงตัวมา ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณเดาถูกซะด้วย”

 

 

ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาอารมณ์ดีแล้ว หันหลังเดินต่อไป ฝีเท้าไวมากทีเดียว

 

 

บนเวที ฉินอวี่ที่ถูกอาจารย์เว่ยพูดว่า ‘ไม่เอา’ กำมือแน่น เม้มปากมองอาจารย์เว่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “อาจารย์เว่ย บทเพลงที่ฉันเขียนเองไม่ดีตรงไหน คุณถึงไม่ถูกใจ”

 

 

“เธออย่าเข้าใจผิด ในดนตรีที่เธอบรรเลง มีหลายท่อนที่ฉันชอบมาก เพราะมีไหวพริบมากจริงๆ” ตอนแรกอาจารย์เว่ยไม่อยากสนใจฉินอวี่

 

 

บทเพลงของฉินหร่านล้วนเกิดจากอารมณ์ มีต้นฉบับหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชน

 

 

เมื่อไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้แน่ชัด คนที่คัดลอกย่อมไม่ต้องเกรงกลัวอะไร

 

 

อาจารย์เว่ยครุ่นคิดตามอารมณ์ แต่ใบหน้ากลับถมึงทึง

 

 

ฉินอวี่มองไม่เห็น จึงย้อนถาม น้ำเสียงทรงพลัง พูดซ้ำอีกครั้งว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่ถูกใจ”

 

 

“ทำไมงั้นเหรอ” เขาหันหน้ามา จ้องฉินอวี่เขม็ง รอยยิ้มหายไป “เพราะฉันเคยฟังบทเพลงที่คล้ายคลึงกัน เธอบอกเธอเขียนเอง ได้ ฉันจึงถามเวลา เธอบอกว่าเขียนตอนเดือนกันยายนปีนี้… ฉินอวี่ เธอเก่งกาจทีเดียว เอาบทเพลงต้นฉบับเมื่อสามปีก่อนของคนอื่นกลับมาเขียนในเดือนกันยายนปีนี้ได้ยังไง”

 

 

เมื่อพูดจบ อาจารย์เว่ยก็รู้สึกว่าไม่มีความหมาย จึงเดินไปทางประตูใหญ่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

 

 

คนที่เหลือ รวมถึงไต้หรานกับคนสกุลเสิ่น ต่างก็ตะลึงพรึงเพริด ยืนนิ่งอยู่กับที่

 

 

 

 

ทางด้านสวีเหยากวงไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาตรงมาที่หลังเวที

 

 

ไปหาผู้ดูแลรับผิดชอบก่อน

 

 

สวีเหยากวงเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ขอแค่เป็นการแสดงที่เกี่ยวข้องกับไวโอลิน เขาจะไม่พลาดแน่นอน

 

 

ผู้ดูแลรู้จักเขา

 

 

“คุณชายสวี” เมื่อได้ยินคำขอของสวีเหยากวง ผู้ดูแลก็ตกใจไม่เบา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลง “ตามผมมาเลยครับ”

 

 

สวีเหยากวงถอดผ้าปิดปากออก กระแอมแล้วเดินตามผู้ดูแลไปข้างหน้า

 

 

ทั้งสองคนเดินขึ้นตึกตรงทางโค้งของทางเดิน

 

 

เจอกับอาจารย์เว่ยที่เพิ่งลงมาจากเวทีเข้าพอดี

 

 

สวีเหยากวงนอบน้อมกับอาจารย์เว่ยมากทีเดียว เขากับผู้ดูแลหยุดลงทั้งคู่ “อาจารย์เว่ย”

 

 

“คุณชายสวีนี่เอง” สีหน้าของอาจารย์เว่ยผ่อนคลายลงนิดหน่อย “พวกคุณจะไปไหนกันเนี่ย”

 

 

เมื่อหลายปีก่อน เพราะสวีเหยากวงชื่นชอบไวโอลิน ท่านสวีเคยพาสวีเหยากวงมาฝากตัวกับอาจารย์เว่ย

 

 

“จะไปดูกล้องวงจรปิดหน่อยครับ” สวีเหยากวงถือผ้าปิดปาก เขามองอาจารย์เว่ย แววตาเรียบเฉย “เมื่อกี้คนเยอะเกินไป ตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำ มีของบางอย่างหายไป”

 

 

คุณชายสวีถึงกับต้องไปดูกล้องวงจรปิดด้วยตัวเอง ของสิ่งนี้คงจะสำคัญมาก

 

 

อาจารย์เว่ยพยักหน้า ไม่รบกวนอีก เขาเองก็ใจร้อนจะกลับไปหาฉินหร่านเช่นกัน จึงพูดขึ้นมาว่า “งั้นคุณไปเถอะ คนเยอะ อาจจะหายาก”

 

 

พูดจบ ทั้งสองก็บอกลากัน แยกกันไปคนละทาง

 

 

เดินไปได้สองก้าว สวีเหยากวงก็ชะงักไป เขาหันกลับมา “อาจารย์เว่ย… วันนี้ที่ห้องรับรองของคุณมีคนอยู่ไหม”

 

 

ประโยคนี้ถูกโพล่งออกมากะทันหัน อาจารย์เว่ยหยุดลงอีกครั้งอย่างนิ่งสงบ เอ่ยปากถามว่า “ของ…หายในห้องรับรองของพวกเราเหรอ”

 

 

“เปล่าครับ” สวีเหยากวงหลุบตาลง ส่ายหน้า “ขอโทษที่รบกวนครับ”

 

 

เมื่อมาถึงห้องกล้องวงจรปิด

 

 

เจ้าหน้าที่ก็ฉายภาพกล้องวงจรปิดตรงทางเดินไปถึงห้องน้ำท่อนหนึ่งให้สวีเหยากวงดู

 

 

“ไม่ใช่อันนี้” สวีเหยากวงไม่นั่ง แต่พิงโต๊ะอยู่อย่างนั้น มือยันโต๊ะ ดูภาพของกล้องวงจรปิด “พวกคุณมีกล้องวงจรปิดของห้องรับรองไหม”

 

 

มือที่จับเมาส์ของเจ้าหน้าที่นิ่งไป

 

 

เขามองสวีเหยากวงอย่างแปลกใจ แต่อีกฝ่ายถูกฝ่ายโปรดิวเซอร์ของงานดนตรีพามาด้วยตัวเอง

 

 

แถมอีกฝ่ายยังเรียกเขาอย่างนอบน้อมว่า ‘คุณชายสวี’

 

 

ห้องรับรองเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่มีความลับ เจ้าหน้าที่จึงขยับนิ้ว ฉายภาพจากกล้องวงจรปิดของห้องรับรองทุกภาพ

 

 

สวีเหยากวงชี้ไปที่ภาพจากกล้องวงจรปิดของประตูห้องอาจารย์เว่ยทันที พูดเสียงเรียบว่า “กล้องนี้แหละ ขยายใหญ่”

 

 

เจ้าหน้าที่พยักหน้า เปิดไฟล์นี้ทันที เริ่มฉายวิดีโอตามระยะเวลาที่สวีเหยากวงบอก

 

 

มือที่ยันโต๊ะของสวีเหยากวงเกร็งเล็กน้อย มองภาพจากกล้องวงจรปิดอย่างไม่ละสายตา