ในที่แห่งนั้นเฟเรสจะได้เลือกตัวเหล่าผู้มีความสามารถอันยอดเยี่ยม เก่งกาจ แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลมากมายหลายคนทีเดียว

 

อีกอย่างอะคาเดมียังเป็นสถานที่ที่จักรพรรดินีเอื้อมมือออกไปแตะไม่ได้

 

อย่างน้อยข้างในนั้นก็ยังมีกฎระเบียบอันแสนเข้มงวดระดับสูงกฎอื่นนอกเหนือจากราชโองการของจักรพรรดิของอาณาจักรอยู่ และพวกนักเรียนต่างก็ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากกฎระเบียบที่ว่า

 

พอลองคำนึงถึงเหตุผลต่างๆ นานาดูแล้ว ยังไงเฟเรสก็จะต้องเข้าศึกษาที่อะคาเดมีให้ได้

 

“มีเหตุผลอะไรพิเศษหรือเปล่า เหตุผลที่ไม่อยากไปอะคาเดมีน่ะ”

 

“เรื่องนั้น…”

 

เฟเรสตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เอาแต่จ้องตาเธอ

 

นัยน์ตาสีแดงดั่งทับทิมคู่นั้นสะท้อนแสงส่องประกาย

 

“ก็แค่”

 

ท่าทางคงจะไม่อยากบอกเหตุผลสินะ

 

มันเป็นปฏิกิริยาที่ไม่สมกับเป็นเด็กหนุ่มผู้ซื่อตรงในทุกๆ เรื่องเลยสักนิด แต่คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนั้นบ้างอยู่แล้วนี่นะ

 

“ลองคิดดูให้ดีๆ สักครั้งเถอะ”

 

เธอไม่ได้ผลักไสเขา ไม่ได้รบเร้าสั่งให้เขา ‘ต้องไปอะคาเดมี’

 

“…อื้อ”

 

เด็กนี่เพียงแค่พยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่อาจรู้ความคิดในใจได้อีกแล้ว

 

[…อา อา แด่นางผู้เป็นที่รัก

 

อา อา นางผู้เป็นที่รักและเคารพ

 

ชีวิตของข้า แสงสว่างของข้า นางผู้เป็นหัวใจของข้า!

 

เพียงแค่คิดถึงเจ้าพระอาทิตย์ของข้าก็สว่างไสว ดวงดาวเปล่งประกายทอแสง คุณผู้แสนงดงาม

 

ได้โปรดอย่าลืมเลือนความรักนี้

 

วันนี้ที่พวกเราได้สนุกร่วมกัน

 

ได้โปรดอย่าลืมมัน]

 

แปะ แปะ แปะ!

 

ถึงกับมีการแสดงอวยพรวันเกิดจากจูเลียตต้า อาบีโน่ นักร้องโอเปร่าที่ขายดิบขายดีจนตั๋วหมดทุกวันเลยเหรอเนี่ย

 

พวกชนชั้นสูงต่างก็ปรบมือ ในขณะที่อ้าปากค้างด้วยความตกใจกับความหรูหราเกินคาด

 

ต่อให้เป็นหลานสาวของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ต่อให้เป็นบุตรสาวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดียก็เถอะ แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินได้เห็นงานวันเกิดของเด็กอายุสิบเอ็ดปีที่ไหนที่จะยิ่งใหญ่อลังการเท่านี้มาก่อนเลย

 

“ได้ยินว่าจูเลียตต้า อาบีโน่ ได้รับการสนับสนุนจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันด้วยนะ”

 

ใครบางคนกระซิบกระซาบในขณะที่มองเสื้อผ้าที่ใช้ในการแสดงของจูเลียตต้าที่หรูหรามากเสียจนดูงดงามยิ่งกว่าเดรสสั่งตัดชุดไหนๆ

 

“ไม่ใช่การสนับสนุนจากร้านขายเสื้อผ้า แต่ได้ยินว่าเป็นการสนับสนุนจากแคลอฮัน ลอมบาร์เดียเลยนะคะ เห็นว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น…”

 

“ต๊าย จริงเหรอคะ”

 

“ทั้งคุณจูเลียตต้า ทั้งเจ้าชายลำดับที่สองก็ด้วย ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นเรื่องจริงนะคะ ไม่ว่าแคลอฮัน ลอมบาร์เดียจะยื่นมือไปที่ใด ก็ประสบความสำเร็จทุกอย่างเลยจริงๆ ค่ะ”

 

“ก็นะ ที่เขตแดนเซอเชาว์ก็เหมือนกัน เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วแต่ละเดือนจ่ายภาษีตั้งหลายเท่าตัวเลยนะคะ”

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แล้วละ สงสัยจะต้องคาดการณ์ให้ดีแล้วว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนถัดไป”

 

“ปัญหาคือบุตรคนแรกหรือคนที่สามนี่แหละค่ะ”

 

ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

 

“ทางราชวงศ์เองก็เหมือนจะเริ่มเลือกข้างกันแล้วนะครับ…”

 

สายตาของเหล่าชนชั้นสูงที่สนทนากันอยู่มองไปยังเจ้าชายลำดับที่สองเฟเรส

 

“แต่ถึงยังไง จะเอาชนะเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย ที่มีตระกูลอังเกนัสฝ่ายภริยาให้การสนับสนุนได้เหรอครับ”

 

“นั่นสิ…”

 

หลายคนเห็นด้วยอีกครั้ง

 

ถึงช่วงนี้แคลอฮันจะแสดงออกให้เห็นถึงความชาญฉลาดและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่อาจเมินเบเจอร์ที่เป็นบุตรชายคนโตได้อยู่ดี

 

“อีกอย่างแคลอฮัน ลอมบาร์เดียเองก็ไม่มีบุตรชายที่จะสืบทอดตระกูลต่อไม่ใช่หรือครับ ถึงแม้จะยังหนุ่ม อาจจะมีโอกาสมีบุตรเพิ่มก็เถอะ แต่ว่า…”

 

“แต่ได้ยินว่าบุตรสาวของท่านแคลอฮันก็ได้รับความเอ็นดูจากเจ้าตระกูลเป็นพิเศษเลยนะคะ”

 

“ต่อให้ได้รับความเอ็นดูแค่ไหน ผู้หญิงก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดีนั่นแหละครับ”

 

น่าเศร้า แต่มันเป็นคำพูดที่ถูกต้อง

 

“ก็จริงค่ะ แต่ว่า…”

 

ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งในฝูงชนก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งพลางพูดขึ้น

 

“จนถึงตอนนี้ ยังมีผู้สืบทอดคนไหนที่รูลลัก ลอมบาร์เดียรักและเอ็นดูขนาดนั้นอีกเหรอคะ”

 

ตรงบริเวณนั้นมีฟีเรนเทียที่ตะโกนเรียก ‘ท่านปู่’ แล้ววิ่งกระโจนเข้าไปสวมกอด กับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่ระเบิดเสียงหัวเราะดัง ‘ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!’ ทั้งยังฉีกยิ้มจนถึงใบหูในขณะที่กอดหลานสาวเอาไว้แน่น

 

“เฮ้อ จริงๆ เลย…”

 

พวกเขาจะต้องเลือกยืนอยู่ข้างฝ่ายไหนกันแน่

 

ความกังวลของเหล่าชนชั้นสูงที่มองภาพรูลลัก ลอมบาร์เดีย ที่กลายเป็นคนหลงหลานสาวไปเสียแล้วนั่น มีแต่จะครุ่นคิดกันหนักมากขึ้นไปอีก

 

พรึ่บ

 

ไม่ต้องให้ใครปลุก นัยน์ตาทั้งสองข้างก็เปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

 

ฟีเรนเทียได้ยินเสียงนกร้องดังจิ๊บ จิ๊บมาจากด้านนอก สายลมเย็นสดชื่น ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่ง

 

เป็นเช้าที่เพอร์เฟ็กต์จริงๆ

 

อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งเนื้อแต่งตัว กินอาหารเช้าง่ายๆ ชีวิตประจำวันยามเช้าดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีสะดุด เหมือนกับสายน้ำที่ไหลริน

 

ลอรีลเอ่ยถามเธอในขณะที่ช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าของเธอที่ยืนอยู่หน้ากระจกเป็นครั้งสุดท้าย

 

“วันแรกของอิสระที่เฝ้ารอคอยมาตลอด วันนี้จะทำอะไรเหรอคะ”

 

“อืม ก่อนอื่น…”

 

เธอเดินเข้าไปข้างเตียง หยิบเอาถุงเงินที่เก็บรักษาไว้อย่างหวงแหนในลิ้นชักออกมา

 

กรุ๊งกริ๊ง

 

เสียงที่ฟังแค่ครั้งเดียว ไม่ว่าใครก็รู้แล้วว่าข้างในถุงนั่นคืออะไรดังขึ้น

 

เธอเอ่ยพูดในขณะที่ยกยิ้มด้วยความพอใจในน้ำหนักของเงินที่อยู่เต็มกระเป๋าเงิน

 

“ต้องใช้เงินค่าขนมที่เก็บมาตลอดเสียหน่อย”

 

วันแรกมันก็ต้องช็อปปิ้งแน่นอนอยู่แล้วสิ