“นี่เก็บมานานแค่ไหนแล้วคะเนี่ย”

 

ลอรีลเดินเข้ามาใกล้ ถือถุงเงินค่าขนมของเธอ ในขณะเดียวกันก็ชั่งน้ำหนักพลางคาดเดาไปด้วย

 

ไม่รู้สิ ตั้งแต่ที่ย้อนเวลากลับมาเลยมั้ง

 

“เงินค่าขนมของข้าส่วนใหญ่ก็เข้าธนาคารลอมบาร์เดีย นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเองนะ”

 

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ ถ้าคิดถึงเงินค่าขนมของคุณหนูแล้ว…”

 

ลอรีลคลายเชือกผูกถุงเงินออก มองเช็กของข้างใน แล้วก็ต้องหยุดชะงัก

 

“คุณหนู?”

 

“หืม?”

 

“คิดจะถือเงินไปทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ”

 

ลอรีลถอนหายใจเสียงแผ่ว

 

บางทีคงจะคิดว่าเธอไม่ได้รู้ว่าสถานการณ์นอกคฤหาสน์เป็นยังไงบ้าง ถึงได้คิดจะเอาเงินไปเยอะจนน่าขำละมั้ง

 

“เอาไปแค่ครึ่งของครึ่งของเงินในถุงเงินนี่ก็…”

 

“ไม่ ต้องใช้ทั้งหมดนั่นเลย”

 

“แต่คุณหนูคะ เงินเท่านี้มัน”

 

“ข้ารู้ เงินเท่านี้ซื้ออาคารในเมืองลอมบาร์เดียได้เลยใช่มั้ยล่ะ ข้ารู้หรอกน่ะ”

 

คำพูดของเธอทำให้สีหน้าของลอรีลยิ่งดูงุนงงมากเข้าไปใหญ่

 

“รู้เรื่องพวกนั้นได้ยังไงคะเนี่ย”

 

“ทุกอย่างมันก็มีวิธีทั้งนั้นแหละ”

 

เห็นแบบนี้เธอเองก็มีประสบการณ์อาศัยอยู่นอกคฤหาสน์ตั้งหลายปีเชียวนะ

 

“เอาเป็นว่าจำเป็นทั้งหมดนั่นแหละ เอาไปให้หมดเลย”

 

“ถ้าจะซื้อเดรสกับอัญมณี เราใช้ตั๋วเงินลอมบาร์เดียเป็นยังไงคะ ไม่จำเป็นต้องพกเอาเงินสดติดตัวไปเยอะขนาดนี้เลย…”

 

“ข้าไม่เคยบอกสักหน่อยว่าจะซื้อเดรสกับอัญมณี”

 

ฟีเรนเทียส่งยิ้มบอกลอรีลให้เลิกกังวลได้แล้ว แต่ลอรีลก็ยังคงได้แต่เอียงคอด้วยความสับสน เมื่อยังไม่อาจคาดเดาความตั้งใจที่แท้จริงของเธอได้อยู่ดี

 

“ในที่สุดก็ได้ออกมาเสียที”

 

ฟีเรนเทียใส่เสื้อผ้าสำเร็จรูปจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันโดยไม่ตกแต่งอะไรเพิ่มเติม แล้วขึ้นรถม้านั่งออกมาจากคฤหาสน์

 

ที่ผ่านมาเคยนั่งรถม้าเข้าวังไปพร้อมกับท่านพ่อหรือท่านปู่บ้างก็จริง แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาคนเดียวแบบนี้

 

ไม่สิ ไม่ใช่คนเดียว

 

“ในที่สุดวันที่ได้ออกมาข้างนอกพร้อมคุณหนูก็มาถึงแล้วเหรอเนี่ย!”

 

เธอมากับลอรีลที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าเธอเสียอีก

 

“ก่อนอื่นเราไปจัตุรัสลอมบาร์เดียกันเถอะ”

 

พอลอรีลถ่ายทอดคำสั่งของเธอให้แก่สารถี รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ

 

ทัศนียภาพคุ้นเคยนอกหน้าต่างเริ่มผ่านหน้าผ่านตาไปเรื่อยๆ

 

จากคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย วิ่งออกมาตามถนนผ่านไปได้ไม่นาน ก็มาถึงจัตุรัสซึ่งเป็นสถานที่ปลายทางที่แรกของพวกเราในวันนี้

 

“คุณหนู ก้าวลงมาระวังๆ นะคะ!”

 

ลอรีลเป็นฝ่ายก้าวลงไปก่อน แล้วหันมาช่วยประคองมือของเธอเอาไว้

 

“ว้าว”

 

ความรู้สึกยามได้เดินในจัตุรัสที่ไม่ได้แวะมาเสียนาน มันให้ความรู้สึกดีกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย

 

“สวยจัง”

 

ทั้งจัตุรัสที่ผู้คนเดินไปเดินมาอย่างยุ่งวุ่นวาย ทั้งอนุสรณ์ผู้ก่อตั้งลอมบาร์เดียที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ทุกอย่างมันดูยิ่งใหญ่กว่าในความทรงจำของเธอมากเหลือเกิน

 

อันที่จริงเทียบกับคฤหาสน์ลอมบาร์เดียที่ทั้งเงียบทั้งเป็นระเบียบแล้ว มันไม่ใช่ทัศนียภาพที่สวยงามอะไรขนาดนั้นหรอกแต่รถม้ามากมายที่ขับเคลื่อนผ่านไปผ่านมา ฝุ่นดินตลบคลุ้ง เสียงผู้คนมากมายที่ส่งเสียงพูดคุยจอแจ มันให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา

 

ฟีเรนเทียสูดอากาศในจัตุรัสที่ยุ่งวุ่นวายเข้าลึกเต็มปอดพลางพูดขึ้น

 

“พวกเราไปทางนั้นกันเถอะ”

 

เธอจับมือของลอรีล ลากไปยังถนนอีกฝั่งของจัตุรัส

 

“ทางนั้นมีอะไรเหรอคะ คุณหนู”

 

“อื้อ ร้านขนมปังที่อร่อยที่สุดในโลกไง”

 

พวกเราหลบจากถนนใหญ่ เดินเข้าไปในซอยโน้นซอยนี้อย่างคุ้นเคย

 

ลอรีลเอาแต่มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกทึ่ง ในขณะที่พร่ำบอกว่านางเพิ่งเคยมาทางด้านนี้เป็นครั้งแรก

 

พอเลี้ยวผ่านหัวมุมถนนไปก็เห็นอาคารที่เธอเคยเช่าอาศัยอยู่

 

ห้องเล็กๆ บนชั้นสองของอาคารเก่าๆ นั่นคือบ้านของเธอ

 

บางทีตอนนี้คงจะมีใครคนอื่นงีบหลับทุกคืนด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า เพื่อที่จะได้มีแรงไว้ใช้ชีวิตต่อในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้

 

และข้างหน้าอาคารที่ว่านั่นก็มีร้านขนมปังที่เธอมักจะแวะซื้อขนมปังอบสดใหม่ทุกเช้าตั้งอยู่

 

เธอปล่อยมือของลอรีล รีบวิ่งเข้าไปเมื่อไม่อาจอดทนต่อกลิ่นหอมหวานของขนมปังอบใหม่ได้อีก

 

มองไปเห็นป้าเพอรี่ที่กำลังจัดวางขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จออกมาพอดี

 

ใบหน้าดูอ่อนวัยกว่าในความทรงจำของเธอมาก แต่ยังคงเป็นใบหน้าที่อ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนเคย

 

“สวัสดีค่ะ คุณป้า!”

 

“หืม? โอ้ สวัสดีจ้ะ เด็กน้อยเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเลยนะ ย้ายมาอยู่แถวนี้เหรอ”

 

ตอนที่เธอโดนขับไล่จากคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย แล้วดั้นด้นมาถึงที่นี่โดยมีกระเป๋าเพียงแค่ใบเดียวเป็นครั้งแรก ป้าเพอรี่ก็ต้อนรับเธอด้วยคำพูดเช่นนี้เหมือนกัน

 

ยิ้มด้วยความยินดีราวกับได้พบกับคนที่ต่อไปในอนาคตจะกลายมาเป็นเพื่อนบ้านกัน

 

“ข้าเทียค่ะ!”

 

“จ้า เทีย เรียกข้าว่าป้าเพอรี่ก็ได้นะ วันนี้เอาขนมปังอะไรดีล่ะ”

 

อา ในที่สุดก็จะได้กินไอ้นั่นแล้ว!

 

หัวใจเต้นตึ้กตั้ก

 

“ข้าเอาแซนด์วิชบาแก็ตต์สองชิ้นค่ะ!”

 

“แหม ไปได้ยินมาว่าเมนูพิเศษของบ้านเราอร่อยนี่เองสินะจ๊ะ?”

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอคิดถึงแซนด์วิชที่ไม่มีอยู่ในเมนู และมีแต่คนในละแวกนี้ที่มักจะแวะซื้อกินกันเป็นประจำมากจริงๆ

 

“คุณหนู! วิ่งมาคนเดียวแบบนั้นได้ยังไงคะ!”

 

ลอรีลที่เพิ่งวิ่งตามหลังมาเอ่ยพูดทั้งๆ ที่ยังหอบแฮก

 

“คุณหนู?”

 

ป้าเพอรี่มองเธอสลับกับลอรีลด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง

 

อ่า นี่มันช่าง

 

“พี่สะใภ้ของข้าเองค่ะ! พอดีมีพี่ชายที่อายุห่างกันค่อนข้างมาก…ฮ่าๆ เรียกชื่อตามสบายเถอะนะคะ แหม”

 

“โอ้ว น้องเล็กของบ้านนี่เอง! ก็ว่าดูเป็นเด็กที่ได้รับความรักมากมายทีเดียวเชียว! เอ้า นี่จ้ะ”

 

เธอถือแซนด์วิชที่ผ่าขนมปังบาแก็ตต์ก้อนหนาซึ่งเหลือจากการขายเมื่อวาน ยัดไส้แฮมทั่วไปที่หาได้จากตลาดใกล้ๆ กับชีสเยิ้มๆ เอาไว้ในมือทั้งสองข้าง

 

“อา กลิ่นหอมจัง”

 

มันเป็นแค่แซนด์วิชราคาถูกที่เทียบไม่ได้กับอาหารที่กินในคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย แต่เธอก็ยังโหยหามันมากเหลือเกิน

 

“ลาก่อนค่ะ!”

 

“จ้า ไว้มาอีกนะจ๊ะ!”

 

ป้าเพอรี่ยิ้มพลางโบกมือให้

 

เดินห่างออกมาไม่กี่ก้าว ลอรีลก็กระซิบข้างหูเธอ

 

“คุณหนู ทานอาหารแบบนี้แล้วเดี๋ยวท้องเสียเข้าจะทำยังไงล่ะคะ”

 

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่ะ ลองกินดูสิ ลอรีล มันอร่อยจริงๆ นะ”

 

เธออ้าปากกว้างกัดมันคำโตด้วยความกระหาย

 

“อื้ม รสชาตินี้แหละ”

 

กินแซนด์วิชฝีมือป้าเพอรี่ไปพลางเดินไปตามถนนเนี่ย!

 

คิดถึงจัง!