ลอรีลดูลังเลเล็กน้อย ในเมื่อนางเป็นคุณหนูชั้นสูงจากตระกูลดิลลาร์ดก็คงจะไม่เข้าใจพฤติกรรมของเธออยู่แล้วละ

 

ก็นะ การเดินไปกินไปแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยคุณหนูชั้นสูงอยู่แล้ว

 

ต่อให้เป็นลอรีลที่ดูสบายๆ กว่าใครๆ ก็เถอะ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่นางไม่เคยลองทำมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียวอยู่ดี

 

“ถ้าไม่กิน งั้นเอามาให้ข้าเถอะ”

 

ลองสิ ลอง

 

คำพูดของเธอทำให้ลอรีลตรวจเช็กดูให้แน่ใจว่ารอบๆ ไม่มีใครเดินผ่านไปมา ก่อนจะกัดหนึ่งคำอย่างระมัดระวัง

 

“…โอ้!”

 

“อร่อยใช่มั้ยล่ะ”

 

“ค่ะ! ว้าว อร่อยจริงๆ นะคะ!”

 

กินคำที่สองคำที่สามต่อไม่หยุด ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่

 

ฟีเรนเทียมองภาพนั้นด้วยความพอใจ ในขณะเดียวกันก็เริ่มกินแซนด์วิชต่อ

 

อา รสชาติหวานเค็มกลมกล่อม! อร่อยจัง!

 

“คงต้องแวะไปร้านนั้นบ่อยๆ แล้วละค่ะ!”

 

ลอรีลเอ่ยพูดกะพริบตาปริบๆ นัยน์ตาเป็นประกาย

 

เธอฉวยโอกาสที่ลอรีลกำลังกินแซนด์วิชอย่างไร้สติ เดินต่อไปยังเป้าหมายถัดไปอย่างเป็นธรรมชาติ

 

มันคือตลาดในเมืองลอมบาร์เดียที่มีผู้คนมากมายส่งเสียงดังโหวกเหวก

 

เธอไม่ได้เดินไปยังใจกลางตลาดที่มีผู้คนมากมายซื้อขายผลไม้ อาหาร เครื่องใช้ในครัวเรือน และของอื่นๆ อีกมากมายกันอย่างยุ่งวุ่นวายแต่ค่อยๆ เบี่ยงเส้นทางไปทีละนิด จนในที่สุดก็มาถึงย่านการค้าเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ข้างๆ

 

บนถนนที่ให้ความรู้สึกเป็นระเบียบกว่าตลาดเล็กน้อย มองตรงไปเห็นตึกสีเขียวเข้มตั้งเด่นตระหง่านอยู่

 

อาคารหลังนั้นคือ ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันที่เพิ่งเปิดสาขาที่สองในเมืองลอมบาร์เดียนั่นเอง

 

“จะไปร้านขายเสื้อผ้าเหรอคะ”

 

“อื้อ เพิ่งเปิดใหม่ทั้งที ก็ว่าจะลองไปเที่ยวดูสักหน่อย”

 

เธอออกปากสั่งลอรีล ในขณะที่มองร้านขายเสื้อผ้าที่มีผู้คนเดินเข้าออกตลอดเวลาไม่ขาดสาย

 

“ข้ามีเรื่องให้ตรวจสอบดูสักครู่หนึ่ง แยกกันเข้าไปเถอะ แล้วก็อย่าเรียกชื่อข้าให้คนอื่นๆ รู้ล่ะ เข้าใจมั้ย”

 

“ค่ะ คุณหนู…”

 

พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นภายในร้านขายเสื้อผ้าที่ถูกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ

 

หน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง

 

เคยได้ยินแต่เครย์ลีบันพูดถึง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง

 

ร้านขายเสื้อผ้าให้บรรยากาศใกล้เคียงกับ ‘ร้านเสื้อผ้า’ ที่เธอรู้จักมากทีเดียว

 

ชั้นหนึ่งเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง ชั้นสองเป็นเสื้อผ้าผู้ชาย

 

เธอลงมือตรวจสอบสิ่งที่เธอเคยได้รับแต่ทางรายงานมาโดยตลอดทีละอย่างด้วยตัวเอง

 

พวกพนักงานร้านขายเสื้อผ้าตามประกบลอรีลที่มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคุณหนูชั้นสูงในทันที แต่ไม่มีใครสนใจเธอที่เป็นแค่เด็กทั้งยังมาคนเดียวเลยสักคน

 

“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้า มาคนเดียวเหรอคะ”

 

แต่แล้วในตอนที่เธอรู้สึกผิดหวังกับสกิลในการต้อนรับลูกค้าของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน

 

น้ำเสียงเป็นมิตรก็เอ่ยกับเธอ

 

นางเป็นหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วง ผมสีดำ

 

“ไม่ได้มาคนเดียวค่ะ กำลังรอพ่ออยู่”

 

“โอ้ อย่างนั้นนี่เอง งั้นถ้ามีอะไรต้องการก็เรียกได้ตลอดเลยนะคะ”

 

ผู้หญิงคนนั้นส่งยิ้มให้เธอ ก่อนจะปลีกตัวออกไปเริ่มสนทนาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกับลูกค้าท่านอื่น

 

ฟีเรนเทียแสร้งทำเป็นดูเสื้อผ้า ในขณะที่ลอบสังเกตพนักงานที่ทำงานในร้านขายเสื้อผ้ารวมถึงผู้หญิงคนนั้นไปด้วยและในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขึ้น

 

“ไม่สิ ก็บอกแล้วไงว่าเพิ่งซื้อไปได้ไม่นานเองน่ะ?”

 

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเถียงเรื่องอะไรบางอย่างกับพนักงานด้วยใบหน้าขุ่นเคือง

 

“ทำไมถึงไม่เชื่อที่คนอื่นเขาพูด แล้วทำตัวแบบนี้กันล่ะเนี่ย”

 

ตรงหน้าชายคนนั้นมีชุดเดรสสีน้ำเงินประมาณสิบตัววางกองสุมอยู่ ท่าทางจะเป็นคนที่มาเพื่อขอเงินคืน

 

“กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าคนจากตระกูลลีบาตินเป็นพวกขี้โกหก จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย”

 

ชายวัยกลางคนคนนั้นเชิดหน้าขึ้น ในขณะที่พูดจายกตนข่มคนอื่น

 

พอสายตาของผู้คนรอบข้างเริ่มมองมา พนักงานร้านขายเสื้อผ้าก็ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้

 

“ไม่ใช่แบบนั้น…ขออภัยค่ะ จะทำการคืนเงินให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”

 

“ก็น่าจะทำแบบนั้นแต่แรก!”

 

เธอรู้สึกได้ว่าใบหน้าของชายคนนั้นที่กำลังยิ้มอยู่นั่นมันมีอะไรบางอย่างแอบแฝง

 

มันแปลกชอบกล

 

แต่แล้วในตอนท้ายพนักงานคนนั้นตั้งใจจะหยิบตั๋วเงินเท่าราคาเสื้อผ้าพวกนั้นส่งให้ชายคนนั้น

 

“ขอเสียมารยาทสักครู่นะคะ”

 

ผู้หญิงคนที่เข้ามาทักเธอเมื่อครู่เดินเข้าไปแทรกข้างหน้าพนักงานคนนั้นอย่างนุ่มนวล ในขณะที่ฉีกยิ้มกว้าง

 

“สวัสดีค่ะ ข้าชื่อไวโอเล็ตเป็นผู้ดูแลสาขาใหญ่ลอมบาร์เดียค่ะ เห็นว่ามาจากตระกูลลีบาตินใช่มั้ยคะ”

 

“ชะ…ใช่แล้วทำไม”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นคุณพ่อบ้านจากตระกูลลีบาตินสินะคะ”

 

“อะแฮ่ม ตั้งใจจะไม่เผยตัวแท้ๆ ถูกต้องแล้ว”

 

ชายคนนั้นขมวดคิ้วแน่น พูดข่มเสียงดัง

 

“ที่ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันของทางเราออกเอกสารที่เรียกว่า ‘ใบเสร็จ’ ให้ทุกครั้งที่มีการซื้อขายค่ะ ต่อให้ซื้อแค่ถุงมือคู่เดียวก็ออกให้เช่นกัน เมื่อครู่นี้บอกว่าต้องการคืนของสิบชุดจากเสื้อผ้าที่ซื้อไปทั้งหมดสี่สิบตัว ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอรบกวนให้แสดงใบเสร็จของเสื้อผ้าสี่สิบตัวที่ว่านั่นด้วยนะคะ”

 

“เรื่องแบบนั้นเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก…”

 

“หากเป็นคุณพ่อบ้าน น่าจะทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วนี่คะ”

 

ถึงแม้จะยังยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มของไวโอเล็ตกลับดูอำมหิตมาก

 

ชายคนนั้นสะดุ้งตกใจเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพลาดไปเสียแล้ว ก่อนที่จะรีบร้อนอธิบายด้วยความร้อนรน

 

“ตะ…ตระกูลของเราเพิ่งทำการค้ากับทางร้านขายเสื้อผ้าเป็นครั้งแรกก็เลย…”

 

“หากเป็นตระกูลลีบาตินที่กล่าวมา ทางตระกูลมาซื้อของกับพวกเราที่สาขาใหญ่ ไม่ใช่ที่นี่ได้สามครั้งแล้วค่ะ ทุกครั้งข้าเป็นคนดูแลเอง แต่ขออภัยด้วยนะคะ ข้าไม่เคยเห็นหน้าคุณลูกค้าแม้แต่ครั้งเดียวเลยค่ะ รบกวนขอทราบนามของลูกค้าได้มั้ยคะ”

 

“ขะ…ข้าน่ะ…ฮึ่ย!”

 

ชายคนนั้นกัดฟันกรอด จ้องไวโอเล็ตเขม็ง ก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปจากร้านขายเสื้อผ้า

 

“ฮู่ว…”

 

ไวโอเล็ตถอนหายใจเสียงค่อย เพียงครู่เดียวก็กลับมามีใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิมนางเอ่ยขอโทษบรรดาลูกค้าที่อยู่ในร้าน

 

“ผู้จัดการ ขอโทษค่ะ…”

 

พนักงานคนที่เกือบถูกผู้ชายคนนั้นหลอกให้หยิบเงินให้เดินเข้ามาพูดกับไวโอเล็ต

 

“ไม่เป็นไร แต่ตั้งแต่ครั้งหน้าต้องตรวจสอบใบเสร็จด้วยล่ะ และข้อมูลของตระกูลที่มาซื้อบ่อยๆ ก็ต้องจำไว้ด้วยนะ ลืมไปแล้วหรือไงที่เมื่อไม่นานมานี้ตระกูลลีบาตินเพิ่งถูกขโมยขึ้นคฤหาสน์น่ะ”

 

“อ๊า! มีเรื่องแบบนั้นจริงๆ ด้วย ใช่แล้ว…”

 

เธอลอบยิ้มในใจในขณะที่มองไวโอเล็ตตบไหล่ให้กำลังใจพนักงานที่เกือบจะร้องไห้ออกมารอมร่ออยู่แล้ว

 

ดีละ ถ้าเป็นคนคนนี้น่าจะใช้ได้

 

แต่แล้วในตอนที่เธอกำลังยืนยิ้มอยู่ด้วยความพอใจ

 

ไวโอเล็ตที่ออกไปตรวจเช็กด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงรถม้าจอด ก็เดินเข้ามาย่อกายปรับระดับสายตาให้เข้ากับเธอ แล้วพูดขึ้น

 

“ท่านแคลอฮันมาถึงแล้วค่ะ คุณหนูฟีเรนเทีย”