“ทราบด้วยเหรอคะ…ว่าเป็นข้า”

 

“ไม่เคยพบตัวจริงหรอกค่ะ แต่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณหนูมากมายทีเดียวค่ะ เมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะไม่อยากเปิดเผยตัว ก็เลยต้องเสียมารยาทแล้วค่ะ คุณหนู”

 

มองออกทะลุปรุโปร่งหมดเลย!

 

ว่าแล้วเชียว สมกับเป็นไวโอเล็ตจริงๆ

 

ฟีเรนเทียยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับมือทักทายไวโอเล็ต

 

“ยินดีที่ได้พบค่ะ ไวโอเล็ต”

 

“ทราบชื่อของข้าด้วยเหรอคะ”

 

ไวโอเล็ตเบิกตากว้าง

 

“ได้ยินเมื่อครู่นี้ และข้าก็เป็นพวกชอบจำเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเรื่องของร้านขายเสื้อผ้าน่ะค่ะ”

 

“ตายจริง…”

 

ไวโอเล็ตหัวเราะเล็กน้อยแต่แววตาแหลมคมกำลังพยายามอ่านความคิดของเธอโดยไม่คิดหยุดพัก

 

คนคนนี้คือมือรองของกลุ่มการค้าเพลเลส หรือมือขวาของเครย์ลีบันในชีวิตก่อนนั่นเอง

 

ความอัจฉริยะของเครย์ลีบันเป็นส่วนสำคัญในการทำให้กลุ่มการค้าเพลเลสเติบโตขึ้นอย่างประสบความสำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ ก็จริง แต่ก็ไม่อาจขาดความละเอียดรอบคอบในการทำธุรกิจของไวโอเล็ตไปได้เลย

 

หากเครย์ลีบันเป็นหัวเรือผู้นำพากิจการให้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ไวโอเล็ตก็เป็นคนต้นหนคอยตรวจเช็กและสังเกตการณ์ทุกสิ่งอย่างรอบคอบอยู่เบื้องหลัง ช่างเป็นคู่ดูโอ้ในฝันจริงๆ

 

หากไม่มีคนที่ชื่อไวโอเล็ต ลิปเป้คนนี้ ก็คงจะไม่มี ‘ร้านค้าเพลเลส’ ที่รุ่งโรจน์อย่างรวดเร็วเหมือนดาวหาง

 

ดูจากท่าทางยามจัดการงานเมื่อครู่นี้แล้ว เธอคงไม่ต้องเป็นกังวลแล้วที่ไวโอเล็ตคนนี้ยังอ่อนวัยกว่าในสมัยนั้นอยู่มาก

 

ท่านปู่เองก็รู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ เวลาที่ได้เห็นคนมีความสามารถเช่นนี้

 

เธอยิ้มกว้าง ในขณะที่ยังคงมองตรงไปที่ไวโอเล็ต

 

“เทีย?”

 

ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอ

 

เป็นท่านพ่อที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าพอดี

 

“พ่อ!”

 

พอเธอวิ่งกระโจนเข้าไปกอด ท่านพ่อก็เบิกตากว้างด้วยใบหน้างุนงง

 

“เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง…”

 

“ตั้งแต่วันนี้ข้าเองก็ออกมาเที่ยวข้างนอกได้แล้วนี่คะ!”

 

“ใช่ ใช่แล้ว…”

 

ท่านพ่อลูบหลังเธอไปพลางหัวเราะเสียงสั่นเครือ

 

“ได้มีวันที่บังเอิญพบกับเทียข้างนอกเช่นนี้…”

 

เสียงพึมพำของท่านพ่อเจือเสียงสะอื้นไห้ ท่าทางคงจะรู้สึกตื้นตันใจน่าดูที่ได้เห็นลูกสาวเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว

 

ท่านพ่อของเธอนี่จริงๆ เลยเชียว

 

“รู้ได้ยังไงว่าพ่ออยู่ที่นี่”

 

ปกติท่านพ่อจะทำงานอยู่ที่ห้องทำงานในสาขาใหญ่ของลอมบาร์เดีย หรือไม่ก็สาขาย่อยในเมืองหลวง

 

ที่นี่เป็นแค่หนึ่งในสาขาที่ท่านพ่อแวะเวียนมาบ่อยๆ หลังจากเพิ่งเปิดสาขาได้ไม่นาน

 

“คุณเครย์ลีบันบอกน่ะค่ะ!”

 

เครย์ลีบันที่เพิ่งจะถอดเสื้อตัวนอกส่งให้พนักงานร้านขายเสื้อผ้า แล้วเดินเข้ามาถึงกับสะดุ้งเฮือก

 

“คุณเครย์ลีบัน?”

 

เมื่อได้รับสายตาจากท่านพ่อ เครย์ลีบันก็กระแอมไอเสียงดังฮึ่ม ก่อนจะอธิบาย

 

“คุณหนูฟีเรนเทียมาถามตารางงานน่ะครับเห็นบอกว่าอยากจะเซอร์ไพรส์ท่านแคลอฮัน…”

 

“อย่างนั้นนี่เองครับ…ฮ่าฮ่า”

 

“พ่อ พวกเราออกไปข้างนอกกันมั้ยคะ”

 

เธอจับมือท่านพ่อพลางเอ่ยถาม

 

“แบบนั้นก็น่าจะดีนะ”

 

ท่านพ่อหันไปมองรอบๆ ก่อนจะพยักหน้าลง

 

เพราะไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทุกคนในร้านขายเสื้อผ้าต่างก็กำลังมองพวกเราเป็นสายตาเดียวกัน

 

มันไม่ใช่สายตาไม่พอใจว่า ‘ใครมาเอะอะเสียงดังแบบนี้กันเนี่ย’ แต่บรรยากาศนั้นเหมือนกับคนที่บังเอิญได้พบดาราชื่อดังหรือไอดอลในดวงใจ จึงได้แต่กระซิบกระซาบคุยกันด้วยความตกใจ

 

“โชคดีได้เห็นตัวจริงของพ่อลูกแคลอฮันลอมบาร์เดียตัวจริงเหรอเนี่ย!”

 

“ตายแล้ว น่ารักจัง!”

 

“ถ้างั้นผู้ชายที่อยู่ข้างหลังนั่นก็ท่านเครย์ลีบัน เพลเลสใช่มั้ย!”

 

เสียงจอแจจากบทสนทนาของทุกคนเริ่มค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินเรื่องที่พวกนางคุยกันหมดแล้ว

 

“พวกเราออกไปกินอะไรอร่อยๆ กันเถอะค่ะ!”

 

ยังไงก็เป็นช่วงเวลามื้อเที่ยงพอดี คงจะรบกวนงานของท่านพ่อเล็กน้อย แต่พอเธอพูดออกไปแบบนั้น ท่านพ่อกลับยิ้มรับพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย

 

“เอาสิ เทียของพ่ออยากกินอะไรหรือ”

 

จะชวนไปที่ไหนดีล่ะ

 

ลิสต์รายชื่อร้านอร่อยที่เธออยากจะไปหลังจากที่ได้ย้อนเวลากลับมาแวบขึ้นมาในหัวสมองทันที

 

แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่ดูน่าจะชอบกินของเบาๆ อย่างผักหรือผลไม้ ท่านพ่อผู้ชื่นชอบในการกินเนื้อเป็นอย่างมากพึงพอใจในร้านที่เธอแนะนำให้มากทีเดียว

 

ที่นี่คือสถานที่ที่ในชีวิตก่อนพอได้รับเงินเดือนแต่ละเดือน เธอมักจะแวะมากินอาหารตามใจอยาก ถึงแม้จะไม่ใช่สถานที่หรูหราอะไรมากนัก แต่ก็เป็นร้านที่เชี่ยวชาญในการย่างเนื้อด้วยเตาอบ

 

“ไว้มาที่นี่กันอีกนะคะ คุณหนู!”

 

ลอรีลเองก็ดูท่าจะชอบใจมาก

 

แต่ปฏิกิริยาของเครย์ลีบันกลับแปลกไปเล็กน้อย

 

“คุณเครย์ลีบัน พอใช้ได้มั้ยคะ”

 

ฟีเรนเทียถามเครย์ลีบันที่กินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็วางส้อมลง แล้วใช้ผ้าเช็ดปาก

 

หรือว่าเขาจะป่วย

 

“ใช้ได้ครับ แค่รสชาติไม่ค่อยถูกปากข้าเท่านั้นเองครับ”

 

“ท่าน…ไม่สิ คุณเครย์ลีบันดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบกินเนื้อสัตว์นะคะ”

 

ลอรีลเกือบจะเรียก ‘ท่านพี่’ ออกไปด้วยความเคยชิน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอยู่ข้างนอกก็รีบแก้ไขคำพูดทันที

 

“เห?”

 

หน้าตาดูเหมือนชอบกินเนื้อสัตว์นี่นา

 

“หน้าตาเหมือนคนที่จะเคี้ยวสเต๊กเนื้อย่างแบบแรร์ที่มีเลือดไหลเยิ้ม ดื่มไวน์แดงหนึ่งจิบไปพลางหัวเราะเสียงดัง ‘หึ’ อย่างหล่อเหลาแท้ๆ!”

 

“…ตัวอย่างละเอียดเชียวนะครับ แต่ข้าไม่ค่อยชอบกินเนื้อสัตว์เท่าไหร่น่ะครับ”

 

“ข้าเองก็ไม่ทราบเลยนะครับเนี่ย”

 

ท่านพ่อหั่นเนื้อชิ้นโตในขณะที่เอ่ยพูดราวกับช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ

 

“ถ้างั้นชอบอาหารประเภทไหนเป็นหลักเหรอครับ”

 

“สลัดเบาๆ หรือไม่ก็อาหารทะเลน่ะครับ แต่ไม่ค่อยมีภัตตาคารพวกนั้นเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ข้าเลยลงมือทำอาหารเองครับ”

 

“ทำอาหารด้วยเหรอคะ”

 

มีแต่เรื่องน่าตกใจ

 

บรรยากาศดูแล้วน่าจะเป็นคนประเภทที่ในบ้านไม่มีอะไรเลย นอกจากเตียงที่ตั้งโดดเด่นอยู่หลังเดียวแต่คนแบบนั้นกลับลงมือทำอาหารกินด้วยตัวเองที่บ้านเหรอเนี่ย

 

“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ!”

 

เธอสั่งอาหารอีกอย่างจากเมนูอาหาร

 

อาหารทะเลสดใหม่ย่างด้วยความใส่ใจเสิร์ฟพร้อมสลัดผักใบเขียวสดใหม่ นี่ถือเป็นเมนูยอดนิยมอีกเมนูนอกจากอาหารประเภทเนื้อย่างเลยทีเดียว

 

“ว้าว”

 

เครย์ลีบันลองตัดกินหนึ่งคำโดยไม่ได้คาดหวังอะไรนัก แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกตกใจ

 

“อร่อยใช่มั้ยคะ คุณเครย์ลีบัน”

 

“ครับ ขอบคุณที่ใส่ใจนะครับ ท่านฟีเรนเทีย”

 

“ไหนๆ ก็ออกมากินอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา ก็ต้องกินกันให้อร่อยสิคะ!”

 

ได้เห็นเครย์ลีบันลงมือกินอาหารด้วยความเร็วที่แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ ค่อยรู้สึกพอใจหน่อย

 

ฟีเรนเทียยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคาง เฝ้ามองภาพนั้น ก่อนที่จะเปิดประเด็นเมื่อเห็นว่าท่านพ่อใกล้จะกินอาหารหมดแล้ว

 

“พ่อ ยกคุณเครย์ลีบันให้ข้าเถอะนะคะ”

 

“โขลก!”

 

“…แค็ก!”

 

แล้วทำไมทั้งท่านพ่อ ทั้งเครย์ลีบันถึงได้สำลักพร้อมกันเสียได้ล่ะเนี่ย