“พ่อ เป็นอะไรมั้ยคะ คุณเครย์ลีบันก็ด้วย นี่ค่ะ”

 

เธอส่งน้ำให้ทั้งสองคนที่สำลักเสียจนหน้าแดงก่ำไปหมด

 

“เรื่องนั้น แค็กๆ หมายความว่ายังไงกันแน่ เทีย!”

 

ท่านพ่อใช้ผ้าปิดปากในขณะที่ยังคงไอค็อกแค็กไม่หยุดแล้วก็หันไปจ้องเครย์ลีบันด้วยนัยน์ตาดุร้ายไม่สมกับเป็นท่านพ่อเลยสักนิด

 

“คุณเครย์ลีบัน อธิบายมาหน่อยสิครับ”

 

“ไม่สิ ข้า เรื่องนั้น…เข้าใจอะไรกันผิดไป…”

 

เครย์ลีบันเองก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เขาใช้ผ้าที่เช็ดปากขึ้นมาซับเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผาก

 

เธอรีบอธิบายแทรกก่อนที่จะเข้าใจผิดกันไปไกล

 

“ก็อย่างที่บอกเลยค่ะ ต่อไปข้าคงต้องการความช่วยเหลือจากคุณเครย์ลีบัน คุณเครย์ลีบันยื่นใบลาออกให้ท่านปู่แล้วใช่มั้ยคะ”

 

“ครับ ยื่นเมื่อวานครับ”

 

เครย์ลีบันจัดการเรื่องความสัมพันธ์ลูกจ้างนายจ้างกับท่านปู่ตามที่เคยพูดกันไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย

 

ท่านปู่ดูจะตกใจไปเล็กน้อย แต่ได้ยินว่าท่านก็ยังบอกกับเครย์ลีบันว่า ‘ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรจำเป็นก็ให้บอก’ เสียด้วย

 

ท่านพ่อหยุดไอแล้ว ท่านกำลังมองเธอกับเครย์ลีบันด้วยนัยน์ตาจริงจัง

 

“คงจะทำงานควบกับงานที่ร้านขายเสื้อผ้าต่อไปได้อีกสักพักค่ะ แต่ต่อไป…”

 

พอพูดออกไปแล้วก็เริ่มรู้สึกผิดต่อท่านพ่อนิดหน่อยเหมือนกัน

 

แน่นอนว่าการเริ่มต้นทำงานชิ้นใหม่กับเธอ ย่อมเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเครย์ลีบันอย่างแน่นอน แต่ยังไงเขาก็เป็นคนที่ร่วมมือกับท่านพ่อช่วยบริหารกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาด้วยกันจนถึงตอนนี้อยู่ดี

 

“ได้ เอาตามนั้นก็แล้วกันครับ คุณเครย์ลีบัน”

 

แต่คำตอบของท่านพ่อกลับสั้นกระชับและชัดเจน

 

“ตอนนี้ร้านขายเสื้อผ้าก็เริ่มมั่นคงแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เทียคงจะต้องการความช่วยเหลือจากคุณเครย์ลีบันมากกว่าข้าน่ะครับ”

 

ท่านพ่อไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเครย์ลีบันเลยแม้แต่นิดเดียว

 

คงจะแค่คาดคะเนว่า เธออยากจะเริ่มทำงานอะไรสักอย่าง เลยอยากได้ความช่วยเหลือจากเครย์ลีบันเท่านั้น

 

หากลองคำนึงถึงอายุของเธอแล้ว ทางฝั่งเครย์ลีบันก็มีเครดิตดีกว่าจริงๆ แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เธอจะยืมมือเครย์ลีบันให้ช่วยออกหน้า เริ่มทำกิจการหนึ่งขึ้นมา

 

“ต่อไปก็ขอฝากเทียด้วยนะครับ คุณเครย์ลีบัน”

 

พอเห็นท่านพ่อหัวเราะพูดแบบนั้น เครย์ลีบันก็พยักหน้าตกลงอย่างหนักแน่น

 

โล่งอกที่ท่านพ่อบอกว่างานทั้งหมดในวันนี้จบลงแล้ว และที่จริงพวกเขาก็กำลังอยู่ในระหว่างเดินทางกลับสำนักงานเพื่อพักผ่อนกันพอดี

 

ท่านพ่อต้องปรึกษาหารือกับไวโอเล็ตเพิ่มเติมอีกหลายเรื่อง แต่เครย์ลีบันทำงานทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องทำอีก

 

เพราะฉะนั้นเธอก็เลยพาเครย์ลีบันกับลอรีลมุ่งหน้าไปยังสถานที่เป้าหมายแห่งที่สามของเธอ

 

ถนนหลักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันเท่าไหร่นัก แต่มันเป็นสถานที่ที่รถม้ามากมายขับผ่าน ทั้งยังเชื่อมต่อกับถนนอีกสายที่อยู่ห่างออกไปจากตลาดเล็กน้อย

 

เธอพาทั้งสองคนไปยังตึกขนาดสามชั้นที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนน

 

“ที่นี่ใช่มั้ย ลอรีล”

 

“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ เห็นว่าเจ้าของคนก่อนจะรออยู่ที่นี่…อ๊ะ อยู่นั่นค่ะ!”

 

ลอรีลเอ่ยทักทายชายวัยกลางคนคนหนึ่งในขณะที่เดินเข้าไปใกล้

 

“ที่นี่คือที่ไหนเหรอครับ ท่านฟีเรนเทีย”

 

เครย์ลีบันหันไปมองรอบๆ ในขณะที่เอ่ยถามเธอ

 

“เดี๋ยวก็รู้ค่ะ”

 

ชายที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าของคนก่อน’ พาพวกเราเข้าไปยังชั้นหนึ่งของอาคาร ภายในว่างเปล่า ข้าวของถูกเก็บออกไปเรียบร้อยแล้ว มีเพียงแค่โต๊ะตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่

 

แล้วหยิบเอาเอกสารสัญญาแผ่นหนึ่งออกมาจากอ้อมกอด

 

บนใบสัญญานั่นเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกเขียนไว้หมดแล้ว มีที่ว่างเว้นเอาไว้อยู่ไม่กี่ส่วน เหลือเพียงแค่เซ็นชื่อลงไปก็จะถือว่าสัญญาฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์

 

“เอาละ ถ้างั้นเจ้าของตึกคนใหม่ชื่ออะไรครับ”

 

ลอรีลที่ได้รับคำถามหันกลับมามองเธอ

 

“เขียนว่าเครย์ลีบัน เพลเลสค่ะ”

 

“…ท่านฟีเรนเทีย?”

 

ได้ยินเสียงแผ่วเบาของเครย์ลีบันเรียกเธอจากด้านข้าง แต่เธอไม่หันไปมองเขา

 

“เครย์ลีบัน เพลเลส…เอาละ ถ้างั้นก็เขียนเสร็จหมดแล้ว จ่ายเงินที่เหลือ แล้วให้คนชื่อเครย์ลีบันเซ็นชื่อตรงนี้ก็เรียบร้อย”

 

ชายคนนั้นเซ็นชื่อตัวเองลงบนส่วนของเขา แล้ววางปากกาขนนกลง

 

“เงินที่เหลืออยู่นี่ค่ะ”

 

เธอวางถุงเงินที่ถือติดมือมาด้วยลงบนโต๊ะพลางเอ่ยพูด

 

มันคือถุงเงินค่าขนมของเธอที่พกมาจากบ้าน

 

“เงินสดหรือ…ขอนับสักครู่นะ”

 

ในระหว่างที่เจ้าของคนเก่าตรวจนับเหรียญทองที่ใส่อยู่ในถุงเงิน เธอก็หันไปหาเครย์ลีบัน

 

“ตั้งแต่วันนี้ที่นี่จะกลายเป็นสำนักงานของพวกเราค่ะ”

 

“แต่ทำไมถึงใช้ชื่อของข้า…”

 

“ก็อาคารนี้เป็นของเครย์ลีบันนี่คะ”

 

“แต่ว่า…”

 

“ก็ข้าคือลอมบาร์เดีย ถ้าข้าครอบครองอาคารท่านปู่ต้องทราบแน่ค่ะ ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็ตาม อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าของอาคารให้เป็นเครย์ลีบันน่ะถูกต้องแล้วค่ะ”

 

“อย่างนั้นหรือครับ…”

 

“แต่มันเป็นคนละเรื่องกันนะคะ ตึกนี่เป็นของเครย์ลีบันจริงๆ เป็นของขวัญค่ะ ต่อไปก็มาลงมือทำให้ดีกันเถอะนะคะ”

 

เครย์ลีบันได้แต่ยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่

 

ระหว่างนั้นเจ้าของตึกคนเก่าก็นับเหรียญทั้งหมดเสร็จแล้ว เขาตรวจสอบจนแน่ใจว่ายอดเงินที่ค้างไว้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น

 

“เอาละ เครย์ลีบัน เซ็นชื่อเลยค่ะ”

 

เธอส่งปากกาขนนกให้เครย์ลีบัน

 

เครย์ลีบันรับมันมาถือไว้ในมืออยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ยอมลงชื่อของตัวเองอย่างไม่ลังเล

 

“ขอบคุณครับ คุณหนู”

 

เครย์ลีบันโค้งศีรษะให้เธอหลังจากที่เซ็นชื่อเสร็จ

 

เมื่อตกลงทำสัญญาเสร็จสิ้นอย่างน่าพึงพอใจ เจ้าของอาคารคนเก่าก็พับใบสัญญายัดเก็บกลับเข้าไปในอกเสื้อ แล้วหันมาถามพวกเรา

 

“อ๊ะ แล้วตอนข้าไปแจ้งทางการ จะต้องแจ้งชื่อใหม่ของตึกนี้ให้เจ้าหน้าที่เขาทราบด้วยน่ะครับ จะใช้ชื่ออะไรครับ”

 

“ร้านค้าเพลเลสค่ะ”

 

เธอตอบ

 

“ช่วยแจ้งชื่อ ‘ร้านค้าเพลเลส’ ตามนามสกุลของเครย์ลีบัน เพลเลสนะคะ”