วันนี้ก็มีแขกมาเยือนวังจักรพรรดินีเช่นเคย

 

แขกที่ว่าก็คือเจ้าตระกูลอังเกนัสผู้เป็นบิดาของนาง

 

“ว่ายังไงนะคะ”

 

ราวีนี่หันไปจ้องเจ้าตระกูลเขม็ง

 

“จูเลียตต้า อาบีโน่ ร้องเพลงในงานเลี้ยงของลอมบาร์เดียอย่างนั้นเหรอคะ”

 

ผู้หญิงคนนั้นจู่ๆ ก็กลายเป็นดาวรุ่งในฐานะนักร้องโอเปร่า และกลายเป็นคนรักคนใหม่ล่าสุดขององค์จักรพรรดิ ทำให้โทสะของจักรพรรดินีเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ทว่าความจริงที่จูเลียตต้าคนนั้นไปร้องเพลงแสดงความยินดีในงานเลี้ยงของลอมบาร์เดียซึ่งเป็นศัตรูของนาง ทำให้สุดท้ายโทสะที่สั่งสมมาโดยตลอดก็ระเบิดออกมาในที่สุด

 

“กรี๊ดดดด!”

 

จักรพรรดินีกรีดเสียงร้อง เริ่มขว้างปาข้าวของทุกสิ่งที่เห็นในสายตา

 

ทั้งแจกันดอกไม้ที่ทำจากคริสตัล ถ้วยชา หรือแม้แต่กาน้ำชาที่นางกำนัลเพิ่งยกเข้ามาให้เมื่อครู่เองก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

เสียงแหลมเพล้งดังขึ้นหลายสิบครั้ง จนกระทั่งพื้นทั่วห้องรับรองเละเทะไม่มีชิ้นดี จักรพรรดินีถึงได้สงบลง

 

“แฮก แฮก…”

 

เรือนผมที่มัดรวบขึ้นสูงอย่างงดงามหลุดลุ่ยปรกลงมา เส้นผมสั่นไหวไปตามจังหวะเสียงหอบหายใจของจักรพรรดินี

 

“…นังนั่น คงจะเลือกข้างลอมบาร์เดียแล้วสินะคะ”

 

ตุบ

 

จักรพรรดินีนั่งลงบนโซฟาห้องรับรอง นางจิกที่เท้าแขนเก้าอี้แน่นในขณะที่เอ่ยขึ้น

 

“ท่าทางคงจะเริ่มตั้งแต่เลือกที่จะเป็นโมเดลโปรโมตร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันแล้วละพ่ะย่ะค่ะ”

 

“อืม คงจะเป็นเช่นนั้นแหละค่ะ”

 

จักรพรรดินีกัดขยี้ริมฝีปากแน่น

 

ไม่ใช่เพราะจักรพรรดินอกใจนาง

 

อย่างไรตั้งแต่แรกนางกับพระองค์ก็มีความสัมพันธ์กันเช่นนั้นอยู่แล้ว

 

มีคนรักมากมายหลายคนที่แอบลักลอบพบปะกันโดยปิดบังราวีนี่

 

แล้วยังไงนะ อย่างไรนางกับพระองค์ก็เป็นแค่คู่สามีภริยาที่แต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์ จึงไม่ได้มีความสัมพันธ์รักใคร่อะไรกันมากมายขนาดที่จะต้องโมโหกับเรื่องการนอกใจไปมีคนอื่นอยู่แล้ว

 

แต่ถ้าหากเรื่องพวกนั้นทำให้ฐานะในสังคมชั้นสูงของนางต้องด่างพร้อย เรื่องราวย่อมแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

พวกผู้หญิงมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตขององค์จักรพรรดิ ที่ผ่านมาไม่มีใครตั้งตัวเป็นศัตรูกับราวีนี่

 

กลับกันพวกนั้นยังนอบน้อมต่อนาง นางเองยังมีเก็บคนพวกนั้นไว้ข้างกาย เรียกใช้งานคนที่ยอมโอนอ่อนเชื่อฟังตนอยู่บ่อยครั้ง

 

แต่จูเลียตต้าไม่ใช่ผู้หญิงประเภทนั้น

 

ผู้หญิงคนนั้นเป็นพวกชอบได้รับความสนใจจากคนอื่น ชอบเป็นจุดศูนย์กลางสายตาของผู้คน

 

ปัญหาคือ ความสนใจและสายตาพวกนั้น ทั้งหมดจะต้องเป็นของราวีนี่เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

“คงใกล้จะต้องลงมือแล้วละค่ะ”

 

เจ้าตระกูลอังเกนัสได้แต่ก้มหน้านิ่งเมื่อได้ยินคำพูดเย็นชาของราวีนี่

 

บางครั้งความโหดเหี้ยมของราวีนี่ก็ทำให้ผู้เป็นบิดาอย่างเขารู้สึกขนลุกเหมือนกัน

 

“แผนนั้นคงจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาดใช่มั้ยคะท่านพ่อ”

 

“พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”

 

“ต้องเอามาไว้ในกำมือของพวกเราให้ได้นะคะ หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกครั้งเมื่อไหร่”

 

นัยน์ตาของราวีนี่ลุกโชนราวกับมีเปลวไฟสีน้ำเงินพัดโหมกระหน่ำอยู่ข้างในนั้น

 

“…จักรพรรดินีทรงรับสั่งถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

เจ้าตระกูลอังเกนัสปิดปากแน่น ถือถ้วยชาของตัวเองซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะไว้ในมือ

 

นานแล้วที่ครอบครัวลอมบาร์เดียไม่ได้มานั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้

 

ที่งานเลี้ยงมื้อเย็นของครอบครัวลอมบาร์เดียโต๊ะยังคงถูกแบ่งเป็นสองโต๊ะ แยกระหว่างพวกเด็กๆ กับผู้ใหญ่เฉกเช่นทุกครั้ง

 

ลาลาเน่กับเบเลซักมาถึงกันก่อนแล้ว

 

ฟีเรนเทียยิ้มทักทายลาลาเน่

 

“สวัสดี ลาลาเน่”

 

“สวัสดี”

 

และแน่นอนที่เธอนั่งลงบนที่นั่งโดยไม่หันไปทักทายเบเลซัก

 

หลังจากนั้นสองพี่น้องอาสทัลลีอูกับเครนีย์ก็มาถึง

 

“ข้าบอกให้เจ้านั่งทางฝั่งนี้ไง!”

 

อาสทัลลีอูลากน้องชายตัวน้อยของเขาไปยังที่นั่งข้างกายตัวเองเพราะอย่างนั้นใบหน้าของเครนีย์ที่ถูกลากไปอย่างทุลักทุเลจึงแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว

 

ดูยังไงก็รู้ว่าคงจะไม่ชอบที่เครนีย์มาสนิทสนมและเข้ากันได้ดีกับเธอ

 

เห็นได้ชัดเลยว่าคิดที่จะทำให้น้องชายตัวเองกลายเป็นลิ่วล้อของเบเลซักเหมือนกับตัวเอง

 

“ข้าอยากนั่งฝั่งโน้นนี่นา…”

 

เครนีย์พึมพำเสียงสะอื้น ในขณะที่เอาแต่ช้อนสายตามองที่นั่งข้างเธอแต่อาสทัลลีอูเองก็ยังคงข่มขู่เครนีย์ด้วยใบหน้าโหดเหี้ยมกว่าเดิม

 

เฮ้อ

 

เธอลอบถอนหายใจข้างในใจ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น

 

“เครนีย์ มาทางนี้สิ”

 

เครนีย์ดีใจเมื่อได้ยินเธอเอ่ยเรียก แต่ก็ยังแอบมองอาสทัลลีอูอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ไม่เป็นไร มานี่เถอะ”

 

เครนีย์ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็วิ่งพรวดมานั่งข้างเธอ

 

เธอกระซิบข้างหูของเครนีย์

 

“ต่อไปถ้าอาสทัลลีอูแกล้งอีก วิ่งไปหาแม่เจ้าซะ เข้าใจมั้ย”

 

โรเนสเกลียดที่สุดเวลาอาสทัลลีอูใช้ความรุนแรงกับเครนีย์

 

บางทีแม้แต่ตอนนี้เองอาสทัลลีอูก็คงจะแอบหลบสายตาแม่ของเขา แล้วแอบกลั่นแกล้งเครนีย์เป็นแน่

 

“อื้อ!”

 

เครนีย์ยังคงมองอาสทัลลีอูด้วยนัยน์ตาแฝงความกังวล แต่ก็ยังหัวเราะเสียงใสพยักหน้าตอบรับ

 

เฮ้อ สงสัยคงต้องคอยพาตัวมาเล่นด้วยบ่อยๆ หน่อยแล้ว

 

ที่จริงแล้วการเล่นกับอาสทัลลีอูก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเครนีย์เลยสักนิดมีแต่จะพานทำให้เสียคนไปด้วยเปล่าๆ

 

เครนีย์นั่งคั่นกลางระหว่างเธอกับลาลาเน่ ดังนั้นลาลาเน่จึงคอยช่วยเหลือเครนีย์ที่แขนยังสั้นป้อม ช่วยดูแลเขาคอยตักโน่นตักนี่ให้

 

“เทีย สวัสดี”

 

สองแฝดเดินเข้ามาร่วมโต๊ะ

 

แต่ใบหน้าของทั้งคู่กลับดูมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

 

คราวก่อนหน้าโน้นเองก็มีสภาพแบบนี้เหมือนกัน

 

“ทั้งสองคนทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะเนี่ย”

 

ท่าทางหดหู่ไม่สมกับเป็นพวกเขาเลยมันค้างคาใจของเธอ

 

“เรื่องนั้น…”

 

เมโลนลังเลอยู่ครู่หนึ่งพอเห็นว่าคิลลีวูพยักหน้าให้จึงพูดต่อ

 

“ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ”

 

“ทั้งสองคน?”

 

คู่สามีภริยาชานาเนสกับเวสตินที่หวานกันเสียจนคู่รักคู่อื่นต้องถอยห่างไปไกลเนี่ยนะ

 

“ที่ผ่านมาไม่เคยทะเลาะกันต่อหน้าพวกเราเลยสักครั้ง แต่วันนี้…”

 

“พวกท่านเถียงกันยกใหญ่เลย”

 

สองแฝดพูดเสียงหดหู่

 

“ทะเลาะกันขนาดนั้นเรื่องอะไร”

 

“ไม่แน่ใจ แต่เหมือนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลน่ะ”

 

“พูดถึง ‘ลอมบาร์เดีย’ กับ ‘ชูลส์’ บ่อยมากเลย”

 

โต้เถียงกันโดยพูดถึงชื่อของสองตระกูลอย่างนั้นเหรอ

 

“หรือที่เมื่อครั้งก่อนพักอยู่ที่ตระกูลชูลส์เสียนานก็เป็นเพราะเรื่องนั้น”

 

“…อื้อ”

 

“เหมือนว่าทั้งสองท่านคงอยากห่างกันสักพักน่ะ”

 

เมโลนเอ่ยพูดด้วยเสียงค่อนข้างเย็นชาพอสมควร

 

“ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องเลือกระหว่างพ่อกับแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็พอแหละนะ”

 

คิลลีวูพูดกึ่งยอมแพ้

 

อา จะว่าไปก็เกิดขึ้นช่วงนี้นี่นะ

 

ฟีเรนเทียนึกถึงเรื่องที่ชานาเนสกับเวสตินหย่ากันขึ้นมาได้พอดี

 

เธอหันไปมองโต๊ะที่พวกผู้ใหญ่กำลังกินอาหารกันอยู่

 

ชานาเนสนั่งกินอาหารเงียบๆ ไม่พูดอะไรด้วยใบหน้าซีดเซียว แต่เวสตินกลับดูแล้วไม่แตกต่างอะไรจากทุกวันเลยสักนิด เขาเอาแต่หัวเราะไม่หยุด ท่าทางร่าเริงเหมือนเดิม

 

สภาพของทั้งสองคนดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ในตอนนั้นเองเธอก็เห็นว่าท่านพ่อกินอาหารเสร็จแล้ว และกำลังกล่าวลาท่านปู่

 

ท่านพ่อลุกขึ้นจากที่นั่งก่อน โดยขอให้ท่านปู่เข้าใจ เพราะวันนี้งานยุ่งมากจริงๆ ท่านส่งยิ้มกว้างให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินออกไปจากห้องอาหาร

 

และเธอก็เห็นว่าเบเจอร์เดินตามหลังท่านพ่อออกไป