ตอนที่ 301 เจ็ดสิบสองวิธีง้อภรรยา / ตอนที่ 302 คุณน้าคนนี้…

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 301 เจ็ดสิบสองวิธีง้อภรรยา 

 

 

ในสายตาของเยี่ยซี ความสัมพันธ์ของฟางจือหันกับอวี๋กานกานเป็นคู่รักที่รักกันลึกซึ้งแบบถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ได้รู้สถานการณ์จริงๆ ของพวกเขาเลย  

 

 

ตอนที่อวี๋กานกานสำลัก เขาก็นึกถึงวิธีหลอกล่อภรรยาที่ตัวเองพูดถึงทันที ซึ่งมันไม่เหมาะกับฟางจือหันเอามากๆ  

 

 

แถมยังพูดต่อหน้าคนรักของชายหนุ่มด้วย แบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการวอนหาเรื่องหรอกเหรอ?  

 

 

เขารีบแก้คำพูดของตัวเอง พร้อมกับประจบไปด้วย “พี่ครับ…ผมว่าผมเรียกพี่ว่าพี่สะใภ้ดีกว่าไหมครับ”  

 

 

เขายิ้มเผล่ ทั้งยังมองฟางจือหันอย่างขอความดีความชอบ  

 

 

อวี๋กานกานตีหน้าขรึม วางแก้วลงเหมือนไฟช็อต อยากจะอธิบายความสัมพันธ์จริงๆ ของตนกับฟางจือหัน  

 

 

ทว่ากลับเห็นฟางจือหันยกแก้วน้ำที่เธอดื่มไปแล้วขึ้นมาดื่มต่อ  

 

 

แล้วเรื่องรักความสะอาดที่เคยคุยกันล่ะ? 

 

 

อวี๋กานกาน “……” 

 

 

พวกเขาดื่มน้ำแก้วเดียวกันแบบนี้ก็เหมือนจูบทางอ้อมน่ะสิ!!! 

 

 

แล้วแบบนี้จะอธิบายยังไง? 

 

 

พวกเขาสนิทสนมกับต่อหน้าเยี่ยซีขนาดนี้ ถ้าบอกว่าไม่เป็นไรก็คงเป็นคำพูดที่ไร้น้ำหนัก ทำเอาอวี๋กานกานนึกเสียใจแทบตาย ทำไมต้องไปถามถึงความสามารถพิเศษของเยี่ยซีด้วยนะ 

 

 

ฟางจือหันจุดยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังหยอกอวี๋กานกาน  

 

 

ทว่าอวี๋กานกานกลับขมวดคิ้ว มองเยี่ยซีด้วยความสับสน “ฉันล่ะเสียใจจริงๆ ที่มากินข้าวมื้อนี้” 

 

 

เยี่ยซียกมือขึ้นสาบาน “อย่าเลยครับ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่มีทางช่วยพี่ชายหาสาวข้างนอกแน่นอน แต่ผมจะช่วยสอดส่องไม่ให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามาใกล้เขาได้เลย”  

 

 

เขาคิดว่าอวี๋กานกานโมโห เพราะเขาจะสอนฟางจือหันจีบสาว  

 

 

อวี๋กานกานเหงื่อแตกพลั่ก ได้แต่พึมพำเบาๆ “ไม่ใช่ว่าดูเพื่อตัวเองหรอกเหรอ” 

 

 

เยี่ยซีได้ยินไม่ชัด 

 

 

แต่ฟางจือหันที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน เขาหันไปมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาขึ้นเล็กน้อย  

 

 

เธอจะให้ฟางจือหันรู้ไม่ได้ว่าเธอจินตนาการว่าระหว่างเยี่ยซีกับชายหนุ่มอยู่ในสมาคมมิตรภาพลูกผู้ชาย อวี๋กานกานรีบยิ้มกว้างทันที “กินข้าวค่ะๆ อาหารร้านนี้อร่อยนะคะ” 

 

 

เยี่ยซีเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “งั้นก็ต้องกินเยอะๆ เรามาสั่งเพิ่มอีกสองสามอย่างดีกว่า” 

 

 

หลังจากนั้นก็ทั้งกินทั้งพูดคุย เต็มที่ทั้งแขกและเจ้าภาพ  

 

 

ในล็อบบี้ของตึกหวังฝู่ หลังจากกินข้าวกันเสร็จ เยี่ยซีก็เหมือนเด็กที่ถูกผู้ปกครองพามาส่งโรงเรียนอนุบาล เอาแต่มองผู้ปกครองอย่างอาลัยอาวรณ์ น้ำตาคลอเบ้า ท่าทางน่าสงสาร  

 

 

อวี๋กานกานหลุดหัวเราะ  

 

 

เธอพูดกับเยี่ยซีว่า “ไว้คราวหน้ามากินข้าวกันใหม่นะคะ” 

 

 

เยี่ยซีตาเป็นประกาย “ได้เลยครับ ไม่มีปัญหา”  

 

 

พี่สะใภ้คนนี้นี่เป็นเหมือนเทพธิดาจริงๆ ได้เจอเธอช่างเป็นเรื่องที่ดี  

 

 

อาการของคุณย่าได้รับการรักษา แม้แต่ไอดอลก็กลายเป็นคนที่สามารถสัมผัสได้ทุกเมื่อ เขาควรต้องขอบคุณเธอ  

 

 

“พี่หัน บังเอิญจริงๆ ที่ได้เจอพี่ที่นี่” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งที่แฝงไปด้วยความแปลกใจดังมาจากที่ไกลๆ  

 

 

ทุกคนต่างก็หันมองและเห็นสาวสวยทันสมัยคนหนึ่งกำลังเดินมาทางพวกเขา  

 

 

เธออยู่ในชุดเดรสสีเบจ ผมดำสนิทยาวประบ่าและติดกิ๊ฟสีเบจรวบไปครึ่งหนึ่ง ดูทั้งเรียบง่ายเปิดเผย ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นคนพิถีพิถันและทันสมัย 

 

 

มุมปากของเธอยกยิ้มบาง เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดแปดซี่ สายตาก็ฉายแววยินดี  

 

 

หลังจากที่กวาดตามองทั้งสามคนแล้ว สุดท้ายเธอก็หยุดสายตาที่ฟางจือหัน ยามที่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะพี่หัน” 

 

 

อวี๋กานกานมองหญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นแบบกะทันหัน แอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พี่หันๆ เสียงเรียกอ่อนโยนราวกับน้ำ ฟังแล้วเหมือนกำลังถูกนวดหูอยู่  

 

 

ทว่าฟางจือหันกลับหน้านิ่งไร้อารมณ์ สายตาของเขามองไปยังหญิงสาว จากนั้นก็เอ่ยถาม “คุณเป็นใคร?” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 302 คุณน้าคนนี้… 

 

 

ฟางจือหันดูทางเย็นชาและห่างเหิน แตกต่างจากอวี๋กานกานที่มองประเมินด้วยความอยากรู้อยากเห็น เยี่ยซีเองก็เริ่มอยู่ไม่สุข 

 

 

หลายปีมานี้เขาคอยติดตามความเป็นไปของไอดอลอยู่ตลอด และถ้าจำไม่ผิด ก็มีข่าวเรื่องงานหมั้นของฟางจือหันกับกู้ซูหลิงคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ออกมาอยู่ตลอด  

 

 

เพราะแบบนี้เค้าถึงตรงใจมองกู้ซูหลิงอยู่ห่างๆ  

 

 

ซึ่งคนคนนั้นก็คือผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้  

 

 

คู่หมั้นในข่าวลือกับแฟนสาวคนปัจจุบันมาเจอกัน ทำให้เขาอดเป็นห่วงไอดอลของตัวเองไม่ได้ เกรงว่าถ้าไม่ระวังจะทำให้เรื่องเกินเลยจนอยากจะจัดการ กลายเป็นศึกแย่งผู้ชายของหญิงสาวสองคน  

 

 

แต่เขาก็ชะงักไปหลังจากที่ได้ยินคำถามของฟางจือหันที่ถามว่า “คุณเป็นใคร”  

 

 

ตกใจสุดขีด 

 

 

แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา 

 

 

สมกับคำที่ว่า ข่าวลือมีไว้ทำลาย โลกนี้ไว้ล้มล้าง 

 

 

ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววกระอักกระอ่วน ท่าทางราวกับไม่เห็นรู้ว่าควรจะพูดอะไรไปชั่วขณะ 

 

 

เธอเอ่ยถามด้วยความคับข้องใจ “ฉันหลิงหลิงไงคะ กู้ซูหลิง พี่ลืมฉันแล้วจริงๆ เหรอคะ” 

 

 

และเพราะคำบอกใบ้นี้ ฟางจือหันถึงได้รู้ว่าเธอเป็นใคร 

 

 

แต่เขากลับตอบกลับไปอย่างห่างเหิน “อ่อ คุณนี่เอง” 

 

 

กู้ซูหลิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พลางยกมือลูบแก้มตัวเอง “พี่หันเปลี่ยนไปมากเลยใช่ไหมคะเนี่ย เราไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือน ทำไมพี่ถึง…จำฉันไม่ได้แล้วล่ะ จำได้ว่าคราวก่อนที่พี่ไปที่บ้าน คุณพ่อยังบอกให้ฉันเรียนรู้จากพี่เยอะๆ อยู่เลย” 

 

 

ดูเผินๆ เหมือนเป็นเพียงแค่การทักทายธรรมดา แต่กลับแฝงความคลุมเครืออย่างที่สุด 

 

 

เยี่ยซีได้แต่จิ๊ปากอยู่ในใจ 

 

 

ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขามองปราดเดียวก็เห็นแล้วว่ากู้ซูหลิงมองไปยังฟางจือหันด้วยสายตาอ่อนโยนและเขินอาย 

 

 

เป็นความรู้สึกที่ชื่นชมเหนือคำบรรยาย 

 

 

เธอเข้ามาทักทายฟางจือหันด้วยท่าทางสนิทสนมแบบนี้ เพื่อยั่วโมโหอวี๋กานกานงั้นเหรอ? 

 

 

เยี่ยซีนึกเป็นห่วงอวี๋กานกาน 

 

 

อวี๋กานกานเป็นเพียงหมอธรรมดาคนหนึ่ง หากถูกกู้ซูหลิงกลั่นแกล้งเขาจริงๆ คงมีแต่ต้องทนกล้ำกลืนเอาไว้  

 

 

แต่ก็ไม่เป็นไร ยังมีเขาอยู่ทั้งคน  

 

 

อวี๋กานกานเป็นพี่สาวของเขาเยี่ยซี เขาย่อมไม่ปล่อยให้ใครมารังแกเธออย่างแน่นอน  

 

 

ตอนแรกเขาคิดว่ากู้ซูหลิงเป็นว่าที่ภรรยาของไอดอลของเค้า เขายังเคยคิดที่จะเข้าไปทำความรู้จักอยู่เลย  

 

 

สุดท้ายคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้คนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากเหล่าหญิงสาวลูกผู้ดีมีตระกูลคนอื่นๆ เป็นเพียงแค่ดอกไม้ราคาแพงที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี ดูสวยงาม แต่ไม่น่าสนใจเลยสักนิด  

 

 

ยังไงก็เป็นอวี๋กานกานพี่สาวของเขาที่มีเสน่ห์และเหมาะสมกับไอดอลของเขา 

 

 

เยี่ยซีพูดเสียงเย็น “ผมว่าคุณน้าช่วยอย่ามารบกวนการรำลึกความหลังของเราได้ไหมครับ” 

 

 

ขณะที่อวี๋กานกานกำลังเดาว่ากู้ซูหลิงเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับฟางจือหันยังไง เธอก็ต้องตกใจกับคำพูดของเยี่ยซี 

 

 

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฟางจือหัน แล้วทำไมเขาถึงไปเรียกว่าคุณน้า? 

 

 

สีหน้าของกู้ซูหลิงเปลี่ยนไปทันที 

 

 

เธอพยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้ ปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปมองเยี่ยซีแบบกึ่งยิ้มกึ่งนิ่ง 

 

 

หลังจากนั้นเธอก็หันไปยิ้มให้ฟางจือหัน “พี่หัน ฉันขอคุยเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหมคะ” 

 

 

“ไม่ได้” 

 

 

ฟางจือหันไม่สนใจเธอเลยสักนิด แม้แต่มองก็ยังไม่อยากจะมอง  

 

 

กู้ซูหลิงถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “สองวันก่อนคุณพ่อบอกว่าท่านคิดถึงพี่ ถ้าพี่มีเวลาว่างก็แวะไปที่บ้านบ้างนะคะ” 

 

 

หลังจากพูดจบเธอก็บอกลาอย่างสง่าผ่าเผย 

 

 

ทว่าขณะที่หันหลังกลับไปก็ยังหยุดมองอวี๋กานกานอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

ดูอ่อนโยน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กลับทำให้รู้สึกอันตรายแบบบอกไม่ถูก ราวกับอยู่ในพุ่มไม้หนาม มีประกายไฟซ่อนอยู่ เมื่อไหร่ที่มีลมพัดมาเพียงเล็กน้อย ไฟก็สามารถลุกโชนเผาทุกอย่างได้อย่างไร้ขอบเขต 

 

 

จู่ๆ อวี๋กานกานก็เกิดความรู้สึกอึดอัดแบบอธิบายไม่ถูกขึ้นในใจ