“แม่นางฉินฝีมือสูงส่ง แม่นางฉินฝีมือสูงส่ง !”
เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังระงมไปทั่วบริเวณ ได้ยินไกลถึงในเมืองและดังเข้าไปในผืนป่ากว้าง ทุกคนต่างก็ชื่นชมและซาบซึ้งในตัวฉินอวี้โม่
สตรีเช่นนี้ ในแผ่นดินหวนหลิงคงไม่อาจจะหาผู้ทัดเทียมได้อีกแล้ว
เมื่อมองเห็นฝูงชนพากันกล่าวคำยกย่องฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสจางแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็รีบเดินหน้าหดตัวลีบฝ่าผู้คนออกไปอย่างเงียบเชียบ อสูรล้อมเมืองในครั้งนี้แทบจะเรียกว่าสูญเปล่า นอกจากอสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัวแล้วเขาก็ไม่ได้สิ่งใดอื่นเลย ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอไปล้ำเส้นผู้เป็นสุดยอดแห่งผู้ฝึกสัตว์อสูรเข้าให้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจผู้อาวุโสจาง นางไม่ได้มีเวลามากนัก อีกทั้งนางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจผู้อาวุโสคนนี้ตั้งแต่แรก ในตอนนี้ สู้เอาเวลาไปช่วยเหลือเหล่าพันธมิตรของนางสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ยังมีความสุขเสียมากกว่า
“นายหญิง ท่านควรจะทำพันธสัญญากับเจ้าเหมียวตัวนั้น”
เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินชี้ไปในทิศทางหนึ่งพร้อม ๆ กัน ณ จุดนั้นมีเสือตัวใหญ่ท่าทางน่าสงสารนอนหมอบอยู่อย่างเหงาหงอย ดู ๆ ไปแล้วก็ไม่ต่างจากแมวตัวใหญ่ที่กำลังป่วยเลยสักนิด
เสือหงอยตัวนั้นเป็นอสูรมายาของลิ่วเยว่*–พยัคฆ์ขนทอง* มันเป็นอสูรเทวะเจ็ดดารา ตามปกติแล้วเมื่อคนผู้หนึ่งตายไปอสูรมายาที่ได้รับการผูกพันธสัญญากับคนผู้นั้นก็จะสูญสลายหายไปด้วย ในตอนนี้เนื่องจากลิ่วเยว่ตายไปแล้ว อสูรในพันธสัญญาของเขาก็ควรจะหายไป อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะคำสาบานของลิ่วเยว่ที่จะมอบอสูรมายาให้แก่ฉินอวี้โม่จึงทำให้พยัคฆ์ขนทองยังคงมีชีวิตรอดอยู่
แต่ถ้าหากว่าฉินอวี้โม่ไม่ยินยอมรับและทำพันธสัญญากับพยัคฆ์ขนทองตัวนี้ ในไม่ช้าตัวมันก็จะสูญสลายไปตามกฏเกณฑ์พิศวงของโลกมายาใบนี้
เมื่อมองดูเสือสีทองที่กำลังหมอบซึมอยู่กับพื้นไม่ต่างจากแมวป่วย ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า การมีอสูรมายาเพิ่มขึ้นอีกเป็นเรื่องดี แม้เพียงหนึ่งตัวก็ช่วยให้นางแข็งแกร่งขึ้นได้
“ดุ๊กดุ๊ก !”
จู่ ๆ เสียงร้องเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นจากภายในกรงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ตัวพยัคฆ์ขนทองอย่างเรียกร้องความสนใจ
ซึ่งเมื่อทุกผู้คนกวาดสายตาไปในทิศทางดังกล่าวก็มองเห็นอสูรมายาขนาดเล็กอยู่ภายในกรงนั้น แท้จริงแล้วมันคือลูกเพียงพอนตัวน้อยน่ารัก อสูรมายาสุดหวงของหลี่เปียวที่เขาใช้เป็นเดิมพันในการแข่งขันครั้งนี้ ตอนนี้มันตื่นขึ้นมาแล้วและเริ่มส่งเสียงร้องแหลมเล็ก
“ไปกันเถอะ ไว้กลับไปข้าจะผูกพันธสัญญากับพวกนั้นทีหลัง”
อสูรล้อมเมืองในปีนี้จบลงแล้ว ฉินอวี้โม่และสหายได้ประโยชน์กันอย่างมหาศาล เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด พวกเขาจึงเดินทางกลับเข้าเมือง
“คุณชายหานจะกลับไปพร้อมกับข้าหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองหานโม่ฉือที่อยู่ใกล้ ๆ และเอ่ยถาม
“ข้ายังมีงานอื่นที่ต้องไปทำ ขอตัวก่อน”
หานโม่ฉือจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวปฏิเสธในที่สุด
“ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า ถ้าเจ้าต้องการจะไปที่นครไป๋อวิ๋น นำมันไปที่ตระกูลหานและมาพบข้าได้”
หานโม่ฉือส่งป้ายหยกกลม ๆ ที่มีสัญลักษณ์บางอย่างให้ฉินอวี้โม่ก่อนจะหันหลังและหายวับไปต่อหน้าทุกคน
ฉินอวี้โม่กำป้ายหยกที่หานโม่ฉือมอบให้และสัมผัสได้ถึงไอเย็นประหลาดที่มันแผ่ออกมา อดีตสาวจากศตวรรษที่ 21 อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเหตุใดร่างกายของ*‘ผู้ชายเย็นชา’* คนนั้นถึงได้เย็นนัก สาวงามนำเหรียญนั้นใส่เข้าไปในแหวนมิติก่อนจะเดินทางกลับพร้อมกับทุกคน
ในระหว่างทางกลับลั่วอวิ๋นเชิญฉินอวี้โม่ไปรับของรางวัลที่สำนักเจ้าเมืองเตรียมไว้ให้ นางจึงตามเขาไปที่จวนเจ้าเมืองทว่าก็ปฏิเสธที่จะพักค้างคืน
ลั่วชิงซานมอบรางวัลชนะเลิศในเทศกาลอสูรล้อมเมืองปีนี้ซึ่งก็คือกระบี่ปีกจักจั่นให้แก่ฉินอวี้โม่ เจ้าเมืองเยว่กวางรู้สึกพึงพอใจในผลงานของดรุณีน้อยผู้นี้มาก
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณท่านเจ้าเมืองและเดินทางออกจากจวนเจ้าเมืองก่อนจะเดินทางไปยังบ้านพักที่ลั่วอวิ๋นจัดเตรียมไว้ให้ เป็นเพราะคณะเดินทางขององค์ฮองเฮาเหวินหย่าได้จองโรงเตี๊ยมไว้ถึงวันอสูรล้อมเพียงเท่านั้น ดังนั้นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงต้องหาที่พักกันใหม่ พอดีกับที่ลั่วอวิ๋นเชื้อเชิญให้นางพักที่จวนเจ้าเมืองแต่ฉินอวี้โม่ปฏิเสธ ดังนั้นบุตรชายท่านเจ้าเมืองผู้มากน้ำใจจึงเสนอตัวจัดหาบ้านพักให้สาวงาม
“อวิ๋นเอ๋อร์ แม่นางอวี้โม่เป็นสตรีที่วิเศษมาก”
หลังจากฉินอวี้โม่ไปแล้ว ลั่วชิงซานก็เรียกลั่วอวิ๋นไปที่ห้องหนังสือ
“ท่านพ่อ ข้าทราบดีว่าแม่นางฉินต่างจากสตรีทั่วไป”
ลั่วอวิ๋นพยักหน้า เขาเองก็คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นหญิงสาวที่พิเศษแตกต่างจากผู้อื่น และตัวเขาก็รู้สึกชื่นชมสาวงามผู้นี้จากก้นบึ้งของหัวใจ
“ในเมื่อรู้แล้วก็ไม่ต้องลังเล ระวังความลังเลจะทำให้เจ้าพลาดโอกาส”
ลั่วชิงซานยิ้มพลางมองหน้าบุตรชายด้วยแววตาเปี่ยมสุข บุตรชายของเขาก็รูปโฉมงดงาม ดูดีมีสง่าราศี สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ แข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ใด อีกทั้งยังมีจิตใจเมตตานิสัยใจคอน่าคบหา อวิ๋นเอ๋อร์และสาวน้อยฉินอวี้โม่ผู้นั้นดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ถ้าหากว่าพวกเขาได้ครองคู่กัน ชีวิตครอบครัวของทั้งสองก็คงจะชื่นมื่นสุขสมไปจนตลอดรอดฝั่ง
“หืม ?” ลั่วอวิ๋นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่ายังไง ?”
“เจ้าลูกคนนี้ อย่างมาแกล้งโง่ต่อหน้าข้า”
ลั่วชิงซานตบไหล่ของลั่วอวิ๋นเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ข้าเห็นหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเองก็คล้ายว่าจะมีใจให้นาง ถ้าเจ้ายังขืนชักช้ารำไร ระวังดอกไม้ล้ำค่าจะถูกผู้อื่นช่วงชิงไป”
เมื่อกล่าวจบ ท่านเจ้าเมืองก็เดินออกไป ปล่อยให้บุตรชายยืนเหม่อลอยอยู่ภายในห้องหนังสืออย่างเดียวดาย
…
ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในบ้านพักสำหรับคืนนี้แล้ว ฉินอวี้โม่ก็ปิดประตู
“เสี่ยวโร่ว ช่วยคอยเฝ้าไว้ด้วยอย่าให้ใครเข้ามาได้”
ฉินอวี้โม่บอกสาวใช้น้อย และยังให้เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินคอยช่วยนางอีกแรงเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
จากนั้นอดีตคุณหนูสี่ก็เริ่มการสยบอสูรมายา
ตัวแรกคือลูกเพียงพอน เนื่องจากระดับพลังของมันต่ำที่สุดทำให้ทุกอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และราบรื่น
ลำดับต่อไปนางสยบพยัคฆ์ขนทอง หลังจากผูกพันธสัญญาเสร็จสิ้น เสือตัวใหญ่ก็สดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้เจ้าเสือเคยหงอยกำลังสะบัดหางมองดูนายหญิงคนใหม่อย่างร่าเริง ยิ่งไปกว่านั้นพลังจากการทำพันธสัญญาครั้งนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่ก้าวขึ้นสู่ระดับมายารัตนะเก้าดาราในทันที
พยัคฆ์ขนทองและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่ก็เลื่อนระดับขึ้นเช่นกัน พยัคฆ์ขนทองเลื่อนขึ้นสู่ระดับเทวะเก้าดารา เสี่ยวจินเป็นอสูรเทวะแปดดารา และเสี่ยวเฮยกลายเป็นอสูรเทวะเจ็ดดารา ในขณะที่เพียงพอนตัวน้อยจากเดิมที่อยู่ในระยะตัวอ่อนก็เจริญเติบโตขึ้นและเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย
ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าหมียักษ์เพื่อเริ่มการทำพันธสัญญา หมีเทวะราชันยังคงอยู่ในร่างหมีเกรียม ๆ จากการถูกซิวเล่นงาน สภาพของมันน่าเวทนาเป็นอย่างมาก
เนื่องจากหมีดำยอมจำนนแต่โดยดีทำให้การทำพันธสัญญาเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้เวลาไม่นานนักการทำพันธสัญญาก็เสร็จสมบูรณ์
เดิมทีฉินอวี้โม่คิดว่าพลังงานจากการทำพันธสัญญากับหมีดำที่เป็นอสูรเทวะราชันจะทำให้นางก้าวล่วงไปสู่ขอบเขตต่อไปได้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าในระหว่างการสร้างพันธสัญญา ฉินอวี้โม่จะสัมผัสได้ว่าพลังที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายมีปริมาณมหาศาลและน่าจะเพียงพอแล้ว ทว่าเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดนางกลับไม่สามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตนภมายาได้
‘ดูเหมือนว่าการจะทะลวงสู่ขอบเขตนภมายาคงจะต้องใช้พลังที่มากกว่านี้ หรือบางทีอาจจะต้องอาศัยจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วย’
เป็นเพราะได้ทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่จึงทำให้หมีดำเลื่อนระดับขึ้นในทันที จากเดิมที่เป็นอสูรเทวะราชันหนึ่งดารา ตอนนี้มันเลื่อนขึ้นมาเป็นอสูรเทวะราชันสามดาราแล้ว พละกำลังของมันฟื้นคืนกลับมาดังเดิม แม้แต่ขนที่ถูกเผาไปก็ยังกลับมาดกดำเงางามเป็นประกายเช่นเดิม
ภายในพริบตาหมีดำก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นมนุษย์
“ม่อเสีย* คารวะนายหญิง”
(*莫邪(ม่อเสีย) = ไม่ชั่วร้าย)
หมีดำโค้งคำนับฉินอวี้โม่อย่างนอบน้อม มันไม่มีท่าทีหยิ่งยโสอีกต่อไป
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะหันไปเพื่อจัดการสยบอสูรมายาตัวสุดท้าย
อสูรมายาตัวสุดท้ายก็คือกระเรียนขาแดง ฉินอวี้โม่คิดจะยกมันให้เป็นอสูรมายาคู่ใจของเสี่ยวโร่ว และเพื่อที่จะมอบให้สาวน้อยผู้เป็นเหมือนน้องสาว ฉินอวี้โม่จึงตั้งใจเลือกตัวที่เหมาะสมที่สุด อสูรมายาของเสี่ยวโร่วจะต้องปราดเปรียว ดูมีศักยภาพ และไม่อ่อนแอ และที่สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจงใจเลือกอสูรตัวนี้ก็เพราะเห็นว่ามันแข็งแกร่งไม่น้อย และถ้าหากว่ามันได้เลื่อนระดับขึ้นก็จะช่วยปกป้องเสี่ยวโร่วได้เป็นอย่างดี
ภายในเวลาไม่นานกระเรียนขาแดงก็สยบแทบเท้าฉินอวี้โม่
จากเดิมที่กระเรียนขาแดงเป็นอสูรเทวะสี่ดารา ตอนนี้ก็กลายเป็นเจ็ดดาราแล้ว
“เสี่ยวโร่ว มานี่สิ”
ฉินอวี้โม่กวักมือเรียกสาวใช้น้อยให้เข้ามา
เสี่ยวโร่วพยักหน้า นางอยู่กับฉินอวี้โม่มานานนางจึงไม่แปลกใจกับขั้นตอนการสยบอสูรมายาของผู้เป็นนาย กลับกันสาวใช้น้อยยังรู้สึกมีความสุขอย่างเหลือล้นที่เห็นคุณหนูของนางผู้ที่เคยถูกใครต่อใครรังแกและกล่าวหาว่าเป็นขยะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ถึงเพียงนี้
“ทำพันธสัญญากับกระเรียนขาแดงตัวนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการปกป้องเจ้า”
แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนางที่มีอสูรเทวะราชันอยู่ในครอบครองแล้วกระเรียนขาแดงตัวนี้จะอ่อนแอ แต่ทว่าในสายตาของผู้อื่น กระเรียนขาแดงก็ยังคงนับเป็นอสูรมายาระดับสูงและหาได้ยากยิ่ง
“ให้ข้าจริง ๆ หรือเจ้าคะคุณหนู ?”
เสี่ยวโร่วตาเบิกกว้าง สาวใช้น้อยไม่อยากเชื่อเลยว่านางกำลังจะมีอสูรมายาเป็นของตัวเองจริง ๆ
“เด็กโง่ นอกจากเจ้าแล้วจะมีใคร ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของสาวน้อย
“ฮ่า ๆ ข้ามีอสูรมายาเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว !”
เสี่ยวโร่วหัวเราะเสียงสดใสอย่างมีความสุข ก่อนจะโผเข้ากอดฉินอวี้โม่ วันนี้นางมีความสุขจริง ๆ
“คุณหนู ถ้าไม่ใช่เพราะท่านทั้งชีวิตนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้เลี้ยงอสูรมายาแน่ ข้าไม่รู้จะตอบแทนคุณหนูยังไงดี !”
เสี่ยวโร่วกอดแขนฉินอวี้โม่ นางยังไม่หายจากอาการตื่นเต้น
“เด็กโง่ เจ้าคอยช่วยข้า ปกป้องข้ามาหลายปี ข้าเห็นเจ้าไม่ต่างจากน้องสาวแท้ ๆ อะไรที่ทำเพื่อเจ้าได้ข้าก็ยินดีทำ ต่อไปนี้เจ้าวางใจได้ ตราบใดที่มีข้าอยู่ จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้อีก”
ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเสี่ยวโร่วกำลังตื่นเต้นมากเกิดเหตุ นางจึงพยายามทำให้สาวใช้น้อยสงบลง
“เจ้าค่ะ ข้าก็จะขอติดตามคุณหนูตลอดไป ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ !”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าและปล่อยแขนของฉินอวี้โม่พลางมองผู้หญิงที่นางรักและเทิดทูดด้วยสายตาแน่วแน่
“พวกเรามาตามหาท่านแม่ด้วยกัน เมื่อหานางพบแล้ว พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและจะไม่แยกจากกันอีก”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับเสี่ยวโร่วก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยเสี่ยวโร่วเช็ดน้ำตาตรงหางตาอย่างอ่อนโยน มันเป็นน้ำตาแห่งความตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นเช่นนั้น อดีตคุณหนูจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เสี่ยวโร่วพยักหน้าหนักแน่น คำพูดของคุณหนูทำให้นางมีรอยยิ้ม
“ไปทำพันธสัญญากับกระเรียนขาแดง เจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและบอกให้เสี่ยวโร่วเข้าไปรับอสูรมายาประจำกาย
ในตอนนี้เสี่ยวโร่วอยู่ขอบเขตทิพย์มายาสามดารา ฉินอวี้โม่มีความหวังว่าการทำพันธสัญญาในครั้งนี้จะทำให้สาวน้อยทะลวงผ่านขึ้นไปให้ถึงขอบเขตมายารัตนะได้
เสี่ยวโร่วเข้าไปหากระเรียนขาแดงและเริ่มสร้างพันธสัญญา
ผ่านไปสักพัก ร่างกายของเสี่ยวโร่วก็ปรากฏแสงแห่งการเลื่อนระดับพลัง
จากดวงดาวสามดวงกลายเป็นสี่ เป็นเก้า หลังจากครบเก้าดวงแล้วมันก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่คิดว่าเสี่ยวโร่วคงผ่านไปไม่ถึงขอบเขตมายารัตนะ แต่ทว่าจู่ ๆ แสงก็สว่างเจิดจ้าขึ้นในฉับพลัน
ดวงดาราทั้งเก้ารวมกันเป็นหนึ่ง ในตอนนี้เสี่ยวโร่วทะลวงเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะจริง ๆ แล้ว !
เสี่ยวโร่วยืนอึ้งอยู่กับที่ นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าภายในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนนี้ เสี่ยวโร่วจะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตมายารัตนะได้ จากตอนแรกนางเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาตัวน้อย ๆ กลับเปลี่ยนมาเป็นมายารัตนะอย่างฉับพลัน ความเร็วในการพัฒนาระดับนี้น่าตกใจมาก แม้แต่ในหมู่อัจฉริยะก็ยังพบได้ยากยิ่ง !
“เสี่ยวโร่ว ยินดีด้วยนะ”
ฉินอวี้โม่เดินเข้ามาแสดงความยินดีกับเสี่ยวโร่ว
“วันนี้ข้ามีความสุขที่สุดเลยเจ้าค่ะ ต่อไปข้าสามารถต่อสู้เคียงข้างคุณหนูได้แล้ว !”
เสี่ยวโร่วหัวเราะอย่างปลื้มปีติ
“ยินดีที่ได้พบเจ้านาย”
เสียงแหลมใสของกระเรียนขาแดงดังขึ้น มันเสียงแหลมสูงแต่กลับฟังดูไพเราะเพราะพริ้งราวกับเสียงของระฆังกังวาน และฟังดูคล้ายเสียงของอิสตรี
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากระเรียนขาแดงตัวนี้จะเป็นเพศเมีย
“หาา ! เจ้าเป็นเพศเดียวกับพวกข้าหรือ ?”
เสี่ยวโร่วเดินเข้าไปหากระเรียนขาแดงและค่อย ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสหัวของมัน
กระเรียนขาแดงพยักหน้าและปล่อยให้สาวใช้น้อยลูบหัวมันได้ตามใจชอบ
“โอ้ ! ถึงว่าเหตุใดเสี่ยวจินถึงได้ดูกระตือรือร้นนักในตอนที่จะได้สู้กับเจ้า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ฉินอวี้โม่เหล่มองเสี่ยวจินด้วยหางตา พร้อมกับยกยิ้มแฝงเลศนัย
“ฮ้าาา นายหญิง พวกท่านไม่อนุญาตให้อสูรมายาชอบพอกันอย่างนั้นรึ ?”
เสี่ยวจินที่กำลังหน้าแดงเอ่ยปากถามขึ้นมา
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก ต่อไปนี้เจ้ากับเสี่ยวหง (แดงน้อย) คงจะได้พูดคุยและใกล้ชิดกันมากขึ้น”
เสี่ยวโร่วตั้งชื่อให้อสูรมายาของนางเรียบร้อยแล้ว
“นายหญิง ข้าก็เป็นตัวเมียเหมือนกัน”
พยัคฆ์ขนทองที่นิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันไพเราะ
“เจ้าก็ด้วยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าหงึกหงัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเสือสีทองตัวนี้ถึงได้ดูน่ารักและเรียบร้อยนัก
“อืมมม ตอนนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวเยี่ย* ไปก่อน”
(*เยี่ยมาจาก 阅 ที่แปลว่า อ่าน ชื่อนี้แปลเป็นไทยก็น่าจะประมาณ ‘เจ้าหนูนักอ่าน’)
นางยังคิดชื่อดี ๆ ไม่ออก ฉินอวี้โม่จึงเรียกมันด้วยชื่อง่าย ๆ ก่อน
“ขอบคุณนายหญิงเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเยี่ยพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ฉินอวี้โม่ยิ้มและมองดูอสูรมายาของนางทั้งห้าตัว–เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ย ม่อเสีย และเพียงพอน กับอีกหนึ่งตัวของเสี่ยวโร่ว–เสี่ยวหง ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงด้วยความพึงพอใจ
‘นี่คือกองกำลังอสูรมายาขนาดย่อม ๆ ที่แข็งแกร่งมากทีเดียว’