ตอนที่ 52 เดินทางผ่านป่าแสงจันทร์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“นายหญิง พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันเจ้าคะ ?”

ณ จุดหนึ่งที่ลึกเข้าไปในพงไพรใหญ่กว้าง  ฉินอวี้โม่กำลังเดินทางไปพร้อมเหล่าอสูรมายาของนาง

หลังจากได้รับรางวัลของอสูรล้อมเมืองและทำพันธสัญญากับอสูรมายาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็บอกลาชื่อเซียวและลั่วอวิ๋นก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองเยว่กวาง

อดีตนักฆ่าสาววางแผนไว้ว่าจะใช้โอกาสในการเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ครั้งนี้สำหรับฝึกฝนพลังมายาและทักษะการต่อสู้ของตัวเองให้มากขึ้น นางต้องการจะเก่งขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นให้ได้มากกว่านี้ เหตุผลหนึ่งก็เพื่อจะได้ตามหาท่านแม่ให้พบ  และอีกเหตุผลหนึ่งคือเมื่อพบท่านแม่แล้ว พวกนางสองแม่ลูกและเสี่ยวโร่วจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีผู้ใดมารังแกได้

ในดินแดนที่ความแข็งแกร่งอยู่เหนือทุกสิ่งเช่นนี้ การฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงสำคัญที่สุด  อีกทั้งการเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน  ดังนั้นนางจะไม่ยอมปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

ตอนนี้นับว่ากองกำลังอสูรมายาขนาดย่อมของนางนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยทีเดียว เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ย ทั้งสามตัวเป็นอสูรระดับเทวะ ส่วนม่อเสียเป็นอสูรเทวะราชัน และยังมีสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นอสูรมายาที่ทั้งทรงพลังและแข็งแกร่งแต่ยังระบุระดับไม่ได้อยู่อีกหนึ่ง นั่นก็คือซิว  ในขณะที่เพียงพอนที่กำลังนอนขดอยู่บนไหล่ของนางก็เพิ่งจะโตเต็มวัย ถึงแม้ความแข็งแกร่งของมันจะยังมีไม่มากนักแต่ในอนาคตก็อาจเป็นไปได้ว่ามันจะแข็งแกร่งไม่แพ้ตัวอื่นๆ ในกลุ่ม

และการมีกลุ่มอสูรมายาที่ทรงพลังถึงเพียงนี้คอยเป็นองครักษ์คุ้มครองในขณะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ก็น่าอุ่นใจและคงจะไม่มีอันตรายใดๆ เข้ามากล้ำกรายนางกับเสี่ยวโร่วได้โดยง่าย

เสี่ยวโร่วเดินตามฉินอวี้โม่มาติด ๆ เวลานี้สาวใช้น้อยอยู่ขอบเขตมายารัตนะ ในหลายวันที่ผ่านมาพลังของเสี่ยวโร่วเริ่มจะมั่นคงขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อรวมกับเสี่ยวหง พวกนางก็นับเป็นคู่หูที่แข็งแกร่งไม่น้อยเลย

“น้องเหมียว เจ้านี่โง่จริง ๆ นายหญิงบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าพวกกำลังจะเดินผ่านป่าแสงจันทร์เพื่อไปยังนครไป๋อวิ๋น”

ในหลายวันที่ผ่านมาเสี่ยวเฮยมักจะหาเรื่องหยอกล้อและแกล้งแหย่เสี่ยวเยี่ยเสมอ เสี่ยวเยี่ยเป็นอสูรมายาขี้เกรงใจจนติดจะขี้อาย และยังเป็นเพศเมียตัวเดียวในกลุ่มอสูรมายาของฉินอวี้โม่ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างเป็นจุดสนใจของอสูรรุ่นพี่ทั้งหลายในกลุ่ม

ในตอนนี้ฉินอวี้โม่กำลังก้าวเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบเร่ง เสี่ยวเฮยตัวน้อยและอสูรมายาอื่น ๆ อยู่ในร่างเล็กจิ๋ว พวกมันจำเป็นต้องเปลี่ยนร่างให้เล็กลงกว่าเดิมเพื่อให้เกาะอยู่บนไหล่บางของนายหญิงได้พร้อม ๆ กันทุกตัว

ส่วนม่อเสียที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ก็กำลังเดินอยู่เคียงข้างร่างบาง  หากจะกล่าวให้ชัดเจนแล้วม่อเสียนั้นนับว่ามีวัยวุฒิสูงกว่าตัวอื่น ๆ ในกลุ่ม หากเทียบกับมนุษย์มันก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งแต่เดิมเจ้าหมีดำตัวนี้ก็มีนิสัยถือตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง ดังนั้นมันจึงไม่อยากอยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่

“พี่เฮย ข้ารู้ว่าพวกเรากำลังจะไปที่เมืองไป๋อวิ๋น แต่ข้าแค่สงสัยว่าตอนนี้เราจะไปตรงไหนดี?”

เสี่ยวเยี่ยไม่ได้โกรธ ตรงข้ามมันกลับมีความสุขมากกว่า แน่นอนว่ามันเป็นพวกชอบอยู่กับเพื่อน ๆ หลายตัวแบบนี้มากกว่าในตอนที่อยู่กับลิ่วเยว่

ฉินอวี้โม่ที่ฟังเหล่าอสูรมายาตัวกระจิริดกระจ้อยร่อยถกเถียงกันมาตลอดทางก็อมยิ้มอย่างนึกขำ

ความจริงแล้วตอนนี้นางรู้สึกเบาใจขึ้นมาก ในตอนแรกที่มารดาหายตัวไป ในใจของนางมีแต่ความโกรธแค้นและหดหู่

ทว่าตอนนี้นางค่อย ๆ สงบใจได้ และจัดระเบียบความคิดจนเข้าที่เข้าทางขึ้นมามากแล้ว เวลานี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือตั้งสติและพยายามคิดทบทวน

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นางค่อนข้างมั่นใจก็คือท่านแม่น่าจะปลอดภัยภายใต้การช่วยเหลือของยอดฝีมือลึกลับ ท่านแม่แม้เป็นฮูหยินใหญ่ตระกูลฉิน แต่ก็ถูกขับไล่ออกมาพร้อมนางซึ่งเป็นบุตรสาวไร้ค่า หากจะกล่าวว่ามีจุดประสงค์ที่จะเรียกเงินค่าไถก็คงเป็นไปไม่ได้  และถ้าหากพิจารณาจากรูปการณ์ให้ถ้วนถี่แล้ว ยอดฝีมือผู้นั้นจะต้องคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกนางสองแม่ลูกอยู่ตลอด มิฉะนั้นคงไม่สามารถเข้าช่วยอวี้เสี่ยวอวิ๋นออกไปได้อย่างทันท่วงทีเช่นนั้น ทว่าเขาจะจับตามองพวกนางไปเพื่ออะไร หรือพาตัวมารดาของนางไปเพราะเหตุใดนั้น  ยังคงเป็นปริศนาที่ฉินอวี้โม่คิดไม่ตก

เนื่องจากเรื่องนี้เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากล  นางจึงคิดจะไปยังนครไป๋อวิ๋นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นนคราที่ใหญ่สุดในแถบนี้ก่อน  เหตุผลหนึ่งคือเพื่อตามหาเบาะแสของยอดฝีมือลึกลับ และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อตามหาพี่ชายแล้วแจ้งข่าวเรื่องของมารดาให้เขาทราบพร้อมทั้งปรึกษาหารือว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป  บางทีพี่ชายของนางอาจจะมีวิธีที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาทุกอย่างลงได้

“คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ?”

เมื่อเห็นอาการเดี๋ยวอมยิ้ม เดี๋ยวครุ่นคิดเหม่อลอยของฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย ตอนนี้คุณหนูของนางแตกต่างไปจากเดิม ถึงแม้จะยังมีช่วงเวลาที่คุณหนูจมอยู่กับความเศร้าที่ฮูหยินหายไปอยู่บ้าง แต่อย่างน้อย ๆ เมื่อเทียบกับครั้งที่ยังอยู่ในจวนตระกูลฉินแล้ว นางก็ยิ้มมากขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น กล้าหาญและมีเสน่ห์ขึ้นกว่าเดิมมาก

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าว “ข้าแค่รู้สึกว่าการได้ฟังเหล่าอสูรน้อยพูดคุยกันมันก็น่าสนใจดี”

“เจ้าค่ะ ข้าก็คิดว่าอยู่ด้วยกันเยอะ ๆ แบบนี้มีความสุขดีเหมือนกัน”

เสี่ยวโร่วยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ที่ผ่านมานางแทบไม่เคยมีเพื่อนเลย ตอนนี้แม้ว่าเพื่อนของนางจะเป็นเหล่าอสูรมายาตัวนิดตัวน้อย แต่นางก็รู้สึกว่ามันมีความสุขมากจริง ๆ

“คุณหนู ตอนนี้ท่านอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ?”

เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยความสงสัย

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ได้บอกเสี่ยวโร่วทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยคิดจะปิดบังเช่นกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาหากเสี่ยวโร่วไม่ได้ซักถามนางก็ไม่อยากจะอธิบายเท่านั้น

“ใช่ ข้าอยากจะใช้ช่วงเวลาที่เราเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ในครั้งนี้เพื่อหาโอกาสในการทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตนภามายา”

ฉินอวี้โม่ตอบ การเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ในครั้งนี้ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว นางต้องการจะหาโอกาสเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตนภมายา เพราะในตอนนี้มิติเชื่อมอสูรของนางยังไม่กว้างมากนัก หากต้องการให้อสูรมายาเข้าไปอยู่ภายในนั้นได้มากกว่านี้นางก็ควรจะรีบทะลวงพลังขึ้นไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าโดยเร็ว

ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่นางอยู่ในเมืองเล็ก ๆ อย่างหลิงซี ยอดฝีมือในขอบเขตมายารัตนะก็นับว่าหาได้ยากแล้ว ดังนั้นถึงแม้ตระกูลฉินจะมียอดฝีมืออยู่หลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่ขึ้นถึงขอบเขตนภมายา

ด้วยเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับขอบเขตนภามายาและไม่เคยเห็นตัวจริงของผู้อยู่ในขอบเขตนภมายากับตาตนเองมาก่อน  และตอนนี้นางก็อยู่ในขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว ทว่าพลังของนางกลับยังไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ ฉินอวี้โม่จึงต้องการจะสอบถามจากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ  แต่การจะทำเช่นนั้นอย่างไรก็คงต้องรอให้ถึงนครไป๋อวิ๋นเสียก่อน

แม้ว่านางจะพอคาดเดาได้ว่าหานโม่ฉือน่าจะเคยผ่านการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายามาแล้ว แต่เขาก็หายตัวไปก่อนที่นางจะได้ถาม  และเท่าที่นางเคยรู้จักมา คนอีกผู้หนึ่งที่คาดว่าน่าจะเข้าสู่ขอบเขตนภามายาแล้วเช่นกันก็คือหลินจิ้งหง  หากเป็นเขานางเชื่อว่าคงจะให้ข้อมูลที่ดีได้แน่  ซึ่งการไปที่นครไป๋อวิ๋นก็จะช่วยให้นางมีโอกาสได้พบสหายผู้นั้น

“ข้าเชื่อว่าคุณหนูจะต้องทำได้แน่เจ้าค่ะ”

เสี่ยวโร่วกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่น สาวใช้น้อยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร นางเพียงแค่เชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่ คุณหนูของนางยอดเยี่ยมยิ่งกว่าผู้ใดและจะเข้าสู่ขอบเขตนภมายาในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

“สาวน้อย นับวันเจ้ายิ่งพูดเอาใจเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ”

ฉินอวี้โม่เอ่ยคำหยอกล้อสาวใช้น้อยกลับไป

เสี่ยวโร่วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“นายหญิง ข้างหน้าเหมือนจะมีการต่อสู้ !”

ตลอดเวลาที่เดินทางอยู่ในป่าแสงจันทร์ ม่อเสียแทบจะไม่พูดเลย  มันเป็นอสูรถือตัวจึงไม่อยากจะสนทนากับตัวที่ระดับต่ำกว่า  แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและประสาทสัมผัสของมันก็เฉียบคมที่สุดในที่แห่งนี้  เมื่อรับรู้ความเคลื่อนไหวบางอย่างได้จากที่ไกล ๆ หมีดำในร่างมนุษย์จึงเป็นผู้แรกที่กล่าวเตือนขึ้นมา

*‘ก่อนหน้านี้ยังเห็นเจ้าหมีนี่ช่างพูดอยู่เลย’*ฉินอวี้โม่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะมันถูกซิวทำลายความมั่นใจไปหมด  จู่ ๆ หมีเทวะราชันก็พบว่าความแข็งแกร่งที่มันแสนภาคภูมิใจนั้นกลับอ่อนหัดเหลือเกินต่อหน้ายอดฝีมือปริศนา นั่นคงเป็นเหตุผลให้ช่วงนี้มันอารมณ์ไม่ดีจนไม่อยากจะสนทนาพาทีกับผู้ใด

ฉินอวี้โม่จ้องมองอสูรมายาที่แข็งแร่งที่สุดของนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ม่อเสีย  อันที่จริงเจ้าไม่ต้องหดหู่ไปหรอกนะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นอสูรที่มีความภาคภูมิและหยิ่งทะนง อย่าได้เสียความมั่นใจเพราะพ่ายแพ้ให้แก่ตัวตนน่าเกรงขามอย่างซิวเลย”

ฉินอวี้โม่กล่าวปลอบใจม่อเสีย แม้แต่นางเองก็ยังมองความแข็งแกร่งของซิวไม่ออก เจ้าหมีดำเองก็ควรจะลืมเรื่องซิวไปได้แล้ว

ม่อเสียพยักหน้าและก้าวเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร

“ม่อเสีย เจ้าคิดว่าการได้เป็นอสูรมายาของนายหญิงมันน่าอับอายสินะ?”

เสี่ยวจินตัวนิดเอ่ยขึ้นมา ก่อนหน้านี้มันเองก็เคยถูกซิวเผาจนเกือบจะกลายเป็นนกย่าง แน่นอนว่ามันย่อมรู้ถึงความน่ากลัวของซิวดี แต่เจ้าเหยี่ยวทองก็ไม่คิดว่าการเป็นสัตว์อสูรของฉินอวี้โม่จะน่าอับอายแต่อย่างใด

“ไม่ใช่ ข้าแค่ยังปรับตัวไม่ได้”

ม่อเสียส่ายหัว ที่มันพูดออกไปคือเรื่องจริง

“ข้าเข้าใจ เจ้าคิดว่าพวกเราถูกมนุษย์ข่มเหงรังแกมานานสินะ เจ้าถึงได้อยากจะแก้แค้นมนุษย์ พอต้องตกมาเป็นอสูรมายาของมนุษย์เสียเองเจ้าถึงทำใจยอมรับไม่ได้”

เสี่ยวเฮยเอ่ยขึ้นราวกับมันเข้าไปนั่งอยู่กลางใจหมีดำเทวะราชัน

“การปลุกระดมเหล่าอสูรมายาในป่าแสงจันทร์ให้บุกเข้าไปโจมตีเมืองเยว่กวาง เป็นความคิดของข้าเอง แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์รุกล้ำเข้าไปในถิ่นที่อยู่เรา ไล่ล่าจับอสูรมายา บ้างก็ฆ่าให้ตาย บ้างก็เอาไปใช้งาน ข้าต้องการสั่งสอนและแสดงพลังของเหล่าอสูรมายาให้พวกมนุษย์ได้เห็น จะได้ไม่กล้าเข้ามารังแกพวกเราอีก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องตกเป็นอสูรมายาของมนุยษ์เสียเองแบบนี้”

ดูเหมือนว่าคำพูดของเสี่ยวเฮยจะแทงใจหมีเข้าอย่างจัง จึงทำให้ม่อเสียพรั่งพรูความในใจทั้งหมดออกมา

มันสงสัยมาตลอดว่าในเมื่ออสูรมายาถูกพวกมนุษย์ข่มเหงรังแกมานานแสนนาน แล้วเหตุใดอสูรมายาบางส่วนถึงได้ยอมไปเป็นทาสรับใช้ของมนุษย์แถมยังทำท่าทีมีความสุขนักหนา  เรื่องนี้หมีดำผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยยอมรับได้

“ม่อเสีย ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งธรรมชาติจะเป็นผู้คัดสรร ความสัมพันธ์ของมนุษย์และอสูรมายาก็เป็นเช่นนี้มาช้านาน ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ฆ่าอสูรมายา เหล่าอสูรมายาเองก็เข่นฆ่ามนุษย์ไปไม่น้อยเลยเช่นกัน  อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องที่อสูรมายาทำร้ายหรือจับมนุษย์กินเลย”

ฉินอวี้โม่เอ่ยปากขึ้นเพื่อปรับทัศนะของอสูรมายาจอมทระนง ม่อเสียมีนิสัยหยิ่งยโส ทว่าต้องยอมรับว่ามันมีความคิดที่ละเอียดอ่อนทั้งยังชอบคิดเล็กคิดน้อย อาจเป็นเพราะมันเกิดมาเป็นราชา เป็นผู้นำแห่งหมู่มวลอสูร ทำให้เจ้าหมีราชันชอบคิดแทนอสูรทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่ามันคำนึงถึงการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ และความสงบสุขของเหล่าอสูรมายา

อย่างไรก็ตาม ม่อเสียเกิดมาก็อยู่ในจุดที่สูงที่สุดมันจึงมักจะมองว่ามนุษย์เป็นฝ่ายข่มเหงอสูรมายา ทว่ากลับไม่เคยมองในมุมมองที่ว่าทั้งหมดเป็นวัฏจักรของห่วงโซ่อาหาร  ไม่ใช่แต่เพียงมนุษย์ที่เข่นฆ่าอสูรมายา แต่อสูรมายานั้นก็จู่โจมและไล่ล่ามนุษย์เช่นกัน  นี่คือความสัมพันธ์ของการอยู่ร่วมกันในธรรมชาติของมนุษย์และอสูรมายา  ในดินแดนหวนหลิงที่ความแข็งแกร่งคือทุกสรรพสิ่งแล้ว สำหรับทั้งมนุษย์และอสูรมายาผู้ใดแข็งแกร่งกว่าก็คือผู้รอดชีวิต

“ข้าเข้าใจแล้วนายหญิง”

หลังจากฟังวาจาของสตรีมนุษย์ผู้เป็นนาย ม่อเสียก็พยักหน้าราวกับว่ามันเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว

“มีตัวอย่างที่ดีอยู่ตรงหน้าเจ้า”

เมื่อเห็นใบหน้ายุ่งยากใจของม่อเสีย ฉินอวี้โม่ก็ชี้นิ้วไปด้านหน้า

ที่เบื้องหน้านั้น ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่มากนัก ปรากฏร่างของอสูรมายาแสนดุร้ายกำลังเขมือบร่างมนุษย์เข้าไปในปาก ข้าง ๆ ตัวของมันยังมีเศษกระดูกที่แตกหักหล่นกระจัดกระจายอยู่ด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเศษกระดูกมนุษย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากการที่มันตะลุยกินอย่างตะกละตะกลามจนไม่สามารถจัดการอาหารได้อย่างหมดจด

“นี่คือจุดจบของมนุษย์ที่ไม่ตอบโต้อสูรมายา ไม่ใช่ว่าอสูรมายาหรือมนุษย์ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ และไม่ใช่ว่าอสูรมายาและมนุษย์ทุกคนจะกลายเป็นเพื่อนกันได้”

“นายหญิงพูดถูกแล้ว ข้าเคยเป็นอสูรมายาของคนชั่วมาก่อน ชายคนนั้นไม่เคยปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นอสูรมายาคู่กาย แต่มองเห็นข้าเป็นเพียงทาสรับใช้ เขาไม่ได้ใจดีเหมือนนายหญิง เขาโหดร้ายมาก ข้าต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง ข้าอยากจะหนีไปจากเขาให้พ้น ๆ แต่ข้าก็รู้ไม่ว่าจะต้องทำยังไง ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีจริง ๆ ที่ได้มาพบนายหญิง”

เสี่ยวเยี่ยเล่าความในใจของมันเสียงหวาน เสือที่เหลือขนาดตัวเพียงนิดเดียวพยักหน้าประกอบอย่างหนักแน่น

มันติดตามลิ่วเยว่มาก่อน เมื่อมันทำสิ่งใดไม่ได้ดั่งใจเขา มันก็มักจะถูกลิ่วเยว่ดุด่าหรือข่มขู่อยู่ตลอด ตอนนี้เมื่อมันได้มาอยู่กับฉินอวี้โม่ มันก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาก

“ใช่ เหมียวน้อยพูดถูกแล้วล่ะ นายหญิงใจดีที่สุด พวกข้าเองก็มีความสุขมาก”

เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินพยักหน้าเล็กๆ ของมันหงึกหงักเพื่อสนับสนุนวาจาของสหาย

“โร่วววววววว !”

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นมังกรดินก็มองเห็นฉินอวี้โม่และกองกำลังอสูรมายาของนาง

มังกรดินเป็นอสูรเทวะดาราสูง ร่างกายของมันแข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทานและมีพละกำลังอันมหาศาล หากมนุษย์คนใดถูกหางยาว ๆ ของมันฟาดเข้าใส่ คนผู้นั้นก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายได้

โดยธรรมชาติแล้วมังกรดินเป็นอสูรมายาที่โหดร้าย มันไร้อารมณ์หรือความยั้งคิด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อสูรมายา หรือแม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวกัน  ตราบใดที่อีกฝ่ายอ่อนแอกว่าก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันทั้งหมดนั่นก็คือ*…* ถูกมันจับกิน

ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มนักผจญภัยโชคร้ายบังเอิญผ่านมาเจอเจ้ายักษ์เขี้ยวคมตัวนี้เข้า  และตอนนี้พวกเขาก็กลายเป็นอาหารของมันไปเรียบร้อยแล้ว

“ฮ่า ๆ มีอาหารน่าอร่อยเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะโชคดีเหลือเกิน”

มังกรดินส่งเสียงออกมา และวิ่งตรงเข้าหาคณะเดินทางของฉินอวี้โม่

“นายหญิง ให้ข้ารับมือกับมันเอง !”

ในตอนนี้ คล้ายว่าม่อเสียจะเข้าใจในบางอย่างขึ้นมาแล้ว ใบหน้าของอสูรเทวะราชันร่างมนุษย์กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง

ร่างของม่อเสียหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ในฉับพลัน มันพุ่งเข้าหามังกรดินอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ามนุษย์ตัวเล็ก อยากจะเข้ามาอยู่ในท้องของข้ามากขนาดนั้นเลยรึ?”

เมื่อเห็นม่อเสียพุ่งตรงเข้ามาหา มังกรดินก็กล่าวอย่างรื่นเริง มันดูมีความสุขมาก

“ข้าแค่คิดว่าหนังหนา ๆ ของเจ้าน่าสนใจดี เลยอยากจะถลกมันออกมาทำเกราะเสียหน่อย”

ม่อเสียตอบกลับไปอย่างโอหัง ในระหว่างที่กำลังพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย หมีดำเทวะราชันก็เปลี่ยนกลายกลับมาเป็นร่างจริง

“โฮกกกกก !”

ม่อเสียคำรามออกมาดังสนั่นก่อนจะกางกรงเล็บและตะปบอุ้งเท้าหน้าเข้าใส่หน้ามังกรดิน

เจ้ามังกรตะกละนี่ช่างไม่เจียมตัว เป็นเพียงอสูรเทวะตัวน้อย ๆ แต่กลับกล้ามาโอหังต่อหน้ามัน แม้ว่าหนังของมังกรดินจะแข็งและหนา แต่ก็คงไม่คณนากรงเล็บของหมีดำระดับเทวะราชันเป็นแน่!

เมื่อเห็นม่อเสียเปลี่ยนร่างมาเป็นหมีดำอย่างกะทันหัน มังกรดินก็ผงะไปเล็กน้อย  ก่อนที่พริบตาต่อมา ภายในแววตาของมันจะปรากฏอาการตื่นตระหนก

อีกฝ่ายเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้แสดงว่าอย่างต่ำที่สุดก็ต้องเป็นอสูรเทวะราชัน แม้ว่าเกราะของมันจะแข็ง แต่ก็คงจะต้านทานพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งของอสูรเทวะราชันไม่ได้เป็นแน่!

เมื่อคิดได้เช่นนี้มังกรดินก็หันหลังและวิ่งหนีเข้าไปในป่า ทว่าก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้พ้น

เมื่อเห็นมังกรดินวิ่งหนี ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้อสูรเทวะทั้งสามที่อยู่บนไหล่

เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ยเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างและขนาดที่แท้จริงก่อนจะพุ่งเข้าขัดขวางการหลบหนีของมังกรดินอย่างรวดเร็ว

“เจ้ามังกรดินบัดซบ ตายซะเถอะ !”

ทว่าในเวลานั้นเองเสียงของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้น

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แข็งแกร่งกำลังมุ่งตรงมาในทิศทางที่ทุกคนอยู่