กู้หมิงเฟิงไม่ได้พูดอะไร ความเงียบนั้นคือการยืนยัน
“เหตุใดตระกูลกู้จึงโหดร้ายกับเจ้านัก?” มู่หงอวี๋ตกตะลึง
กู้เมิงเฟิงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลกู้เช่นกัน เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้?
แม้นางจะรู้ว่ากู้หมิงเฟิงจะไม่เป็นที่รักของตระกูลกู้ และถูกปฏิบัติต่างจากกู้หมิงจูราวฟ้ากับเหว แต่มันมากเกินไปที่ตอนนี้ไล่เขาออกจากตระกูล และยังปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้
นางไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งสองต่างเป็นลูกของตนเอง เหตุใดกู้อวิ๋นเฟยจึงเกลียดกู้หมิงเฟิงถึงเพียงนี้
กู้หมิงเฟิงตอบเบาๆ “พวกเขาเกลียดข้า ข้าชินแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมาที่เขาครู่หนึ่ง และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยความโศกเศร้าในแววตาของเขา นางจึงอดหัวเราะไม่ได้
“สำหรับตระกูลเช่นนี้ ออกไปเสียดีกว่าอยู่ รีบออกมาก่อนที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้! รอให้ร่างกายเลี่ยวจงซูดีขึ้น พวกเราไปฉลองที่เฟิ่งหวงกัน!”
กู้หมิงเฟิงคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะพูดชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนาง นางดูจริงใจมาก
แท้จริง นางแยกตัวออกจากตระกูลก่อนเขาเสียอีก
แม้ฉู่หลิวเยว่จะตัดขาดความสัมพันธ์ด้วยตัวเอง แต่เขาถูกบังคับให้ออกมา แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน
กู้หมิงเฟิงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาถอนหายใจ
“อืม”
เฉินหู่ที่อยู่ข้างๆถามขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว พวกเจ้าพูดเมื่อสักครู่นี้ เกิดอะไรขึ้นกับจงซู?”
เขาอยู่ข้างนอกทั้งวันทั้งคืน จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสำนัก
ฉู่หลิวเยว่มองไปรอบๆอย่างสงบเยือกเย็น
“ข้าไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ในหนึ่งหรือสองประโยค หากมีเวลาข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด เฉินหู่ เจ้ากับกู้หมิงเฟิงไปพักฟื้นก่อน หากมีข่าวอะไร ข้ากับหงอวี๋จะรีบไปบอกพวกเจ้าทันที”
เฉินหู่ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด พร้อมทั้งตอบรับในทันที
ทว่ากู้หมิงเฟิงกลับขมวดคิ้ว แต่กลับไม่พูดอะไร
…
“เจ้าดูสิ ท่านแม่ของเจ้าอาศัยอยู่ที่นั่นในตอนนั้น”
ผู้อาวุโสซุนเดินไปพร้อมกับหรงซิว พลางแนะนำสำนัก
หรงซิวทอดสายตามองไปตามที่เขาพูด มองผ่านแม่น้ำสายหนึ่งที่คดเคี้ยว มีเกลียวคลื่นระยิบระยับ และมีลานเล็กๆ ที่เงียบสงบอยู่หลังเชิงเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่าน
“ที่ที่นางอาศัยอยู่อีกทางด้านหนึ่งของที่พักอาศัยปรมาจารย์และนักเรียน นางชอบความเงียบสงบ นักเรียนต่างเคารพและชอบนาง ดังนั้นถึงแม้สนิทสนมกัน แต่ก็ไม่เคยรบกวนนาง”
ผู้อาวุโสซุนคิดถึงหญิงสาวที่อ่อนโยนและใจกว้าง ในขณะที่เขากำลังพูด
“ใช่แล้ว เจ้าน่าจะรู้ ท่านแม่ของเจ้าคือปรมาจารย์ และนางก็เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่?”
หรงซิวพยักหน้า
“เสด็จพ่อเคยตรัสถึง”
ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“พรสวรรค์ของท่านแม่เจ้าในฐานะปรมาจารย์นั้นยอดเยี่ยมมาก หากมีเวลาอีกสักสองสามปี ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่นางจะกลายเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุด น่าเสียดาย…”
หญิงงามอาภัพอยู่ที่นี่สองปีแล้วจากไป
แม้แต่หรงซิว หลังจากที่เขาเกิดได้ไม่นานก็ถูกส่งไปยังหมิงเย่ว์เทียนซาน และไม่เคยเห็นนางเลยสักครั้ง
ในขณะที่กำลังพูดคุย ทั้งสองได้เดินถึงด้านหน้าลานแล้ว
เหนือประตูมีป้ายไม้ท้อซึ่งมีตัวอักษรเล็กๆ สลักอยู่สองสามตัว
“ลานอี๋เฟิง”
“ในตอนนั้นป้ายนี้นางเป็นผู้แกะสลักเอง”
ผู้อาวุโสซุนมองไปยังหรงซิว “ไม่มีผู้ใดมาที่นี่หลายปีแล้ว เมื่อได้ยินว่าเจ้าจะมา เดิมทีคิดมาจะส่งคนมาทำความสะอาด แต่เมื่อไตร่ตรองแล้ว ทั้งหมดเป็นของเก่าของนาง ดังนั้นจึงมอบให้เจ้าทั้งหมดดีกว่า”
“ขอบคุณผู้อาวุโสซุนมากที่เห็นอกเห็นใจข้า”
“เรื่องเล็ก ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ถ้าเช่นนั้น…ข้าขอตัวก่อน”
“เชิญเถิดท่านผู้อาวุโสซุน”
เมื่อผู้อาวุโสซุนจากไป หรงซิวจึงผลักประตูเข้าไปด้านใน
ลานอี๋เฟิงไม่ใหญ่โต แต่มีความวิจิตรงดงามในทุกหนทุกแห่ง แสดงให้เห็นรสนิยมของผู้อาศัยที่นี่ในกาลนั้น
ในลานไม่มีดอกไม้ พืชพรรณเหมือนที่อื่นๆ ทว่ามีต้นท้อที่มีใบเขียวชอุ่มหนึ่งต้น
มีเก้าอี้หวายหนึ่งตัวอยู่ใต้ต้นท้อ และยังมีชุดน้ำชาหนึ่งชุดวางอยู่บนพื้นหินที่อยู่ข้างๆ
หรงซิวโบกแขนเสื้อปัดฝุ่นออกจากเก้าอี้หวาย จากนั้นจึงนอนลง
เนื่องจากเก้าอี้หวายไม่มีคนนั่งเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด
หรงซิวหลับตาลง
สายลมพัดผ่าน หอบชายเสื้อคลุมของเขาให้ม้วนขึ้นตามแรงลม
ใบไม้สีเขียว ร่วงโรยลงมาบนหน้าและร่างกายของเขา
โดยเฉพาะใบไม้บางๆ เล็กๆ ที่ติดอยู่บนริมฝีปากบางที่แดงของเขา
ทั้งสองสีช่วยส่งเสริมกันและกัน แลดูงดงามราวกับภาพวาด
ฉู่หลิวเยว่เห็นภาพนั้น ในขณะที่กำลังเดินข้ามสะพานแม่น้ำ
นางและมู่หงอวี๋แยกย้ายกันไป นางกำลังจะเดินกลับไปเอาของ ทว่ายังไม่ทันจะเดินถึงที่พักของตนเอง กลับต้องถูกทิวทัศน์ของที่นี่ดึงดูด
ลานอี๋เฟิงไม่ไกลจากสะพานนี้เท่าไหร่นัก ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นางกะพริบตา
นางเคยเห็นลานนั้นมาก่อน ทว่ากลับไม่เคยไป เพราะมันเงียบมาก
หรือว่าลานนั้นจะเป็นสถานที่ที่แม่ของหรงซิวเคยอาศัยอยู่?
นางกวาดสายตาไปยังใบหน้าของหรงซิว
ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ผิวของเขาขาวผ่องราวกับหยก จนเกือบจะโปร่งใส คิ้วงามเสมือนภาพวาด จมูกดูสันเป็นคม ร่องแก้มเรียบไร้ริ้วรอย ช่างงดงามไร้ที่ติ
คนผู้นี้ได้รับพรพิเศษจากเทพพระเจ้า จึงมีรูปร่างหน้าตาที่งามสง่าเช่นนี้
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่จึงนึกถึงการประเมินของตนที่เคยมีต่อเขาได้
ก็แค่งั้นๆนางรู้สึกขวยเขินขึ้นมาในทันใด
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติที่จะบอกว่าหน้าตาดีจริงๆ
ราวกับว่าเขารับรู้ถึงการจ้องมองของนาง ขนตาของหรงซิวสั่นไหว ทันใดนั้นเขาจึงลืมตาขึ้น พร้อมทั้งมองไปที่นาง
ทั้งสองสอดสายตาประสานกัน
ดูเหมือนว่าเขากำลังงีบหลับอยู่ใต้ต้นไม้สักพัก แววตาของเขายังคงหลงเหลือความเกียจคร้านและความงุนงงหลังจากตื่นนอน ดวงตาคู่นั้นบริสุทธิ์มาก
ฉู่หลิวเยว่เหมือนคนที่กำลังทำผิดแล้วถูกจับได้ นางละสายตาออกจากเขาโดยไม่รู้ตัว
ทว่าทันทีที่นางเบือนหน้าหนี นางกลับรู้สึกเสียใจ นี่ยิ่งทำให้นางดูมีพิรุธมิใช่หรือ!?
เมื่อก่อนทั้งสองไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง นางกลับไม่รู้สึกอะไร เหตุใดตอนนี้จึงรู้สึกผิดเมื่อมองเขา?
หากนางเดินหนีไปตอนนี้ บางทีอาจจะถูกหรงซิวหัวเราะเยาะจนต้องวิ่งหนีเตลิดไป
ครั้นเมื่อคิดดังนั้น ฉู่หลิวเยว่จึงกัดฟัน พร้อมทั้งหันกลับมามองอีกครั้ง ราวกับว่าอยากจะใช้สายตาของตนโจมตีเขาให้ตาย
จ้องมอง!
จ้องสิ่งใด!?
เขานอนอยู่ตรงนี้ ไม่เห็นมีผู้ใดผ่านไป? นางกลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย!
ทันใดนั้นมีเสียงผู้หญิงหลายคนดังอยู่ด้านหลัง
“เดี๋ยวก่อน นั่นคือ…หลีอ๋อง?”
“ดูเหมือนจะใช่! เป็นดังข่าวลือที่ว่าท่านมีรูปลักษณ์โฉมงามมิมีผู้ใดเทียม!”
“ดูเหมือนว่าท่านจะอาศัยอยู่ที่นั่น? ซึ่งไม่ห่างไกลจากพวกเรา!”
“ชู่ว์! เบาๆ หน่อย! พวกเจ้าไม่กลัวใครได้ยินหรือ? รักนวลสงวนตัวกว่านี้หน่อยได้หรือไม่!”
แม้จะไม่หันกลับมามองว่าคือผู้ใด ทว่าไม่ยากเกินจะจินตนาการถึงความชื่นชมและความตื่นเต้นของผู้พูด
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกไม่สบอารมณ์
ชายคนนี้คงไม่ตั้งใจนอนตรงนั้นหรอกใช่ไหม?
หลีอ๋องผู้สง่างาม ไม่รังเกียจที่ถูกผู้คนเดินผ่านไปมาจ้องมอง?
ครั้นเมื่อคิดเช่นนั้น แววตาของนางจึงแสดงความโกรธออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อหรงซิวมองไปที่นาง ฉับพลันริมฝีปากบางของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย