จากมุมของฉู่หลิวเยว่มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปลายลิ้นของเขาค่อยๆ ม้วนใบไม้เข้าไปในปาก
ท่วงท่าของเขาเวลานี้ช่างคลุมเครือยิ่งนัก ทว่าถึงอย่างไรดวงตาหงส์ของเขายังคงมีความใสบริสุทธิ์ ราวกับว่าเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำสิ่งใดมากมายเพียงใด…
สี กลิ่น ท่วมท้น ท่วมพูนไปหมด!
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ร้อนผ่าว
มากเกินไป มากเกินไปแล้ว!
ค่อยๆ ย่องปีนขึ้นเตียงในเวลากลางคืนก็แล้วไปเถิด ทว่ายามนี้กลับกล้ายั่วยวนในที่เปิดโล่ง!
ยั่วยวนนางไม่เป็นไร แต่ด้านหลังยังมีผู้อื่นอยู่!
ฉู่หลิวเยว่หันหลังกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัว กลับพบว่าหญิงสาวหลายคนที่พูดก่อนหน้านี้อยู่ห่างออกไปไกล จึงไม่เห็นว่าหรงซิวกำลังทำสิ่งใด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกโล่งใจในทันที ทว่าหน้าอกของนางยังคงดูเหมือนมีอะไรมาขวางกั้น
นางเม้มริมฝีปาก พลางจ้องเขม็งกลับไป แล้วเดินกลับไปยังบ้านพักของตนเอง
ปัง!
ประตูถูกปิดเสียงดัง
หรงซิวมองไปที่นั่น พร้อมทั้งอมยิ้มเล็กน้อย
นี่คือ…โกรธหรือ?
……
ฉู่หลิวเยว่กลับมาที่บ้านเพื่อค้นหาของบางอย่าง แต่ภาพนั้นยังคงอยู่ในใจของนาง
นางรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ไม่สามารถอธิบายกับตนเองได้ จึงขึ้นไปชั้นสองเพื่อสงบสติอารมณ์
ทว่าทันทีที่นางเปิดหน้าต่างออก นางกลับเห็นหรงซิวอีกครั้ง
ที่ที่เขาอาศัยอยู่นั้นไม่ไกลจากนางมากนัก ดังนั้นชั้นสองจึงสามารถเห็นเขาได้ถนัดตา
ฉู่หลิวเยว่ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด และทำได้เพียงแค่ปิดหน้าต่าง
หรงซิวมาสำนักเทียนลู่อย่างกะทันหันและไม่ได้ตั้งใจที่จะมา
เมื่อก่อนเขาจะอ้างว่าป่วย และอาศัยที่จวนหลีอ๋อง ซึ่งไม่ได้ออกไปไหนมากนัก อีกทั้งยังปฏิเสธการเยี่ยมเยียนของทุกตระกูล
ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ว่าหลีอ๋องอ่อนแอและขี้โรค เขาไม่ค่อยได้เจอลม หรือแม้แต่ผู้คนก็ไม่ค่อยได้พบเช่นกัน
เขาทำเช่นนั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขาอย่างชัดเจน
ทว่าเวลานี้ เหตุใดเขาจึงมาสำนักอีกครั้ง?
นี่ไม่ใช่การพาตัวเองออกมาจากความมืดหรอกหรือ?
ฉู่หลิวเยว่คาดเดาในใจ ทว่ากลับไม่กล้าเชื่อมานัก
หรงซิวคงจะไม่…
ทันใดนั้นไหล่ของนางทรุดลง และมีสิ่งที่มีขนปุกปุยกระโดดมาที่ตัวนาง
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่มัน
“ตื่นแล้วหรือ?”
เจ้าตัวเล็กบิดขี้เกียจ พร้อมทั้งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ พลางบีบหูของมัน
“เจ้านอนได้เก่งจริงๆ”
หลังจากที่กลับจากบรรพตวั่นหลิง เจ้าตัวเล็กตัวนี้นอนหลับสองวันสองคืนเต็มๆ
ฉู่หลิวเยว่จับมันขึ้นมา และมองไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงถามด้วยความประหลาดใจ “แผลบนตัวเจ้าหายดีแล้วหรือ?”
แม้ว่ามันจะไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน แต่บนร่างกายของมันกลับมีรอยแผลเป็นมากมาย ทว่าเพิ่งผ่านมาเพียงแค่สองวัน รอยแผลบนร่างกายของมันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่ใช่การตกสะเก็ด แต่เป็นการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน!
ผู้ใดที่พบเห็นต้องไม่เชื่อว่ามันเคยถูกนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาโจมตีมาก่อน
เจ้าตัวเล็กกะพริบตา
“ข้าจำเผ่าพังพอนโลหิตได้ ความสามารถในการฟื้นฟูยังไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำ
ในชาติที่แล้วนางเคยเห็นพังพอนโลหิตที่เลี้ยงดูโดยธิดาผู้สูงศักดิ์จากตระกูลขุนนาง แต่พวกมันถูกเลี้ยงให้เป็นสัตว์เลี้ยง เนื่องจากพลังการต่อสู้ของพวกมันอ่อนแอมาก ดังนั้นจึงได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง
ทว่าในตอนนี้เจ้าตัวเล็กตัวนี้…
“ในเมื่อเจ้าตามข้ามาแล้ว ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้า ชื่อ…เสี่ยวเฉียงดีหรือไม่?”
ทันใดนั้นเจ้าตัวเล็กกลับแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความโกธา พลางโบกกรงเล็บไปมา
ไม่ได้!
มันยังคงสับสน!
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยต่ออย่างจริงจัง “เจ้าดูสิ เจ้าพร้อมที่จะต่อสู้ถึงเพียงนี้ ชื่อนี้เหมาะสมที่สุดแล้วใช่หรือไม่?”
ไม่!
เจ้าตัวเล็กกลอกตา แล้วแกล้งตาย
ฉู่หลิวเยว่เขย่ามัน
“ในเมื่อเจ้าไม่ชอบ ถ้าเช่นนั้นเปลี่ยนเป็น ชื่อ…ถวนจือ!”
เจ้าตัวเล็กเหยียดขาตรง หลับตาสนิทไม่ยอมตื่นขึ้นมาเผชิญกับโลกที่เลวร้ายใบนี้
“ในเมื่อเจ้ายอมรับโดยปริยาย ถ้าเช่นนั้นก็ใช้ชื่อนี้เถอะ!”
เจ้าตัวเล็กลืมตาในทันที!
ฉู่หลิวเยว่กดค้างไว้ที่หัวของมัน
“…เสร็จเรียบร้อย”
ถวนจือประท้วงด้วยการปิดปาก
ช่างมันเถอะ ยังสามารถคาดหวังสิ่งใดได้อีกจากเจ้านายเช่นนี้?
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่มัน ทันใดนั้นความสงสัยได้แวบเข้ามาในหัวของนาง
พังพอนโลหิตเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับสาม ตามหลักแล้วจิตใจของมันเทียบเท่ากับเด็กอายุหนึ่งถึงสองขวบเท่านั้น ทว่าตัวนี้กลับฉลาดมากกว่า
ร่างกายของมันมีความลึกลับมากมาย…
“ก๊อก ก๊อก”
มีเสียงเคาะประตูจากชั้นล่าง
ฉู่หลิวเยว่ลงมาเปิดประตูด้วยความงุนงง จึงได้พบว่าคือซือหยางที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“ซือหยาง? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
เมื่อซือหยางเห็นนาง จึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมทั้งมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด
“หลิวเยว่ เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ! เจ้าเก่งเกินไปหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ยินข่าว แต่ทว่าเขากลับไม่กล้าเชื่อ และเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเองในวันนี้ เขากลับยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก
พวกเขาต่างรู้ว่าบรรพตวั่นหลิงอันตรายมากเพียงใด ฉู่หลิวเยว่กลับมีชีวิตรอดกลับมา!
“อันที่จริงข้าอยากจะมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยก็เลยมาข้า”
ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้ใส่ใจ พร้อมทั้งยิ้มและพูดว่า “ข้าสบายดี”
ซือหยางประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นถวนจือบนไหล่ของนาง “นี่คือพังพอนโลหิตไม่ใช่หรือ? เจ้า… เจ้ามีสิ่งนี้อยู่ข้างกายมานานเท่าไหร่แล้ว?”
“นี่… ข้าบังเอิญเจอมันที่บรรพตวั่นหลิง ข้าเห็นมันนอนหลับจึงนำมันกลับมาด้วย”
“ว่าอย่างไรนะ? เจ้ารับมันมา? หลิวเยว่ แม้ว่าพังพอนโลหิตนี้จะน่ารัก แต่พลังการต่อสู้ของมันอ่อนแอมาก! ทั้งยังลำบากในพาที่อื่นอีกด้วย!”
ในขณะที่ซือหยางกำลังพูด ถวนจือก็ลืมตาขึ้น
ฉู่หลิวเยว่คิดว่ามันจะโกรธ คาดไม่ถึงว่ามันจะเพียงแค่เหลือบมองซือหยางอย่างเย็นชา จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง หางของมันแกว่งไกว ดูเหมือนว่าซือหยางจะไม่ได้อยู่ในสายตาของมันเลย
ซือหยางยกมุมปากขึ้น
“เมื่อสักครู่มันมันมันดูถูกข้าหรือ?!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเห็นด้วย
“ชัดเจนมาก”
ทันใดนั้นซือหยางก็รู้สึกสงสัย
พังพอนโลหิตระดับสามตัวเล็กๆ ดูถูกเขาจริงๆหรือ?!
“เจ้ามาหาข้าในวันนี้ มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่ถาม
ซือหยางเหลือบมองถวนจือด้วยความขุ่นเคือง แล้วพูดว่า “มี! เมื่อสองวันก่อนเจ้าขาดเรียน อาจารย์ตงฟางให้ข้ามาถามเจ้าว่าจะเข้าร่วม ‘สมาคมเยาวชน’ ในครึ่งเดือนหลังหรือไม่”
“งานสมาคมเยาวชน?”
“เจ้าไม่รู้จักหรือ? เป็นการแข่งขันปรมาจารย์ที่จัดขึ้นทุกปี! เมื่อถึงตอนนั้น ‘แคว้นจักรหวยชาง’ และ ‘แคว้นจักรซิงหลัว’ ที่อยู่ใกล้เคียงจะส่งอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดมาร่วมแข่งขันด้วย! สมาคมเยาวชนนี้ยิ่งใหญ่นัก หลายปีที่ผ่านมามีรางวัลมากมายมหาศาล เจ้าจะเข้าร่วมการแข่งขันปรมาจารย์นี้หรือไม่?”