ตอนที่ 773 ตราบใดที่มันทำให้คุณเจ็บปวด

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

“เด็กๆ ก็มักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำแบบนี้แหละค่ะ ไม่ต้องกังวลหรอก” หลงเจี่ยได้กลายเป็นผูเชี่ยวชาญด้านนี้นับตั้งแต่ตั้งท้อง “ไม่ว่ายังไงบ้านคุณก็มีคนเยอะแยะคอยช่วยดูแลเด็กๆ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลหรอกนะคะ”

 

 

ถังหนิงมองดูลูกชายทั้งสองที่กำลังหลับปุ๋ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่ว่าจะมีสักกี่คนที่เข้ามาในบ้านเพื่อดูแลเด็กๆ ก็ไม่มีใครแทนที่แม่ของเด็กทั้งสองได้ ไม่ว่ายังไงถังหนิงก็ยังเป็นห่วงลูกของเธอเสมอ

 

 

หลังการถ่ายทำ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ถังหนิงได้มีโอกาสไปเยี่ยมผู้กำกับเฉินเฟิงครั้งหนึ่ง เมื่อได้เห็นขาของอีกฝ่ายกำลังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถังหนิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

 

 

“ตอนแรกฉันคิดว่าการออกอากาศของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะได้รับผลกระทบเพราะยังมีฉากสำคัญอีกหลายฉากที่ยังไม่ได้ถ่ายเลย ฉันไม่คิดเลยว่าประธานโม่จะดัดแปลงลำดับเนื้อเรื่องใหม่จนละครไปจบตอนจุดไคลแม็กซ์ที่จวินอี้หลานถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ เหลืออีกสิบที่ต้องถ่ายทำ แย่จริง” ผู้กำกับเฉินเฟิงกล่าวด้วยความเสียดาย “เพราะส่วนน้อยที่ยังไม่ได้ถ่ายทำให้เราไม่สามารถออกอากาศได้”

 

 

“ทุกคนต่างรู้สึกว่าตอนจบแบบนั้นให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี ถึงมันจะไม่จบสมบูรณ์เท่าตัวนิยาย แต่ก็ยังเป็นการถ่ายทำที่ยอดเยี่ยม” ถังหนิงตอบพร้อมรอยยิ้ม

 

 

ผู้กำกับเฉินเฟิงเองก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เขาจะมองถังหนิงอย่างจริงจัง

 

 

“ผู้กำกับเฉินอยากจะพูดอะไรอย่างนั้นหรือคะ”

 

 

ผู้กำกับเฉินเฟิงหยิบเอาบทออกมาจากใต้หมอนของเขาก่อนส่งมันให้ถังหนิง จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง “ฉันแนะนำงานนี้ให้เธอ ถ้าเธอร่วมกับหนังเรื่องนี้ฉันว่าเธอจะต้องออกมาน่าทึ่งมากแน่”

 

 

ถังหนิงมองดูบทในมือซึ่งเป็นหนังที่มีชื่อว่า ‘ผู้รอดชีพ’

 

 

“หนังเรื่องนี้อิงจากเรื่องจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบนตกที่เกิดขึ้นในปักกิ่งเมื่อยี่สิบปีก่อน ฉันได้อ่านบทพวกนั้นแล้ว ตัวละครเอกมีหลากหลายมิติแล้วก็น่าทึ่ง นั่นคือเหตุผลที่ฉันแนะนำให้เธอ กลับบ้าไปคิดเรื่องนี้ให้ละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจแล้วกัน”

 

 

“ขอบคุณค่ะผู้กำกับเฉิน”

 

 

“บางทีตลอดทั้งเรื่องเธออาจไม่มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าที่สะอาดหรือได้กินอาหารดีๆ เลยสักมื้อก็ได้นะ ไม่ต้องพูดถึงสภาพภายนอกเลยเพราะเธอจะดูเหมือนผู้หญิงเสียสติ มีนักแสดงหญิงหลายคนกลัวบทแบบนี้เพราะกลัวว่าภาพลักษณ์ของตัวเองจะถูกทำลาย แต่ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอ”

 

 

ผู้กำกับเฉินเฟิงเชื่อมั่นว่าถังหนิงซึ่งเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักแสดงจะไม่กังวลกับภาพลักษณ์ของตัวเองถ้าได้พบกับบทที่ดี

 

 

“ฉันจะไปอ่านบทนี้ให้ดีค่ะ”

 

 

ถังหนิงให้คำมั่นด้วยความจริงใจกับเฉินเฟิง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันทุกครั้งที่ผ่านมาเพราะความรู้สึกของการแบกบทละครนี้ช่างหนักอึ้ง

 

 

นี่เป็นหนังที่อิงจากเหตุการณ์จริง หากเธอรับบทนี้ เธอจะได้เปรียบเสมือนรับมอบหมายภารกิจใหม่ มันรู้สึกราวกับเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง

 

 

ภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติแบบนี้คล้ายกับเรื่อง ‘ฉีฟู’ แต่ก็มีหลายจุดที่แตกต่างกัน ‘ฉีฟู’ นั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นและสร้างความตื่นตาเมื่อได้เห็นและสัมผัส แต่ ‘ผู้รอดชีพ’ นั้นต่างออกไป มันเป็นเรื่องจริงซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นเป้าหมายของเธอคือการทำให้มันสมจริงที่สุด

 

 

แต่กระนั้นถังหนิงไม่รู้เลยว่า ‘ผู้รอดชีพ’ กำลังจะสร้างบันทึกหน้าใหม่ให้กับยอดขายบอกซ์ออฟฟิศและเธอกำลังจะได้ขึ้นไปอยู่จุดที่สูงขึ้นอีกระดับเพราะหลังเรื่องนี้ แต่แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดในอีกไม่ช้าหลังจากนี้

 

 

เมื่อกลับถึงบ้าน ถังหนิงก็ยื่นบทดังกล่าวให้โม่ถิง “คุณเฉินเอาบทนี่ให้ฉันค่ะ…”

 

 

โม่ถิงรับเอกสารดังกล่าวก่อนจะเปิดดูแบบผ่านๆ “ตาเฉินนี่เข้าใจคุณดีจริงๆ”

 

 

“งั้นคุณก็เห็นด้วยว่าฉันควรเล่น ‘ผู้รอดชีพ’ ใช่ไหมคะ”

 

 

“มีเหตุผลอะไรที่ผมควรปฏิเสธมันล่ะครับ” โม่ถิงถาม

 

 

ถังหนิงไม่รู้ว่าทำไมแต่ความคิดในการรับบทนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น เธอถึงกับเดินเข้าไปในห้องเด็กเพื่อกอดและจูบลูกทั้งสองของเธอ คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่าเธอทำแบบนี้ไปทำไม แต่โม่ถิงเข้าใจทุกความคิดของถังหนิง ‘ผู้รอดชีพ’ เป็นความท้าทายที่ดีและเป็นบทที่ดึงดูดใจมากสำหรับถังหนิง

 

 

ที่จริงแล้วโม่ถิงมีความรู้สึกว่า…

 

 

… หนังเรื่องนี้จะทำให้ถังหนิงกลายเป็นราชินีแห่งวงการภาพยนตร์โดยไม่มีใครโต้แย้งได้!

 

 

 

 

‘ผู้รอดชีพ’ จัดสร้างโดยสมาคมภาพยนตร์แห่งชาติร่วมกับรัฐบาลปักกิ่ง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาคัดเลือกตัวนักแสดง พวกเขาระบุอย่างชัดเจนว่าค่าจ้างจะต่ำกว่าปกติและภาพลักษณ์ของนักแสดงนำหญิงอาจจะเกิดความเสียหายด้วย

 

 

ภายใต้หัวข้อที่กดดันและเงื่อนไขอันเข้มงวดมากมายทำให้นักแสดงหญิงหลายคนเลือกที่จะเบือนหน้าหนี แต่ถังหนิงกลับยอมรับบทนี้อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีข้อเรียกร้องอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าตอบแทนหรือภาพลักษณ์

 

 

ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าถังหนิงคือนางเอกของ ‘ผู้รอดชีพ’ แต่นี่เป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้แล้ว เมื่อพูดถึงบทที่ความท้าทายเช่นนี้ ถังหนิงมักจะกระโดดเข้าใส่โดยไม่สนว่าเธอจะต้องเล่นเป็นแก่ อัปลักษณ์ หรือไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ ที่จริงเธออาจจะต้องเป็นคนจ่ายเองเสียด้วยซ้ำ

 

 

ดังนั้นประชาชนจึงได้ข้อสรุปเกี่ยวกับถังหนิง [ไม่แปลกใจเลยที่ถังหนิงจะได้รับการยอมรับจากทุกคนภายในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ เพราะตราบใดที่มันเป็นบทที่ดี เธอจะเข้าหามันโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา]

 

 

[ถังหนิงกระหายบทดีๆ แน่นอน… นี่ก็หมายความว่าเราจะได้ดูบทดีๆ จากเธอแน่นอน]

 

 

[ฮะๆๆ นักแสดงอย่างถังหนิงควรถูกจัดให้เป็นสมบัติของชาตินะ เราไม่เคยต้องกังวลเลยว่าเธอจะเล่นบทซ้ำซากจำเจ ดังนั้นหนังทุกเรื่องของเธอมักจะทำให้เราตั้งหน้าตั้งตารอเสมอ]

 

 

คนส่วนใหญ่ในวงการต่างตั้งความหวังกับการร่วมงานของถังหนิงในเรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ เอาไว้สูง แต่แน่นอนว่าก็มีคนบางส่วนที่ไม่ชอบเรื่องนี้

 

 

[ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีนักแสดงคนไหนที่ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง คอยดูเถอะ ฉันมั่นใจว่าถังหนิงจะต้องเสียใจ]

 

 

[หนังแบบนี้ถ้านักแสดงเล่นได้ไม่ดีละก็ มีแต่จะทำลายอาชีพของตัวเอง ไม่น่าแปลกใจถ้าสุดท้ายถังหนิงจะถูกถล่มด้วยคำตำหนิ]

 

 

[ผู้หญิงคนนั้นคิดจริงหรือว่าตัวเองเป็นนักแสดงหญิงแห่งชาติ ไม่หลงตัวเองเกินไปหน่อยหรือไง]

 

 

นอกเหนือจากนั้น ข่าวเรื่องที่ถังหนิงจะแสดงใน ‘ผู้รอดชีพ’ ได้ดึงดูดความสนใจจำนวนมหาศาล แต่ในขณะเดียวกัน… เวลานี้ไป๋อวี๋กำลังทำอะไรอยู่

 

 

นับตั้งแต่ไป๋อวี๋ค้นพบว่าไป๋หลินหลินและสามีของเธอมีชู้กัน เธอก็ดูไม่เกลียดชังถังหนิงมากเช่นแต่ก่อน ไม่ว่าเธอจะเกลียดถังหนิงมากแค่ไหน อย่างน้อยถังหนิงก็ไม่เคยแย่งสามีของเธอหรือทำให้ครอบครัวของเธอต้องแตกหัก

 

 

แต่กลับเป็นไป๋หลินหลินซึ่งเป็นน้องสาวของเธอเอง…

 

 

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไป๋อวี๋ก็รู้สึกขยะแขยงอย่างที่สุด

 

 

โดยเฉพาะนับตั้งแต่เรื่องทุกอย่างแดงออกมา ทั้งไป๋หลินหลินและเจฟซึ่งเป็นสามีของเธอยิ่งไร้ความเกรงกลัวต่อหน้าเธอมากขึ้นไปอีก แต่ในฐานะบุคคลสาธารณะ เธอไม่อาจทำอะไรได้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง

 

 

“คุณควรจะเซ็นใบหย่าซะในขณะที่ทุกอย่างยังไม่ย่ำแย่มากไปกว่านี้ ไม่งั้นเราทั้งสองคนก็มีแต่จะดูแย่”

 

 

ไป๋อวี๋อยากจะไล่เจฟออกไปจากบ้านแต่บ้านหลังนี้เป็นของเขา ดังนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น แต่ถ้าหากเธอเป็นฝ่ายออกไปเอง เธอมั่นใจว่าไป๋หลินหลินจะอ้างตัวเป็นเจ้าของบ้านโดยไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น หากเป็นเช่นนั้นเธอคงได้แต่ฝันที่จะกลับมาคืนดีกันอีก…

 

 

“ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นชู้กันแล้วยังมีหน้ามาภูมิใจและหน้าด้านขนาดนี้เลย”

 

 

“ต่อให้ผมเลิกกับหลินหลิน ผมก็อยู่กับคุณต่อไปไม่ได้หรอก”

 

 

“แต่ฉันอยู่ได้ ตราบใดที่มันทำให้คุณเจ็บปวด ฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ…”