หลังจากที่ได้อำนาจทางการทหารมาทั้งหมด ถังหยินก็พลันส่งทหาร 1 แสนนายให้ไปประจำการที่ทางผ่านสวรรค์เพื่อเตรียมสร้างแนวป้องกันและกักตุนเสบียงเอาไว้เพื่อเตรียมสู้กับทางราชสำนัก

ในเวลาเดียวกัน เขาก็สั่งให้ทั้งมณฑลเตรียมกองทหารเอาไว้เพื่อขยายกองทัพให้มากกว่าเดิม โดยชายหนุ่มได้เพิ่มกองกำลังจากเดิม 2 หมื่นเป็น 5 หมื่นนายต่อกองเพื่อรับประกันว่าจะมีกองทหารประจำการอยู่ที่ทางผ่านสวรรค์ตลอดเวลา

ตอนนี้ไม่ว่าถังหยินจะพูดเช่นไรก็เปล่าประโยชน์ เพราะสิ่งที่เขาทำมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่าเขานั้นเตรียมจะต่อสู้กับทางวังหลวงแล้ว

ทว่า ชิวเจิ้นเองก็ไม่ได้คาดเดาผิดไป เพราะเพียงครึ่งเดือนต่อมาก็มีราชโองการมาจากอ๋องแห่งแคว้นเฟิงส่งตรงถึงถังหยิน

จ้านฮัวนั้นไม่ว่างที่จะตรวจสอบข้อความจากถังหยินด้วยซ้ำเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการรับศึกจากพวกหนิง 4 แสนนายที่กำลังโจมตีเมืองเขาอยู่

ดังนั้นข้อความของท่านอ๋องแห่งแคว้นจึงไม่ค่อยสละสลวยหรือดูจะสนใจอะไรสักเท่าไหร่ เพียงแค่เขียนมาว่า “หยูเฮอมันเป็นคนชั่วและต้องได้รับการลงทัณฑ์ ส่วนตำแหน่งก็ยกให้ถังหยินไปก่อน”

เห็นแบบนี้ชายหนุ่มก็โล่งอก ถ้าท่านอ๋องว่าแบบนี้ งั้นแล้วเขาก็ถือว่าไม่มีความผิดไปจนกว่าจะถึงเวลาตัดสินคดีจริง ๆ

ชิวเจิ้นกับทุกคนเองก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน ที่ยังไม่ต้องมีเรื่องกับทางเมืองหลวง เพราะกำลังพลของพวกเขาในตอนนี้น้อยเกินไป

แต่ทว่าก่อนที่ขุนนางส่งสารจะกลับไป เขาก็ได้เอ่ยถามชายหนุ่ม “ท่านถัง ข้าน้อยมีเรื่องจะถามท่าน”

ถังหยินยิ้มตอบกลับไป “หืม เรื่องอะไรกัน ?”

“ตอนที่ข้าเดินทางผ่านทางสรรค์ ข้าน้อยเห็นว่ามีทหารมากมายเลย นายท่านต้องการทำสิ่งใดกัน ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงปกติก็จริง แต่ในใจของเขาสงสัยยิ่ง

ชิวเจิ้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที และในระหว่างที่เขากำลังจะตอบ ถังหยินก็แย่งพูดขึ้นมาก่อน “จะให้มณฑลเทียนหยวนของข้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้ได้อย่างไรกันเล่า พวกทหารที่นั่นน่ะ ข้าส่งไปก็เพื่อเตรียมจะเข้าช่วยเมืองหลวง แต่ว่าตอนนี้ตำแหน่งผู้ว่ามณฑลยังว่างอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีคำสั่งออกไปยังไงเล่า”

“อย่างนี้นี่เอง” ขุนนางพยักหน้าแล้วยิ้มให้ “ถ้างั้นข้าหวังว่าท่านจะเคลื่อนไหวโดยเร็วนะ”

“แน่นอน”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปรายงานต่อฝ่าบาทก็แล้วกัน ขอตัวลา”

หลังจากส่งตัวขุนนางคนนี้ไป ทุกคนก็พูดสรรเสริญถังหยินพร้อมกัน “ยินดีด้วยขอรับนายท่าน”

ตำแหน่งผู้ปกครองมณฑลถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีที่เดียว ด้วยตัวมณฑลเทียนหยวนนั้นมีประชากรมากกว่า 3 ล้านคน ทั้งยังมีเขตย่อยอีก 3 แห่ง ได้แก่เขตปิงหยวน เขตชานชุย และเขตจี้เฟิง ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมเมืองชุนโจวที่ถูกครอบครองโดยถังหยินตรง ๆ นี่อีก

และหลังจากได้รับตำแหน่งจากวังหลวง สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือปรับเปลี่ยนอำนาจในมณฑลนี้

ถังหยินมอบเรื่องการจัดการ 2 เขตให้กับหยวนจี้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดความวุ่นวาย ในกรณีที่พวกเขาอยากจะลาออกก็จะให้ออกเองในภายหลัง นอกจากนี้จางจี้เองก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ส่วนตำแหน่งรองผู้ว่าเมืองนั้นก็ถูกยกให้กับหยวนจี้และชิวเจิ้นเหมือนกับตอนที่อยู่ในปิงหยวน

…เรื่องกองทัพเองก็ต้องปรับปรุงใหม่เช่นกัน

มูฉิงเป็นแม่ทัพสั่งการกองทัพปิงหยวน มีจำนวนกองพลนับ 10 กองอยู่ใต้บังคับบัญชา ทำให้ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเองก็ต้องได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดความขาดแคลนและต้องเลือกเอาจากพลทหารขึ้นมา ดังนั้นถังหยินจึงได้เลือกคนในหน่วยศรทมิฬของเฉิงจินมาเป็นนายกองไปก่อน

หยูเฮอถูกจัดการไปโดยถังหยินก็จริง แต่ทั้งครอบครัวของเขาก็ใช่ว่าจะมีเพียงแค่นั้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงจัดการสั่งขังคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ครองมณฑลคนเก่านี้ทั้งหมด พร้อมกับสั่งให้ประหารทิ้งเพื่อตัดปัญหา

นี่เป็นแผนการถอนรากถอนโคน ด้วยถ้าเกิดว่ามีตระกูลหยูเฮออยู่ ในอนาคตพวกเขาอาจพยายามจะทวงคืนอำนาจมาก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงต้องจัดการให้สิ้นซาก ส่วนคนรับใช้เก่าของหยูเฮอเอง คนพวกนั้นก็ถูกปลดไปเสียจนหมดสิ้นแล้วถูกแทนที่ใหม่เรียบร้อย

ถังหยินได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงมณฑลไปมากตั้งแต่การทหารไปยันการเมือง และด้วยการประสานงานของชิวเจิ้นกับหยวนจี้ จึงทำให้ความวุ่นวายสงบลงและทุกคนหันไปกล่าวโทษแก่หยูเฮอแทน

ณ จวนผู้ว่า

ถังหยินย้ายมาที่นี่แล้ว ซึ่งก็ตามมาด้วยฟานหมินพร้อมกับกิจการทั้งหมดของนางเองด้วยที่ย้ายมายังชุนโจว

ซึ่งนอกจากที่นี่จะดีกว่าแล้ว สิ่งที่ทำให้ถังหยินดีใจที่สุดก็คือคลังเงินของที่แห่งนี้ที่มีเงินในคลังเก็บมากกว่า 8 ล้านเหรียญเงิน ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับพวกแก้วแหวนเงินทองและของเก่าอีกนะ

ตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง ถังหยินตื่นขึ้นมาก็เห็นฟานหมินพาเด็กหญิงอายุ 8 หรือ 9 ขวบมาด้วย

เด็กคนนี้คือลูกสาวของจางโจว ชื่อว่าจางหยู ที่แต่งกายอย่างงดงามราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ซึ่งชายหนุ่มนั้นก็พยายามอย่างมากเพื่อที่จะมอบชีวิตดี ๆ ให้กับเด็กคนนี้

ทว่าตั้งแต่มาอยู่ที่แห่งนี้ ถังหยินก็งานยุ่งมาโดยตลอด ทำให้ไม่ค่อยได้เจอจางหยูมาก หากแต่ก็ได้ฟานหมินที่เข้ามาดูแลให้ตลอดเวลาราวกับเป็นลูกแท้ ๆ

เมื่อเห็นชายหนุ่มรำดาบอยู่ในสวน จางหยูก็ดูจะหวาดกลัว นางเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังฟานหมินและชะโงกหน้าออกมามองเป็นครั้งคราว

“หยุดรำดาบได้แล้วน่า เจ้าทำให้นางกลัวนะ” ฟานหมินบอกและพาจางหยูกลับเข้าไปในจวน

ฟานหมินกลายเป็นดั่งนายหญิงของเรือนหลังนี้ และบางครั้งบางคราวนางก็จะร้องขอให้ถังซ่งช่วยจัดการรายจ่ายเกี่ยวกับร้านค้าทั้งหมดให้แทน

ถังหยินเก็บดาบแล้วยิ้มให้ทั้งสอง ก่อนที่จะเห็นจางหยูที่กำลังหวาดกลัว จึงเดินเข้าไปหาและกล่าวว่า “เสี่ยวหยู เจ้าคุ้นชินกับที่นี่หรือยัง ?”

นางไม่ได้ตอบ เอาแต่มองหน้าฟานหมินแล้วพยักหน้าให้

ลูกสาวของจางโจวเป็นคนที่ปรับตัวเร็วมาก แต่ใจจริงแล้วนางก็กลัวถังหยินไม่น้อยเลย

เมื่อเห็นความผิดหวังในดวงตาของถังหยิน ฟานหมินก็พูดขึ้น “ถังหยิน เจ้ารู้ไหมว่าเสี่ยวหยูฉลาดมากเลยนะ นางจำทุกอย่างที่ข้าให้นางอ่านได้ด้วยล่ะ”

นางไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย จางหยูมีความจำที่สุดยอดมาก

“งั้นหรือ ? แต่ถึงจะฉลาดแค่ไหน ก็อย่าให้นางอ่านข้อมูลการค้าสิ มันไม่ดีต่อเด็กนะ” ชายหนุ่มตอบพลางหัวเราะไปด้วย

“ข้ารู้น่า !”

นางเองก็ยังอายุไม่เกิน 20 ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่สามารถดูแลจางหยูได้ดีหรอก และถ้าหากว่าจางหยูฉลาดจริง งั้นแล้วเขาก็ควรจะหาครูมาสั่งสอนนางเสียหน่อย

หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ถังหยินก็ไปยังห้องโถงหลักเพื่อปรึกษาการเมืองและการทหารกับชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ

ตอนนี้พวกเขากำลังคิดอยู่ว่าจะช่วยเมืองหยานดีหรือไม่

หยวนยู่อยากจะเข้าไปต่อสู้ในศึกใหญ่นี้มาก ซึ่งถังหยินเองก็ได้มอบตำแหน่งผู้เบิกทางในกองทัพให้กับเขาไปแล้ว

ทว่าชิวเจิ้นกลับคัดค้านการส่งทหารไป ด้วยเพราะสถานการณ์ในเทียนหยวนยังไม่ปกติ จึงไม่ควรจะไปมีส่วนร่วมใด ๆ ทั้งนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีกองทัพถึง 23 กอง แต่มันก็ยังเป็นแค่ทหารใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์รบเลย ดังนั้นเขาจึงส่งเรื่องนี้ให้ถังหยินตัดสินใจแทน

โชคยังดีที่ตอนนี้ทางราชสำนักยังไม่สนใจอะไรพวกเขามากมายตามที่ชิวเจิ้นกล่าวไว้

แต่ถึงกระนั้น ชิวเจิ้นก็ได้ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่า ถ้าหากทางเมืองหลวงรบชนะพวกหนิง และพบว่ามณฑลเทียนหยวนไม่ได้ส่งกองทัพไปช่วย จ้านฮัวจะมองพวกเขาในรูปแบบใดกัน ? มันอาจทำให้ทางวังหลวงเกิดตั้งข้อสงสัยขึ้นมาถึงเรื่องราวของหยูเฮอขึ้นหรือไม่ ?

เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ถังหยินก็ตัดสินใจที่จะส่งกองทัพไป แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน… !