ในขณะที่ถังหยินกำลังจะส่งทหารลงไปช่วยเมืองหยาน ทางเบสซ่าเองก็ได้ส่งทูตมาหาเขาเสียก่อน

ตามปกติแล้ว เวลาพวกต่างแดนส่งทูตเข้ามา พวกเขาจะต้องส่งมันไปยังเมืองหลวงหรือทางราชสำนัก แต่นี่กลับเลือกที่จะส่งมาหาถังหยินแทนเสียอย่างงั้น

การมาครั้งนี้นั้น ทางขุนนางของทางเบสซ่าได้นำของขวัญมาให้พร้อมกับจดหมายส่วนตัวจากราชาของพวกเขา โดยมีเนื้อหาพูดถึงความต้องการที่จะชักชวนให้ชายหนุ่มไปเจรจาบางอย่างที่เมืองเบสซ่า

ถังหยินรับทั้งสองอย่างเอาไว้ ก่อนตอบกลับไปว่าเขาจะให้คำตอบในวันพรุ่งนี้

เมื่อพวกทูตออกไปแล้ว ทั้งห้องโถงก็พลันพูดคุยกันทันทีเกี่ยวกับเรื่องการเจรจา ซึ่งบรรดาขุนนางต่างก็แนะนำว่าถังหยินไม่ควรจะยอมรับข้อตกลงใด ๆ จากพวกมันทั้งนั้น

มันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปเมืองเบสซ่า หากแต่เพราะว่าเขาไม่อยากจะทำข้อตกลงในเขตแดนของพวกมันต่างหาก ด้วยอาจมีการซุ่มโจมตีหรืออะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้

ดังนั้นเมื่อได้ฟัง ชายหนุ่มจึงพยักหน้าให้กับคำขอของพวกขุนนาง “สิ่งที่พวกเจ้าพูดมามันก็ถูก พวกเราต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน”

หยวนจี้ขมวดคิ้วถึงความแปลกผิดธรรมชาติของถังหยินในวันนี้ “หรือว่าท่านไม่คิดจะสนใจทำข้อตกลงกับพวกมันหรือ ?”

ถังหยินยิ้มให้ “ที่เมืองเบสซ่ามีเงินทองมากมายนัก ถ้าเกิดพวกเรายุติสงครามกับพวกมัน งั้นแล้วในอนาคตเราจะเอาเงินมาจากไหนเล่า ?”

ทุกคนเข้าใจความหมายทันที มีเพียงหยวนยู่ที่พูดขึ้น “ข้าว่าถ้าเกิดนายท่านจะไปเมืองของพวกมันอีกครั้ง ให้พาข้าไปด้วยก็แล้วกัน” เขาอยากจะไปอาละวาดที่เมืองของพวกต่างแดนนี้มานานแล้ว

หยวนจี้มองน้องชายอย่างไม่พอใจนัก “ได้โปรดอย่าเลยนายท่าน ในเมื่อพวกต่างแดนต้องการสันติภาพ พวกเราก็ควรจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ฟื้นฟูบ้านเมืองต่อไป เพราะขืนเรายังทำสงครามกับพวกมันต่อ จนบีบให้พวกต่างแดนรวบกลุ่มแล้วนำกำลังพลมามากกว่าเดิม แบบนั้นท่านจะทำยังไง ? นี่ยังไม่นับว่าถ้าเกิดทางเมืองหลวงของเราเองคิดจะบุกทำลายท่านอีกด้วยนะ !”

ถังหยินหรี่ตาแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าพวกมันจะมาอีก งั้นข้าก็จะเด็ดหัวราชาของพวกมันซะเลย”

หยวนยู่ทำท่าดีใจออกนอกหน้ามาก เขาอยากได้ยินคำนี้มานานแล้ว

แต่จู่ ๆ ชิวเจิ้นก็พลันพูดขึ้น “นายท่านลืมไปแล้วหรือว่าสถานะของพวกเราเป็นอย่างไร ?”

ถังหยินขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่ายังไง ?”

“เมืองเบสซ่านั้นใหญ่มาก ต่อให้พวกเราส่งทหารไปหมดก็ไม่อาจทำลายเมืองพวกมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากพวกเราส่งทหารไปหมดมณฑล งั้นแล้วจะเอาอะไรไปป้องกันพวกหนิงที่อาจจะแล่นเข้ามาได้ทุกเมื่อ ? ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ท่ามกลางระหว่างศึกทั้งสองด้านนะ สิ่งที่นายท่านต้องทำในครั้งนี้ก็คือสงบศึกกับด้านใดด้านหนึ่งเพื่อฟื้นฟูกำลังทัพให้พร้อมต่อสู้อีกครั้ง”

การคำนวณของเด็กหนุ่มไม่ผิดเพี้ยน ทำให้ทุกคนเริ่มคล้อยตาม

หยวนจี้กล่าวเสริม “การปล้นเมืองพวกต่างแดนเป็นส่วนที่ช่วยเราพัฒนาเมืองได้โดยเร็วก็จริง แต่ว่าการค้าขายระยะยาวเองก็สามารถทำกำไรได้มากกว่าด้วยเช่นกันนะขอรับ ถ้าหากท่านยังคิดจะทำศึกกับพวกมันต่อไปล่ะก็ ท่านคงจะมองการณ์ใกล้เกินไปแน่…”

เมื่อทั้งสองที่ปรึกษาด้านการเมืองเห็นพ้องต้องกันแบบนี้ หัวข้อสนทนาก็ยิ่งตึงเครียดเข้าไปอีก ด้วยพวกเขาได้เห็นแล้วว่าถังหยินโหดร้ายแค่ไหน และการที่พูดไม่เข้าหูแบบนี้มีโอกาสที่พวกเขาทั้งสองจะโดนตัดหัวสูงมาก ไม่เว้นแม้แต่หยวนยู่เองก็เป็นกังวลเช่นกัน

สายตาของถังหยินเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดไม่เข้าหูเหล่านี้ ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งมากจนไม่มีใครกล้าเงยหน้า

จากนั้นชายหนุ่มก็เหมือนจะยอมรับได้แล้วถอนหายใจออกมา “พับผ่าสิ… ถ้างั้นพวกเจ้าจะให้ข้าทำยังไงก็บอกมา”

“ยอมรับการสงบศึกขอรับ” พวกเขาพูดขึ้นพร้อมกัน

“การที่พวกเบสซ่ายื่นข้อเสนอมาแบบนี้ แสดงว่าพวกเขายอมอ่อนข้อให้เราก่อน ดังนั้นถ้าเราใช้จุดนี้ในการเพิ่มเติมข้อตกลง ยังไงก็ได้เปรียบ ถึงตอนนี้พวกเราจะไม่รู้ก็เถอะว่าพวกมันอยากจะสงบศึกจริง หรือว่าแค่อยากลวงให้นายท่านเข้าไปหาพวกมันก็ตาม” ชิวเจิ้นกล่าว

ถังหยินพยักหน้า การที่เขาถูกบ่นโดยทั้งสองต่อหน้าทุกคนทำให้เขาโกรธก็จริง แต่เมื่อคิดดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลดี

เขาหันกลับไปถามหลีเทียนและอัยเจีย “พวกมันเคลื่อนไหวอะไรกันบ้างไหมในช่วงนี้ ?”

“ไม่มีขอรับ พวกมันเสียเปรียบมากเกินไปจน เมื่อครั้งล่าสุดพวกมันแทบไม่สามารถรวบรวมกำลังพลได้เลย ด้วยระบบการทหารของพวกมันนั้นบังคับให้ทุกคนต้องรับใช้ชาติ ทำให้เมื่อไม่มีศึกสงคราม พวกทหารเลวก็จะกลายเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ” หลีเทียนกล่าว

พวกเบสซ่านั้นล้าหลังในหลาย ๆ ด้าน ไม่เว้นแม้แต่การกสิกรรม ทำให้พวกเขาไม่สามารถสร้างกองทัพใหญ่ได้ภายในครึ่งวันแน่ ๆ

ถังหยินกล่าว “ถ้าเป็นแบบนี้ พวกมันก็จะไม่เป็นภัยไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยสินะ”

“ถ้างั้นสันติภาพในครั้งนี้ก็เป็นจริง ?”

หลีเทียนไม่แน่ใจ เขารีบส่ายหัว “ข้าน้อยก็บอกไม่ได้ขอรับ”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ในเมื่อคิดจะตอบรับคำของมันแล้วจะกลัวอะไรอีกเล่า ? ครั้งนี้ให้ถือเสียว่าพวกเราไปเที่ยวเล่นในเมืองของพวกมันก็แล้วกัน” ถังหยินหัวเราะ

“นายท่าน เรื่องนี้ข้าว่าพวกเราต้องถกเถียงกันอีกนานขอรับ” หยวนจี้กล่าวต่อ

“พวกมันชอบการต่อสู้ แต่ถ้าข้าไม่ไป มันก็ไม่ได้หมายความว่าข้ากลัวพวกมันนี่น่า ทว่าถ้าพวกเจ้าคิดดูถูกมัน นั่นก็จะยิ่งทำให้เจรจายากขึ้นนะ” ถังหยินโบกมือไล่

ครั้งนี้ชิวเจิ้นก็ไม่ได้พูดอะไรเสริม ด้วยเขารู้ดีว่ามันเสี่ยง หากแต่ผลที่ได้หลังจากนี้มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเช่นกัน

หยวนยู่เองก็พูดบ้าง “ถ้าท่านจะไป ข้าเองก็จะไปกับท่านด้วย”

ถังหยินหัวเราะออกมา “ในเมื่อทุกคนอยากจะไปกับข้า งั้นต่อให้พวกมันจะวางแผนอะไรไว้ข้าก็ไม่กลัว”

หยวนจี้อยากจะพูดอะไรบางอย่างเสริมไปอีก แต่ในเมื่อน้องชายของเขาไปด้วยกันกับถังหยินแบบนี้ เขาก็โล่งใจขึ้นเยอะ จึงไม่คิดพูดให้มากความอีก

วันต่อมาถังหยินก็ได้เรียกทูตของพวกเบสซ่ามาเข้าพบ ก่อนจะตอบรับคำข้อร้องนี้

พวกเขาดีใจมาก ดังนั้นหลังจากที่จัดแจงวันที่เรียบร้อยพวกเขาก็กลับไป

ฟานหมินที่ได้ยินข่าวนี้ก็รีบเข้ามาพูดกับเขาทันที “ถังหยิน เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าจะไม่ออกไปรบกับพวกมันแล้ว ? แล้วทำไมถึงจะไปที่นั่นอีก ?”

ชายหนุ่มยิ้มแล้วพยุงนางไว้ “ครั้งนี้พวกเราไปเจรจาสงบศึกเท่านั้น เมื่อทุกอย่างลงตัวพวกเราก็จะพบเจอสันติสุขแล้วล่ะ”

“พวกมันจะยอมหรือ… ?” ฟานหมินคิดหนักด้วยกลัวว่าถังหยินจะไม่กลับมาอีก

ชายหนุ่มยิ้มออกมา “ถ้าหากพวกมันวางแผนอะไรไว้ละก็ ข้าเองก็มั่นใจไม่น้อยว่าพวกมันจะถูกเผาทั้งเมืองแน่”

จิตสังหารของเขาแผ่ออกมาแรงมากจนฟานหมินเองก็ยังรู้สึกได้

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกลัว ถังหยินก็เก็บจิตสังหารไปและเอาผ้ามาคลุมนางไว้ “อากาศกำลังหนาว ถ้าเจ้าไม่ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ข้ากลัวว่าเจ้าจะจับไข้เอาได้น่ะ”

หญิงสาวพลันจับผ้านั้นมา ก่อนดึงตัวเขาเข้ามากอดเอาไว้

“ให้ข้าไปด้วยได้ไหม ?” นางกล่าว

“ไม่ได้ แต่ถ้ามีครั้งหน้าข้าจะพาเจ้าไปด้วยแน่นอน” ชายหนุ่มกล่าว

ฟานหมินขมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะไม่ทำสงครามกันอีก แล้วเจ้าจะมีครั้งหน้าอีกหรือ ?”

ถังหยินกอดนางเอาไว้แล้วกล่าว “ถ้าข้าไม่พาเจ้าไปมันก็สงบอยู่หรอก แต่ถ้าข้าพาเจ้าไปด้วย รับรองได้เลยว่าจะต้องมีสงครามแน่”

“ทำไมล่ะ ?”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเกิดราชาพวกมันหลงในตัวเจ้าและอยากได้เจ้าขึ้นมาจนทำให้ต้องทำศึกกันล่ะ ?”

มุกตลกแบบนี้ทำเอาฟานหมินเขินมาก เฉกเช่นเดียวกับความกังวลของนางที่ดูจะค่อย ๆ หายไปจนหมดสิ้น