บทที่ 152 กลับไป

คู่ชะตาบันดาลรัก

ซูรื่อฉู่ทะยานกระโดดไปได้ไม่เท่าไรก็หายเข้าไปในหมอก หูได้ยินเสียงฝน แต่กลับไม่เห็นเม็ดฝนในสายหมอกแต่อย่างใด หลังจากวิ่งไปสักพักสหายของเขาก็ตะโกนว่า “เฮ้ เจ้าหนูตาย วิ่งมานานขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังออกจากที่นี่ไม่ได้อีก”

ซูรื่อฉู่ชะงัก

เขามองนางอย่างสิ้นหวัง “อย่าเตือนข้าจะได้ไหม”

หญิงสาวแปลกใจ “ก็เห็นอยู่ว่ามีปัญหาหากไม่เตือนเจ้าจะให้รอความตายหรือไงกัน”

ซูรื่อฉู่หงุดหงิดมาก “เจ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกหรือว่ามีบางอย่างผิดปกติ”

“อ้อ” นางเข้าใจแล้ว “เจ้าไม่อยากยอมรับความจริงใช่หรือไม่”

“….” เมื่อถูกพูดแทงใจซูรื่อฉู่รู้สึกอยากฆ่าคนมาก แต่เมื่อนึกถึงผลตอบแทนของการต่อสู้กัน เขาก็เก็บกริชกลับเข้าไปเงียบๆ เมื่อเห็นเขานั่งยองๆ บนพื้นและไม่ขยับไปไหน นางก็เตะเขา “อย่าบอกนะว่า เจ้าถูกเขตผนึกที่ตนเองกางไว้ขังเข้าน่ะ”

“….” แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความจริง

หญิงสาวทนไม่ไหวนางตบหน้าผากตนเอง “เมื่อครู่ที่นางบอกว่าเก่งกาจกว่าเจ้า ข้าคิดว่านางแค่พูดจาโอ้อวดตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะพูดจริงเสียแล้ว”

“เจ้าหุบปากซะ!”

“ข้าพูดความจริงก็รับไม่ได้หรือไง” นางกอดอก “ถ้ามีปัญญาก็ออกไปให้ได้สิ!”

ซูรื่อฉู่รู้สึกหงุดหงิดและลุกขึ้นยืนทันที “ไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหนมันก็แค่เขตผนึกอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ข้าจะไปดูว่านางเปลี่ยนอย่างไรเจ้ารอก่อน!”

หญิงสาวกอดอกนางมองเขาที่เดี๋ยวเดินไปข้างหน้าเดี๋ยวถอยหลัง มือซ้ายนับนิ้วอย่างรวดเร็วปากพึมพำอะไรสักอย่าง

เวลาผ่านไปทีละนิด “อย่างนี้นี่เอง!”

ทันใดนั้นซูรื่อฉู่ก็ตบต้นขาตนเอง “ยัยหนูนั่นแก้ขั้นตอนกางเขตผนึก ข้าก็ว่าอยู่ทำไมมันถึงผิดไปจากแบบเดิมหากอิงตามขั้นตอนนี้ล่ะก็ทางออกควรเป็น…ทางนั้น! ยัยแก่ มาๆๆ!”

“ไปไกลๆ เท้าข้าหน้อย!” นางตวาด “หากข้าได้ยินคำว่าแก่อีกครั้งล่ะก็แม่จะลอกหนังหนูออกซะเดี๋ยวนี้!”

“ได้ๆๆ แม่นางหากต้องการลอกหนังให้พวกเราออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนดีหรือไม่”

สตรีนี่แปลกจริงๆ แค่คำว่าแก่ทำอย่างกับว่าเกี่ยวข้องกับชีวิตตนเองอย่างนั้นแหละ ทั้งสองคนเปลี่ยนเส้นทางพวกเขาวิ่งไปสักพัก…

“เจ้าหนูตาย ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนี่เราวิ่งมานานแล้วนะ!”

“เป็นไปไม่ได้! มันต้องถูกสิ!”

“เฮ้! ช้าหน่อย เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีต้นไม้อยู่ข้างหน้า…”

นางตะโกนบอกช้าไปศีรษะซูรื่อฉู่ชนเข้ากับต้นไม้ต้นนั้นอีกนิดเดียวตัวจะแนบกับต้นไม้ทั้งตัวแล้ว หญิงสาวยืนอยู่ด้านหลังเขานางยิ้มอย่างโกรธๆ

“วรยุทธ์ของท่านเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่ ต้นไม้เห็นชัดขนาดนั้นก็ยังเดินไปชนได้” ซูรื่อฉู่พาตัวเองออกจากต้นไม้อย่างเงียบๆ เขาลูบหน้าผากที่บวมและพึมพำว่า

“ตรงนี้ไม่ควรมีต้นไม้”

“อะไรคือเรียกว่าไม่ควรมันใหญ่ขนาด…”

พูดไปไม่ทันจบก็ถูกซูรื่อฉู่ขัดจังหวะ “ต้นไม้ในเขตผนึกจะโตตรงไหนก็ได้งั้นหรือ ขนาดก้อนหินยังไม่สามารถวางตามใจชอบได้เลย! ต้นไม้อยู่ตรงนี้นี่มันจงใจขวางทางหนีเราเจ้าเข้าใจหรือไม่”

“….”

ซูรื่อฉู่พิงต้นไม้สายตาเลื่อนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า บนท้องฟ้าไม่มีดวงดาวไม่มีพระจันทร์ มีเพียงทิศทางของสถานีส่งสารเท่านั้นที่สว่างไสวด้วยแสงไฟ

ถึงแม้ไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริง เขาถูกเด็กผู้หญิงคนนั้นตลบหลังแล้วจริงๆ มันง่ายที่จะซ่อนตัวอยู่ในหมอก แม้เจ้าหน้าที่พวกนั้นจะตามมาทัน แต่ก็หาพวกเขาไม่พบ และอาจถูกพวกเขาโจมตีเพราะการแบ่งกำลังคนกระจายกันออกตามหา

หากถูกขังอยู่ที่นี่จนถึงรุ่งสางการหาพวกเขาพบก็ไม่ใช่เรื่องยากซูรื่อฉู่สบถและยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคงนัก

“เฮ้ เจ้าจะทำอะไรน่ะ” หญิงสาวตะโกนถาม

เขาหันศีรษะกลับไปมอง “กลับไป”

หญิงสาวตกใจ “เจ้าบ้ารึเปล่า กลับไปให้โดนจับงั้นหรือพวกเขามียอดฝีมือไม่น้อยเลยนะ!”

“แล้วจะให้ทำอย่างไรเราถูกขังอยู่ในนี้จนถึงรุ่งสางแล้วค่อยเคลื่อนไหวงั้นหรือ” ซูรื่อฉู่ลูบหน้าและพูดอย่างใจเย็น “ยัยหนูนั่นทำให้เขตผนึกกลายเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่านางต้องการให้เป็นเช่นนั้นไง”

“แล้วถ้าเรากลับไปจะเปลี่ยนอะไรได้กัน”

ซูรื่อฉู่กัดฟัน “ถึงพวกเราสองคนสู้จนตัวตาย พวกเขาก็แค่ได้รับความเสียหาย สู้ไปเจรจากันดีๆ ไม่ดีกว่าหรือ”

……………

“นายท่านสามไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่เป็นอะไร” คนที่ตอบคือเจี่ยงเหวินเฟิงเขากลับมาจากข้างนอก ผมของเขาเปียกไปด้วยน้ำฝน เหลยหงส่งผ้าขนหนูสะอาดให้เขา เจี่ยงเหวินเฟิงเช็ดผมและเดินไปนั่งที่โต๊ะกลม

“พวกเขาจะกลับมาจริงๆ หรือ”

“มีความเป็นไปได้อยู่แปดส่วนเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบ

ขั้นตอนที่นางแก้เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์คิดค้นขึ้นมาซึ่งยังไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ จากประสบการณ์ของการเผชิญหน้ากัน ซูรื่อฉู่ผู้นั้นไม่ใช่คนเคร่งครัดในกฎระเบียบ หากพบว่าไม่สามารถออกไปได้มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะกลับมา

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าเขาไม่ถามหาเหตุผลอะไรต่อแต่รับชาร้อนมาจากอาหว่านและจิบช้าๆ ผ่านไปสักพักหน้าต่างก็ถูกบางสิ่งกระแทกลงมา

เหลยหงเดินไปเปิดมันออก

“พบกันอีกแล้วนะ!” ใบหน้าที่ไม่โดดเด่นของซูรื่อฉู่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

เหลยหงไม่มีท่าทีแปลกใจเลยเขายืนนิ่ง “เชิญเข้ามา” อีกฝ่ายกลับหัวเราะ ไม่มีความคิดที่จะเดินเข้ามา

“ห้องของพวกท่านข้าไม่กล้าเข้าไปหรอกเผื่อด้านในจะมีบางอย่างที่ไม่ควรอยู่…”

หมิงเวยยิ้ม “ท่านไม่เข้ามาก็ไม่เป็นไร ข้าแค่เกรงว่าท่านที่แขวนตัวเองอยู่ข้างนอกจะเหนื่อยเอา”

“ไม่เหนื่อยเลยๆ!” ซูรื่อฉู่โบกมือ “สำหรับคนท่องยุทธภพที่นอนกลางดินกินกลางทรายอย่างพวกเราเรื่องแค่นี้ไม่หนักหนาอะไรหรอก”

หญิงสาวที่ห้อยตัวอยู่ที่หน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งกลอกตาพยายามอดทนไม่ทำให้เสียเรื่อง เขาไม่เหนื่อยแต่นางเหนื่อย! เมื่อครู่นางถูกสาวใช้แปลกประหลาดโจมตีจนได้เลือด คาดว่าภายในต้องได้รับบาดเจ็บแน่ห้อยลงมาจากหน้าต่างชั้นสองแบบนี้มันเปลืองแรงมาก!

“ก็ได้” หมิงเวยยิ้มตาหยี “เอาตามที่ท่านสะดวกเถิด”

ทั้งสองฝ่ายเงียบไปสักพักซูรื่อฉู่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวก่อน “พวกท่านไม่อยากพูดอะไรหน่อยหรือ”

หมิงเวยประหลาดใจ “คนที่มาคือพวกท่าน ไม่ใช่พวกท่านหรือที่ควรพูด”

“…..” ซูรื่อฉู่ถอนหายใจ

“เอาล่ะ คนซื่อสัตย์มักพูดตามตรงไม่อ้อมค้อม แม้พวกท่านจะมียอดฝีมือหลายคน แต่ก็ยากที่จะรั้งพวกเราไว้”

หยางชูที่กำลังดื่มสุราอยู่ด้านข้างหัวเราะเยาะ “ช่างมั่นใจในตัวเองเสียจริง ไม่ต้องพูดถึงผู้อื่นแค่คนที่อยู่ในห้องนี้พวกท่านก็ไม่สามารถเอาชนะได้แล้ว”

“การช่วงชิงชัยชนะกับสังหารคนมันเป็นคนละเรื่องกัน” ซูรื่อฉู่หัวเราะ “พูดถึงวรยุทธ์ พวกเราอาจไม่ได้ดีไปกว่าพวกท่าน แต่ถ้าพูดถึงการสังหารและหนีตาย พวกเราคือผู้เชี่ยวชาญ เมื่อถึงทางตันและพวกเราหนีต่อไปไม่ไหวแล้ว ทุกคนที่อยู่ในสถานีส่งสารนี้อาจตายไปถึงเจ็ดแปดส่วน”

“เพราะฉะนั้นตอนนี้ท่านกำลังนำชีวิตที่ไม่ได้เป็นของท่านมาเจรจาอยู่หรือ”

ซูรื่อฉู่พยักหน้าแล้วยิ้มทำเหมือนราวกับไม่ได้ยินคำเหน็บแนมจากเขา “ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้พวกท่านจะรออยู่ที่นี่งั้นหรือ”

ฟังพวกเขาหยั่งเชิงกันไปมาฝ่ายหญิงก็ทนไม่ไหวพูดออกไปว่า “พูดไร้สาระอะไรกัน พวกเจ้าพูดกันตรงๆ เถอะ เงื่อนไขอะไรถึงจะยอมปล่อยพวกเราไปน่ะ”

…………………………