บทที่ 153 แลกเปลี่ยน

คู่ชะตาบันดาลรัก

สำหรับความคิดของหยางชูแล้วเพื่อที่จะจับกุมสองคนนี้ได้จะต้องสละอีกกี่ชีวิตก็คุ้มค่า เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้ยังต้องคำนึงถึงความคิดของเจี่ยงเหวินเฟิงกับหมิงเวยด้วย เจี่ยงเหวินเฟิงต้องไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้แน่

การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้ได้พาคนธรรมดามามากเกินไป ชีวิตของคนเรามีค่าหากมีวิธีที่นุ่มนวลกว่าทำไมถึงจะไม่เลือกล่ะ

“ท่านทั้งสองมีนามว่าอะไร” เขายิ้มถาม

ซูรื่อฉู่มองเขาเต็มสองตาแล้วยิ้ม “ข้าน้อยซูรื่อฉู่ ท่านคงเป็นใต้เท้าเจี่ยงใช่หรือไม่”

“ข้าคือเจี่ยงเหวินเฟิง”

“ไอหยา เจี่ยงชิงเทียนผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าข้าน้อยเลื่อมใสๆ” ซูรื่อฉู่โบกมือข้างหนึ่งทักทายเขา ส่วนหญิงสาวอีกคน เขาไม่ได้คิดจะแนะนำให้ทราบชื่อนาง นางเองก็ไม่อยากส่งเสียง

“ใต้เท้าเจี่ยง ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นคนดูแลที่นี่ใช่หรือไม่”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า “จะพูดอย่างนั้นก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นท่านคิดจะทำอย่างไรกับพวกเรา”

เจี่ยงเหวินเฟิงจิบช้าอย่างช้าๆ แล้วตอบไปว่า “เรื่องนี้ควรถามท่านทั้งสองมากกว่าว่าคิดจะทำอะไร ท่านเป็นพันธมิตรกับนายท่านสามเรื่องทั้งหลายที่เขาทำ มีพวกท่านที่คอยสนับสนุนเขาอยู่ด้านหลังใช่หรือไม่”

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม “ใต้เท้าเจี่ยงกำลังสอบสวนคดีอยู่หรือ”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มแล้วส่ายหน้า “ก็แค่พูดคุยกันเพียงแต่ข้าอยากรู้เกี่ยวกับพวกท่านมากเกินไปหน่อย”

รอยยิ้มของซูรื่อฉู่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “คนที่อยากรู้อยากเห็นมักมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หากใต้เท้าเจี่ยงจะปัดเป่าความอยากรู้อยากเห็นของตนเองออกไปจะดีมาก”

เหลยหงได้ยินเช่นนั้นก็มองด้วยสายตาเย็นชา “นี่คือการข่มขู่งั้นหรือ”

“แน่นอนว่าไม่ใช่” ซูรื่อฉู่ยิ้มบาง “นี่เป็นการเตือนเท่านั้น”

หยางชูหัวเราะเสียงดัง “ถึงขนาดนี้แล้วยังกล้าที่จะเตือนใต้เท้าเจี่ยง ดูเหมือนองค์กรของพวกท่านจะมั่นใจในตนเองมากทีเดียว”

“เอ๋!” ซูรื่อฉู่โบกมือและตอบกลับอย่างสุภาพ “ไม่กล้าๆ แค่มีหลายเรื่องที่พวกเราสามารถทำได้”

หยางชูพูดอย่างเกียจคร้าน “พวกท่านทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ”

เจี่ยงเหวินเฟิงยังดูสงบเขาพูดต่อไปว่า “ในเมื่อพวกท่านทั้งสองกลับมา เพราะอยากรู้ว่าสถานการณ์ของตนเองเป็นอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนมาก พวกท่านต้องการมาช่วยหรือไม่ก็ฆ่านายท่านสามแล้วยังคิดที่จะฆ่าปิดปากพวกเรา ส่วนพวกเราก็ต้องการจับกุมพวกท่านและต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับองค์กรที่อยู่เบื้องหลังพวกท่าน”

ซูรื่อฉู่พยักหน้าและมองด้วยความรู้สึกชื่นชม “ที่ใต้เท้าพูดมาเป็นความจริง”

เจี่ยงเหวินเฟิงพูดต่อ “พวกเราเตรียมการล่วงหน้าส่วนพวกท่านไม่คิดยอมแพ้”

ซูรื่อฉู่ยังคงยอมรับต่อสีหน้าของเขาดูจริงใจ “มันเป็นเรื่องจริงหากพวกท่านยังไปไม่ถึงจุดหมายพวกเราก็จะก่อกวนไม่หยุดเพื่อเป้าหมายนี้”

“ดี!” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ตอนนี้มีปัญหาแล้วไม่ว่าเรื่องที่พวกท่านต้องการทำหรือเรื่องที่พวกเราต้องการทำล้วนเป็นไปได้ยากทั้งนั้น…”

ซูรื่อฉู่เห็นด้วย “คืนนี้พวกเรายอมรับว่าทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าพวกท่านคิดจะเก็บพวกเราไว้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงมาก อาจพูดได้ว่าพวกท่านไม่มีวันได้ในสิ่งที่พวกท่านต้องการ พวกเราไม่ใช่คนไร้ความสามารถอย่างนายท่านสาม หากพวกเราตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกท่านจริงๆ พวกเราไม่คิดที่จะหลบหนี แต่จะฆ่าตัวตายทันที”

พูดถึงตรงนี้เขาก็เผยรอยยิ้มกว้าง “ใต้เท้าเจี่ยง ท่านก็เห็นแล้วว่าผลลัพธ์เช่นนี้พวกท่านไม่มีวันชนะ”

“แต่พวกท่านเองก็ไม่คิดที่จะตายนี่” หมิงเวยที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้นช้าๆ

ซูรื่อฉู่ถอนหายใจ “ใช่ ชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากหากไม่มาถึงทางตันพวกเราก็หวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ตามหลักธรรมชาติของมนุษย์ในเมื่อพวกท่านใกล้จะตายงั้นเรามาเจรจากันดีๆ เถอะ”

“เจรจาอะไร”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “พวกท่านทิ้งของบางอย่างไว้แล้วพวกเราจะปล่อยพวกท่านไป”

ซูรื่อฉู่ตกใจ “ของอะไร” หมิงเวยยื่นมืออกไปเผยให้เห็นเครื่องรางสวัสดิภาพบนฝ่ามือ “สิ่งนี้ไง!”

ของสิ่งนี้ได้มาจากนายท่านสามเป็นสิ่งของที่มีสัญลักษณ์กุ่ยจินหยาง

หากเป็นไปอย่างที่นางคาดไว้สิ่งนี้คงเป็นป้ายสัญลักษณ์ของกลุ่มดาว

ซูรื่อฉู่ที่จำของสิ่งนั้นได้ก็หน้าเสียทันทีเขาส่ายหน้า “ไม่ได้”

ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงตัวตนของพวกเขา หากสูญเสียมันไปก็เท่ากับว่าไม่มีตัวตน อาจถูกมองว่าเป็นคนทรยศและจะต้องพบกับจุดจบซึ่งก็คือความตาย

หมิงเวยกะพริบตา “ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้จะสำคัญมากถึงได้ไม่ยอมเอาออกมา”

ซูรื่อฉู่ยิ้ม “มันเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของพวกเรา!”

หมิงเวยเก็บสัญลักษณ์กุ่ยจินหยาง “พวกท่านไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงเลือกได้เพียงทางเดียว เฮ้อ พวกเราไม่อยากต่อสู้ให้มีคนตายมากมายเลย!”

หยางชูไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น “ยังไงความตายก็ไม่มาถึงตัวท่านอยู่แล้ว” แล้วเขาก็ถามเจี่ยงเหวินเฟิงด้วยความตื่นเต้น “ในเมื่อพวกเขาเลือกทางนี้ ข้าสามารถลงมือได้เลยใช่หรือไม่” ท่าทางของเขาเหมือนทนรอไม่ไหว

เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจเขายกมือขึ้น “ข้าทำดีที่สุดแล้ว” หยางชูวางจอกเหล้าลงแล้วเอื้อมมือไปหยิบร่มหนังฉลาม…

“เดี๋ยวก่อน!” ซูรื่อฉู่ตะโกนขึ้น สีหน้าของเจี่ยงเหวินเฟิงยังคงไม่เปลี่ยน

“ทำไมหรือท่านมีอะไรอยากจะพูดอีก”

ซูรื่อฉู่กัดฟัน “พวกท่านรักษาคำพูดจริงๆ หรือไม่”

“แน่นอน!” เขายังไม่เชื่อ “พวกท่านคลายเขตผนึกก่อนแล้วข้าจะเชื่อ”

หมิงเวยส่ายหน้า “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ตอนนี้อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือของพวกเรา ทำไมเราต้องฟังท่านด้วย”

ซูรื่อฉู่มองนางแล้วมองเจี่ยงเหวินเฟิงที่มีท่าทีสงบนิ่ง หยางชูที่มีรอยยิ้มกระหายเลือด

“เอาเถอะ…”

“เจ้าหนูตาย!” หญิงสาวที่เป็นสหายของเขาตะโกนขึ้น

“สัญลักษณ์ชิ้นเดียวแลกกับชีวิตมันก็คุ้มค่าแล้ว” ซูรื่อฉู่ตัดสินใจแล้วเขาดูผ่อนคลายมากขึ้น เขาเอื้อมมือไปหยิบแผ่นป้ายเหล็กสีดำออกมาวางไว้ที่ขอบหน้าต่างและมองไปที่เพื่อนของเขา

หญิงสาวหันมามองเขา

“มองอะไร” เขาทำท่าขึงขัง “เจ้ายังไม่เอาออกมาอีก! หรืออยากอยู่ที่นี่คนเดียวกัน”

“….” หญิงสาวถอดแหวนออกมาด้วยความไม่เต็มใจแล้ววางไว้ที่ขอบหน้าต่าง ซูรื่อฉู่หันไปมองในห้องอีกครั้ง “ของอยู่ตรงนี้พวกเราจะออกไปได้อย่างไร บอกมาสักทีเถอะ”

เหลยหงก้าวไปข้างหน้าเพื่อต้องการตรวจสอบ แต่กลับถูกเขารั้งไว้อีกครั้ง

“หากพวกท่านผิดคำพูดขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“แล้วหากพวกท่านหลอกพวกเราขึ้นมาจะทำอย่างไร” เหลยหงถามกลับ

ซูรื่อฉู่หยิบแผ่นป้ายและแหวนชูขึ้นมาแล้วเขย่าให้หมิงเวยดู “ท่านคงดูออกใช่หรือไม่ ของสองสิ่งนี้ไม่ใช่วัสดุธรรมดา” หมิงเวยมองอย่างละเอียดแล้วพยักหน้าให้เจี่ยงเหวินเฟิง

เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “เอาล่ะ ทิ้งของเอาไว้แล้วพวกท่านไปได้”

ซูรื่อฉู่วางแผ่นป้ายกับแหวนกลับไปไว้ที่หน้าต่างอีกครั้งแล้วผลักให้ออกไปไกลนิดหน่อย “บอกทางออกมา!”

หมิงเวยตอบ “เดินจากทางทิศตะวันตกไปจนถึงตำแหน่งของก้อนหินไปทางซ้ายสิบก้าว ขวาสิบก้าวแล้วถอยหลังเจ็ดก้าวก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”

ทันทีที่พูดจบร่างของซูรื่อฉู่ก็จมดิ่งลงไปในความมืดและหายเข้าไปในหมอกทันที เหลยหงรีบนำของสองชิ้นนี้กลับมาที่โต๊ะทันที “พวกเขาไม่ได้หลอกใช่หรือไม่ขอรับ”

หมิงเวยหยิบขึ้นมาดูแล้วพยักหน้า “เป็นของจริง”

เหลยหงรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ไม่เต็มใจ “มันคุ้มค่าหรือขอรับที่ปล่อยพวกเขาไปเพื่อของสองสิ่งนี้”

“คุ้มค่าสิ” หมิงเวยสัมผัสกับสัญลักษณ์ที่ทำจากวัสดุพิเศษทั้งสองชิ้น “ป้ายของนายท่านสามสัมผัสมันมาหลายวันแล้ว และพบว่ามันแปลกมาก คิดว่าคงไม่ใช่แค่เป็นสัญลักษณ์แสดงตัวตน”

เจี่ยงเหวินเฟิงจ้องมองท้องฟ้าที่มืดมิดแล้วพูดเสียงกระซิบว่า “สองคนนั้นต้องกลับมาเอาของคืนไปแน่ ตอนนี้เราปล่อยพวกเขาไปก็แค่เอาหัวกลับไปไว้ที่คอพวกเขาชั่วคราวเท่านั้น”

………………………