หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.451 – เศษเสี้ยวรากฐานของโลก

 

ณ ตำหนักเจียงซี

 

นี่คือสถานที่ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดของนิกายถูกเก็บรวบรวมเอาไว้

 

ในส่วนที่ลึกเข้าไปในห้องสมุด

 

กู่ฉิงซานได้ใช้ตราประทับของเซ่าหวูชุ่ยทำการเปิดห้องลับ

 

เขานำฉานนู่ ฉินรั่ว และว่านเอ๋อเข้ามาพร้อมกัน

 

เห็นแค่เพียงใบหยกหลายสิบแถวที่ถูกจับแยกเป็นประเภทต่างๆ จัดวางเรียงๆกันไว้อยู่ภายในห้องนี้

 

กล่าวได้ว่าวิชาลับของตลอดทั้งนิกายได้ถูกนำมารวมกันไว้ที่นี่

 

ในสถานที่ซึ่งอยู่ในความดูแลของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋ามานานนับพันปี

 

ขณะที่ยามปกติแล้ว เขามักจะให้ลูกศิษย์ของตน หรือก็คือ เซ่าหวูชุ่ยเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลพื้นที่แห่งนี้

 

หากผู้อื่นหมายจะเข้ามา มันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

 

ครั้งหนึ่งฉีรั่วหยาก็เคยต้องการจะเข้ามาที่นี่เช่นกัน แต่เขาก็ถูกขวางไว้โดยหวังหงษ์เต๋าเสียก่อน

 

ส่วนเหตุผลที่หวังหงษ์เต๋ายกมาอ้างก็คือ ตนกำลังจัดโครงสร้างใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับการส่งต่อเหล่าเทคนิคลับให้แก่รุ่นต่อๆไป

 

แต่เมื่อฉีรั่วหยาไม่ยอม หวังหงษ์เต๋าก็กล่าวหาฉีรั่วหยาว่าช่างละโมบ คิดจะเอาวิชาลับของเขาไปล่ะสิ

 

-ฉีรั่วหยาคือผู้นำนิกายกวงหยาง มีสถานะใกล้เคียงกันกับหวังหงษ์เต๋า แต่เขากลับถูกกล่าวหาต่อหน้าสาธารณชน จนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายจึงต้องยอมถอยออกมาอย่างไม่เต็มใจ

 

ตั้งแต่นั้นมา ก็แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้เลย

 

แต่ในเวลานี้ กู่ฉิงซานกลับสามารถเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ชนิดที่เรียกได้ว่าหากปูพรมแดงได้ ก็คงจะมีคนมาปูให้เขาในระหว่างทางที่ก้าวเดินแล้ว

 

ภายในห้องลับ

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด และในหัวใจของเขาก็บังเกิดความตระหนักชัด

 

ใบหยกแถวแรก มีทั้งสิ้น 73 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับการปรับแต่งยันต์เอาไว้

 

แถวที่สอง มีทั้งสิ้น 96 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับหวูเต๋ากุ่ยชั่ง(หวนคืนไร้ลักษณ์)เอาไว้

 

แถวที่สาม มีทั้งสิ้น 31 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับเทคนิคลับของธาตุทอง

 

แถวที่สี่ มีทั้งสิ้น 164 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับค่ายกล

 

……

 

เวลามีจำกัด และหวังหงษ์เต๋าก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

 

แต่เซ่าหวูชุ่ยก็รับประกันไว้ว่า หวังหงษ์เต๋าจะไม่กลับมาภายในครึ่งวันนี้

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ยังมีหวาดระแวงอยู่ในจิตใจ

 

เขามิได้เชื่ออีกฝ่าย 100 %

 

ดังนั้น เพื่อที่จะประหยัดเวลาให้มากขึ้น กู่ฉิงซานจะต้องเริ่มเร่งมือให้เร็วที่สุด โดยการแบ่งหน้าที่กัน

 

“ฉินรั่ว สายตาของเจ้าหลักแหลมเสมอมา ดังนั้นเจ้าจงมาช่วยกันเลือกใบหยกที่บันทึกค่ายกลพร้อมกับข้า ข้าจะต้องเร่งดูพวกมันในตอนนี้ทันที”

 

“เจ้าเองก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลด้วยอย่างงั้นหรือ?” ว่านเอ๋อเอ่ยขัดด้วยความอยากรู้

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า ขณะที่ในหัวใจของแอบพูดออกมาว่า ‘เป็นสิ … ในเร็วๆนี้น่ะนะ’

 

“เข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเลือกเอง”

 

แม้จะยังมีข้อสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ฉินรั่วก็ตอบรับคำทันที

 

ทั้งเธอและว่านเอ๋อต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติ

 

ดังนั้นสายตาในการมองวิชาลับของเธอ ย่อมต้องเป็นของแท้อย่างแน่นอน

 

“งั้นข้าก็จะช่วยด้วย!”

 

ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และนำใบหยกขนาดใหญ่ที่ภายในว่างเปล่าออกมา ยัดลงในมือว่านเอ๋อ

 

“ไม่ได้หรอกว่านเอ๋อ เจ้ามีงานอื่นที่ต้องทำอยู่นะ – ตอนนี้พวกเรายังไม่มีคนที่จะคอยทำหน้าที่คัดลอกวิชาลับทั้งหมดเลย ฉะนั้นเจ้าจะต้องรับหน้าที่นี้ไป หน้าที่นี้ยิ่งใหย่และสำคัญยิ่ง ข้าจะให้ฉานนู่ช่วยเจ้าด้วย”

 

“เข้าใจแล้ว ข้าทราบถึงภาระที่ต้องแบกรับนี้ดี”

 

ว่านเอ๋อตอบแบบกัดริมฝีปากตนเอง แล้วเดินแยกไปอีกทางกับฉานนู่

 

เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าหญิงสาวทั้งสามเริ่มวุ่นอยู่กับหน้าที่ของตนเองแล้ว กู่ฉิงซานก็กำลังเตรียมที่จะทำการเรียนรู้ศาสตร์เกี่ยวกับค่ายกลบ้าง

 

ทว่าเขาแค่เพียงเดินออกไปหนึ่งก้าว ก็กลับได้ยินเสียง ‘ติ๊ง!’ ขึ้นทันใด

 

ระบบได้กลับมาตอบสนองอีกครั้งแล้ว!

 

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทันที

 

ตั้งแต่ครั้งล่าสุดคือช่วงเวลาที่ทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆระบบก็เงียบลง ไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับว่าเขาไม่อาจเชื่อมต่อกับมันได้เลย

 

แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าระบบจะกลับมาแล้ว!

 

“เป็นยังไงบ้าง ยังปกติดีอยู่ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามในทันใด

 

“ขอบใจที่เป็นห่วง ถึงแม้ว่ามันจะอันตรายไปบ้าง แต่ฉันก็ได้ทำการสำรวจรากฐานแหล่งกำเนิดของโลกจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

 

ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 

“เอาล่ะ เชิญดูที่หน้าจอได้เลย”

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏหลากเส้นแสงตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“จากการที่ได้ลองพยายามที่จะสัมผัสถึงรากฐานของโลกใบนี้”

 

“ฉันได้ค้นพบว่ากฏเกณฑ์ของโลกใบนี้เกือบจะถูกกลืนกินไปจนเกือบจะสิ้นแล้วโดยสมบูรณ์”

 

“และหลังจากที่ทำการประเมินกว่า 391 ครั้ง ก็สามารถสรุปได้ว่ารากฐานของโลกใบนี้ไม่เพียงพอที่จะสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ได้”

 

“พิจารณาจากในมุมมองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน คุณจึงมีอยู่สองทางเลือก ดังต่อไปนี้”

 

“หนึ่ง : ล้มเลิกเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ชั่วคราว และเฝ้ารอจนกว่าคุณจะเดินทางไปยังโลกอื่น แล้วจึงค่อยใช้รางวัลแลกเปลี่ยนกับพลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง”

 

“สอง : ล้มเลิกเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพไปเลยถาวร โดยใช้ประโยชน์จากรากฐานที่หลงเหลืออยู่ของโลกใบนี้ เพื่อทำการ ‘บังคับวิวัฒนาการ’ – ยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองอยู่ไปอีกขั้นหนึ่ง”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านคำแนะนำทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

แล้วเขาก็รำพึงในความคิดออกมา “รากฐานของโลกใบนี้เกือบทั้งหมดได้ถูกกลืนกินไปแล้วโดยมารโลกาอย่างนั้นหรือ?”

 

“ใช่ รากฐานที่ว่านั่นแทบจะว่างเปล่าแล้ว มันหลงเหลืออยู่อีกเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น” ระบบตอบกลับ

 

“แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้กันล่ะ ถ้าหากกฏเกณฑ์ทั้งหมดของโลกได้หายไปโดยสมบูรณ์?”

 

“โลกทั้งใบก็จะล่มสลาย”

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย “เช่นนั้นแล้ว ยังคงเหลือเวลาอีกนานเท่าใดกันกว่าที่โลกจะล่มสลาย?”

 

“มันเป็นเรื่องยากที่จะกล่าว กระบวนการทำลายของโลกนั้นค่อนข้างซับซ้อน มันอาจจะอีกซักราวๆ 2-3 วันนับจากนี้ หรือไม่อย่างมากที่สุดก็ 7 วัน”

 

เจ็ดวัน!

 

แถมยังไม่แน่นอน บางทีโลกอาจจะถูกทำลายลงในเวลาใดก็ได้!

 

เวลามันจะกระชั้นชิดเกินไปแล้ว!

 

กู่ฉิงซานฝืนบังคับตนเองให้สงบลง

 

เขาเอ่ยถามอย่างช้าๆ “แล้วถ้าหากข้าใช้รากฐานของโลกที่เหลืออยู่ ในการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง มันจะมีอิทธิพลใดๆต่อโลกใบนี้หรือไม่?”

 

“ไม่หรอก การล่มสลายของโลกใบนี้น่ะมันได้เกิดขึ้นแล้ว และเศษเสี้ยวเล็กๆที่ว่านั่น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยรวมต่อสถานการณ์ทั้งหมด”

 

กู่ฉิงซาน เอ่ยออกมาทันทีว่า “งั้นก็ดี เช่นนั้นข้าขอเลือกที่จะใช้เศษเสี้ยวอำนาจของรากฐานจากโลกใบนี้มายกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์”

 

“รับทราบ” ระบบตอบกลับ

 

แล้วอีกเส้นบรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

 

“รางวัลจากภารกิจพิเศษ : ‘หวูซานจะต้องตาย’ ได้ถูกใช้งานแล้ว”

 

“เริ่มทำการดึงข้อมูลพลังศักดิ์สิทธิ์ของคุณที่สามารถยกระดับได้”

 

“มีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์เดียวของคุณเท่านั้นที่สามารถยกระดับได้”

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถยกระดับได้ของคุณก็คือ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน”

 

“สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรก : สูญสิ้นการควบคุม , เรียนรู้แล้ว”

 

“สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง : ไม่ยอมอ่อนข้อ , เรียนรู้แล้ว”

 

“คุณสามารถวิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนเป็นขั้นสามได้”

 

“คุณต้องการที่จะใช้เศษเสี้ยวพลังจากรากฐานของโลกล่องเวหาใบนี้ วิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนหรือไม่”

 

กู่ฉิงซานกล่าวทันทีอย่างไม่ลังเล “ต้องการ”

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ความมืดมิดค่อยๆจางหายไป

 

ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพก็เช่นกัน

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

ก็มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนี่นา

 

ไม่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาอาจจะได้รับจากการสกัดมันจะทรงพลังเพียงใด แต่หากยังไม่สามารถใช้ได้ในทันที มันก็เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น

 

แต่ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องคว้าพลังอำนาจทั้งหมดที่มีเอาไว้ในมือ!

 

เพราะนี่คือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!

 

เมื่อแถบภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ได้หายไป ก็ปรากฏรังสีแสงเข้ามาแทนที่

 

รังสีแสงนี้ปกคลุมไปตลอดทั้งหน้าต่างระบบ และเริ่มทำการแปรเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อกู่ฉิงซานจ้องมองรูปร่างของรังสีแสง มันก็นิ่งงันไปในทันที

 

“เริ่มแล้วนะ”

 

ระบบแจ้งเตือน

 

เห็นแค่เพียงกลุ่มแสงสีน้ำเงินสามกลุ่มลอยขึ้นมาจากรังสีแสงที่ว่านั่น

 

สามกลุ่มแสงลอยมาหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นเลือกหนึ่งในสามตัวเลือกนี้ เพื่อทำการบรรลุการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล๋ยเดี๋ยน โดยสมบูรณ์”

 

“โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่านี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 3 และมันได้มาสัมผัสถึงขีดสุดของกฏเกณฑ์แล้ว แต่ละตัวเลือกที่มีค่อนข้างที่จะทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น โปรดทำการเลือกอย่างระมัดระวังด้วย”

 

ระบบแจ้งเตือนอีกครั้ง

 

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

เขาเริ่มจากมองไปยังกลุ่มแสงกลุ่มแรกก่อน

 

ทันใดนั้นในสายตาของเขา ใกล้กับกลุ่มแสง ก็บังเกิดตัวอักษรหิ่งห้อยขนาดเล็กหลายบรรทัดปรากฏขึ้นทันใด

 

“พันโลกาฟาดผ่าอสูรกาย : เมื่อใช้สกิลนี้ การโจมตีในครั้งต่อไปของคุณ จะสามารถสร้างความเสียหายแก่เผ่ามารหรืออสูรกายได้เพิ่มขึ้นถึง 1000%”

 

“คำอธิบาย : สายฟ้าเล๋ยเดี๋ยนประกอบไปด้วยพลังของ ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ และหากพลังศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่ 3 ของเล่ยเดี๋ยนถูกเปิดใช้งาน คุณก็จะสามารถบีบอัดพลังของ ‘พันโลกา ฟาดผ่าอสูรกาย’ แล้วระเบิดมันออกมาได้ 1 ครั้ง”

 

สร้างความเสียหาย 1000%! นี่เป็นการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังมากจริงๆ!!

 

กู่ฉิงซานเมื่ออ่านคำอธิบาย เขาถึงขั้นต้องขยี้ตาตัวเอง แต่แล้วสุดท้ายก็ต้องส่ายศีรษะอยู่ดี

 

เพราะเวลานี้เขาจะต้องรับมือกับสิ่งใด? … เขาจะต้องรับมือกับหวังหงษ์เต๋าไง!

 

หวังหงษ์เต๋าคือการดำรงอยู่ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต —เขามิใช่เผ่ามารหรืออสูรกาย!!

 

หากเลือกพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันจะไม่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กู่ฉิงซานรอดชีวิตจากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไปได้เลยแม้แต่น้อย

 

คงต้องยอมทำใจทิ้งมันไปเท่านั้น

 

หากเวลาไม่กระชั้นชิดมากเกินไป แล้วเปลี่ยนเป็นอยู่ในสถานการณ์อื่น กู่ฉิงซานอาจจะเก็บมันมาพิจารณาอย่างรอบคอบอีกสักหนึ่งหรือสองครั้งก็ได้

 

เขาทำใจสักพัก ก่อนจะเบนสายตาไปมองกลุ่มก้อนแสงที่สอง

 

“จิตสายฟ้า ปราณสัมผัสสวรรค์ : นี่คือกฏเกณฑ์ทั้งหมดของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน คุณจะสัมผัสได้ถึงโชคชะตาที่ไม่รู้จัก และสามารถตระหนักรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นชั่วขณะในระหว่างการต่อสู้”

 

“คำอธิบาย : พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มิใช่เป็นเพียงประเภทพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทพยากรณ์เท่านั้น แต่มันยังเป็นลางสังหรณ์ที่เหมาะสมยิ่งสำหรับการต่อสู้  มันจะช่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตรายร้ายแรงถึงตายได้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันก็คล้ายคลึงกันกับสัญชาตญาณในการต่อสู้

 

หากคุณเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ คุณก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลในการต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับเท่าเทียมกัน

 

แต่น่าเสียดาย … ที่บังเอิญว่าศัตรูที่ต้องเผชิญ มันดันมีระดับเหนือยิ่งกว่าเขาอยู่หลายขุม

 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์นี้คอยช่วยเหลือ กู่ฉิงซานก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาเองจะสามารถล่วงรู้การกระทำล่วงหน้าของคู่ต่อสู้ และโค่นล้มอีกฝ่ายลงได้เลย

 

กู่ฉิงซานจึงเหลือบมองไปยังกลุ่มแสงก้อนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่

 

“ตัดขาดการเชื่อมต่อ : หลังจากที่คุณโจมตีด้วยสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว สติของฝ่ายตรงข้ามจะถูกตัดขาดออกไปจากร่างกาย และจะกลับคืนมาเมื่อผ่านพ้นไป 3 วินาที”

 

“คำอธิบาย : นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกยกระดับขึ้นจาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ และ ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่ได้รับการยกเว้น”

 

“คำอธิบาย : พลังวิญญาณที่จำเป็นต้องจ่ายในการใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มหาศาลจนน่าใจหาย ดังนั้นหากคิดจะใช้มัน โปรดไตร่ตรองให้ดีด้วย”

 

“หมายเหตุพิเศษ : เนื่องเพราะคุณได้ทำการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทเดียวกันนี้มาในสองระดับแรก ดังนั้น คุณจึงโชคดีที่ได้รับสิทธิที่จะสามารถยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ในขั้นสามได้”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สาม ทั้งคนทั้งร่างชะงักงันไปเล็กน้อย

 

3 วินาที …

 

3 วินาที!!!

 

เขาเอ่ยถามระบบอย่างเร่งร้อน “ระบบ แล้วถ้าหากฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าฉันหลายเท่าล่ะ พลังศักดิ์สิทธิ์นี้จะยังคงทำงานรึเปล่า?”

 

“ระบบเหนื่อยมากแล้วตอนนี้ เชิญไปอ่านคำแนะนำด้วยตัวคุณเองเถอะ”

 

“งั้นฉันจะเลือกตัดขาดการเชื่อมต่อ”

 

“คุณมั่นใจใช่หรือไม่”

 

“มั่นใจเต็มร้อยเลย”