หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.450 – ค่ายกลสังเกตการณ์

 

ขณะที่มารโลกากำลังสั่งการโจมตีอยู่นั้นเอง

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ภายในกระแสมิติที่เชี่ยวกราดอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ที่ๆซึ่งสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลไม่เคยหยุดพัด

 

สิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดมากมาย , สิ่งปลูกสร้างที่มีรูปทรงลึกลับ แม้กระทั่งการดำรงอยู่บางบางสิ่งที่ล่องลอยอยู่ในกระแสมิติที่บ้างปรากฏตัวขึ้น บ้างผ่านพ้นไป

 

ที่แห่งนี้คือเบื้องหลังของโลกนับไม่ถ้วน

 

มันคือสถานที่แห่งความวุ่นวายที่เกิดจากการพังทลายลงของกระแสมิติและเวลาจากทั่วทุกมุมโลก

 

และท่ามกลางมิติเวลาดังกล่าว ก็ได้ปรากฏป้ายอาญาสิทธิ์สีเขียวมรกตที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยสายลมขึ้น มันล่องลอยออกไปไกลแสนไกลไปทั่วทั้งมิติ

 

ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ว่านี้มีขนาดเล็กเกินไป แถมยังมิได้ดูวิเศษวิโสใดๆ  อาจกล่าวว่ามันไม่โดดเด่นมากพอจะดึงดูดความสนใจได้

 

ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในมิติอันเชี่ยวกราดจึงมิคิดจะแยแสมัน

 

ดังนั้น ป้ายอาญาสิทธิ์นี้จึงลอยล่องอยู่เช่นนี้มาเนิ่นนานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว

 

ทุกวี่วันยังคงดำเนินต่อไปอย่างเฉื่อยชา อันที่จริงแล้วมันสมควรที่จะลอยล่องอยู่เช่นนี้ตลอดไป

 

แต่ในวันนี้ ในขณะนั้นเอง จู่ๆก็ได้มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปบังเกิดขึ้น

 

ป้ายอาญาสิทธิ์สีเขียวมรกตพร้อมด้วยสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลได้บังเอิญ -เจาะเข้าไปยังตำแหน่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างพิเศษภายในมิติอันเชี่ยวกราด

 

หากป้ายอาญาสิทธิ์ที่ว่านี้มีสตินึกคิด มันคงจะต้องสับสนกับสถานการณ์ในปัจจุบันของตนเองอย่างแน่นอน

 

เพราะในสถานที่แห่งนี้ มันไม่มีสิ่งใดเลย

 

ไร้ซึ่งสรรพเสียง ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้าง ไร้ซึ่งโลก ไร้ซึ่งสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหล ไร้ซึ่งชีวิต ไร้ซึ่งวี่แววของสรรพสิ่งใดๆเลย

 

มีเพียงป้ายอาญาสิทธิ์เท่านั้นที่อยู่ที่นี่

 

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

 

ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งกระพริบไหวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก

 

เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น “ป้ายอาญาสิทธิ์ … ”

 

พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยืดออก และคว้าจับป้ายที่ว่านี้ไว้

 

แล้วสถานที่แห่งนี้ก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่าตามเดิม กลับมาเป็นปกติดั่งที่มันควรจะเป็นโดยสมบูรณ์

 

หลังจากเวลาล่วงเลยไปนาน

 

ทันใดนั้นรอยแยกสีทมิฬก็แหวกออกในความว่างเปล่า

 

ตามต่อด้วยถุงสัมภาระใบหนึ่งที่ลอยออกมาจากรอยแยกที่ว่านั่น

 

แล้วรอยแยกมิติก็หายไปทันที

 

ทุกสิ่งอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิม

 

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ

 

จู่ๆก็มีถุงสัมภาระถูกส่งมาที่นี่?

 

มันลอยนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในมิติที่ว่างเปล่า

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ตัวของถุงสัมภาระก็บังเกิดการขยับไหวเล็กน้อย เล็กน้อยจนแทบมิอาจสังเกตเห็นได้

 

ราวกับว่าไม่รับรู้ถึงผลลัพธ์ใดๆ ถุงสัมภาระจึงเริ่งขยับไหวอีกครั้ง

 

เมื่อไร้ซึ่งการตอบรับใดๆอีก คราวนี้ก็มีมือหยกผลุบออกมาจากปากถุงสัมภาระ

 

มือหยกสัมผัสกับตัวถุงสัมภาระ และลูบมันอย่างแผ่วเบา

 

ทันใดนั้นตราประทับเจ้าของ ของถุงสัมภาระก็ถูกลบออกไป

 

และมือหยกก็ตบลงบนถุงสัมภาระ

 

ตามต่อด้วยถุงสัมภาระที่เปิดออกทันที

 

ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เกือบจะในทันที หญิงสาวที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาวก็ปรากฏขึ้นในมิติที่ว่างเปล่า

 

ทันทีที่หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นเธอก็ตกอยู่ในสภาวะตื่นตัวทันที

 

-สตรีแห่งรากษส

 

ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป และเลือกที่จะปรากฏกายขึ้น

 

สตรีแห่งรากษสคว้าถุงสัมภาระและชำเลืองมองไปรอบๆ

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงจากภายใต้หน้ากากจิ้งจอกขาวก็เปล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“นี่มันพื้นที่มิติที่แยกตัวออกมา – เหตุใดเราถึงได้เข้ามายังพื้นที่มิติที่แยกตัวออกมากัน?”

 

เสียงของหญิงสาวเริ่มกระวนกระวาย

 

ท่ามกลางความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ในมิติอันเชี่ยวกราด จู่ๆก็บังเกิดบางสิ่งกระพริบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

สตรีแห่งรากษสหันขวับไปมองในฉับพลัน

 

ทว่ากลับไม่พบถึงสิ่งใด

 

“แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องเร่งออกไปจากที่นี่โดยเร็ว!”

 

สตรีแห่งรากษสตบลงบนกายตน และนำดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กออกมา

 

พลังวิญญาณถูกถ่ายเทลงไปทันที และตัวดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นในฉับพลัน

 

อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมา การทำงานของดิสก์ค่ายกลก็ดับลง และหยุดไปโดยสมบูรณ์

 

ดูเหมือนว่ามันจะล้มเหลว

 

สตรีแห่งรากษสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่นะ! พื้นที่มิติแยกตัวแห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายมิติอย่างงั้นหรือ!?”

 

ในความว่างเปล่า บังเกิดบางสิ่งกระพริบไหวอย่างรวดเร็วขึ้นอีกครั้ง

 

และคราวนี้ ระยะห่างระหว่างมันกับสตรีแห่งรากษสก็ใกล้กันยิ่งกว่าเดิมมาก

 

เส้นผมของสตรีแห่งรากษสลุกชูชัน

 

เธอตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ใช้มือคว้าจับด้ามกระบี่ยาวที่ใบของมันนวลขาวราวหิมะ ปาดเข้ารอบคอของตนเอง

 

ฉัวะ!

 

หัวร่วงตกลงมาในคราเดียว

 

ขณะที่ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกขาวได้เปล่งประโยคสุดท้ายออกมาอย่างโหดร้าย

 

“ฉีหยาน … เจ้ากล้าดียังไงถึงทำกับเราเช่นนี้ เราจักต้องกลับไปสังหารเจ้าอย่าแน่นอน!”

 

….

 

นิกายกวงหยาง

 

ณ ที่ไหนสักแห่งบนเกาะลอยฟ้า

 

จิ้งจอกขาวกำลังขดตัวนอน จมลงสู่ห้วงหลับไหล

 

แต่จู่ๆทันใดนั้นมันก็ดีดตัวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“ตายแล้ว? จู่ๆก็ตายไปเสียเฉยๆเลย”

 

จิ้งจอกขาวบ่นงึมงำ

 

“พิกลนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ..”

 

จิ้งจอกขาวสะบัดหางของมันเล็กน้อย

 

ทันใดนั้นหางสีขาวนวลหลายหางก็ผุดออกมาร่ายระบำอยู่ในอากาศ

 

แสงสลัวๆกระจายออกมาจากหางของมันและกวาดไปทั่วโลกทั้งใบอย่างรวดเร็ว

 

ดูเหมือนว่าจิ้งจอกขาวจะเปิดใช้งานเทคนิคมนตราบางอย่าง

 

หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง

 

ดวงตาของจิ้งจอกขาวก็หรี่แคบลงเป็นเส้นโค้งบางๆ .. คล้ายกับว่ามันกำลังยิ้มอยู่

 

“ช่างเป็นความบังเอิญที่คาดไม่ถึงยิ่งนัก ที่จู่ๆ ‘ผู้เข้าแข่งขัน’ ก็ไปโผล่ยังพื้นที่มิติที่แยกตัวออก”

 

“แต่การยอมตายที่นั่น .. บางทีมันอาจจะเป็นการดีซะกว่าก็ได้”

 

“-ดูเหมือนว่าการทดสอบแข่งขันในครั้งนี้ มันชักจะน่าสนใจขึ้นมาจริงๆเสียแล้วสิ”

 

มันลุกขึ้นยืน และค่อยๆย่างกรายไปรอบๆลานที่พักอย่างเชื่องช้า

 

ขณะเดียวกัน เบื้องหลังของจิ้งจอกขาว ก็ค่อยๆปรากฏหางยาวสีหิมะผุดขึ้น

 

หนึ่งหาง

 

สองหาง

 

สามหาง

 

 

ทั้งสิ้น 16 หาง

 

จำนวนทั้งสิ้นสิบหกหางได้ผุดออกจากทางด้านหลังของจิ้งจอกขาว

 

ก่อนหน้านี้ที่บนเวทีหารือ ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองมิได้สังเกตเห็นเลยว่า จิ้งจอกขาวจะมีหางมากมายขนาดนี้

 

ทว่าด้วยความรู้ความเข้าใจของพวกเขา หากพวกเขาได้รู้ถึงเรื่องที่พึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านี้แล้วล่ะก็ ทุกสิ่งอย่างมันจะแตกต่างออกไปจากในตอนแรกทันที

 

หางขาวทั้งหลายเริ่มที่จะขยับไหวเป็นวง เบื้องหลังจิ้งจอกขาว

 

วงที่ว่าได้สาดแสงสีขาวบริสุทธิ์จางๆออกมา และแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นประตูแสงอันริบหรี่

 

บนบานประตูแสง ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังได้ดังขึ้น

 

เสียงๆนั้นตะโกนออกมาว่า “ข้าจะเหยียบย่ำนิกายกวงหยางให้จมปฐพี จะสังหารฉีหยานให้จงได้! จากนั้นก็จักค่อยบรรลุการทดสอบแข่งขันให้เสร็จสมบูรณ์”

 

“จะทำอะไรก็ตามใจเจ้าแล้วกัน” จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “แต่ข้าขอเตือนเจ้าก่อน ว่าสตรีแห่งรากษสทุกรุ่น ทุกยุคสมัย จะมีเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่จักคงสภาพเอาไว้ได้ ดังนั้น เจ้าจึงเหลือโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะบรรลุการทดสอบให้ได้ด้วยตนเองโดยสมบูรณ์”

 

ความโกรธของอีกฝ่ายได้สลายหายไปทันที ปากกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้หรอกน่า แต่ฉีหยานน่ะมีโลกใบใหม่สองใบอยู่ในมือนะ จะไม่ให้ไปยุ่งกับมันเลยหรือ?”

 

“หากเจ้าสามารถได้รับพิกัดของโลกใหม่ได้ เจ้าก็จะได้รับแต้มรางวัลเพิ่มเติม และนั่นจะเป็นหลักฐานว่าเจ้าได้บรรลุการทดสอบแล้ว” จิ้งจอกขาวกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

“เอาล่ะ ข้าจะไปทำการทดสอบให้มันเสร็จสิ้น” แม้ปากจะเอ่ยรับ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายก็ยังคงขุ่นเขียวอยู่

 

“ตอนนี้ เจ้าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกคราแล้ว”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

และเสียงของอีกฝ่ายก็หายไป

 

จิ้งจอกขาวยืนนิ่งอยู่กับที่

 

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

 

เสียงที่ฟังดูเปี่ยมบารมีก็ดังขึ้น “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าสามารถเริ่มรายงานสถานการณ์มาได้”

 

จิ้งจอกขาวหันไปโค้งกายคารวะทางประตูแสง และเริ่มเอ่ยรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ตั้งแต่ต้น

 

เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เสียงเปี่ยมบารมีก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“แม้ว่ามันจะเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด แต่หนึ่งในผู้แข่งขันแห่งลั่วชาก็ถึงขั้นต้องยินยอมสละร่างกายตนเองไปนี่มัน ..”

 

“ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเช่นนี้มาได้เป็นเวลานานมากแล้ว”

 

เสียงนั้นฟังดูเหมือนจะครุ่นคิด ในขณะเดียวกันก็ทำการตัดสินใจบางอย่างด้วยตัวเอง

 

“เอาเถอะ ตอนนี้เจ้าก็ทำการตรวจสอบคนๆนั้นต่อไปก็แล้วกัน แล้วก็จงตัดสินด้วยตนเองว่าคนๆนั้นมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้แข่งขันแห่งลั่วชาหรือไม่”

 

“เข้าใจแล้ว ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ” จิ้งจอกขาวเอ่ยรับ

 

“ดังนั้น – นี่สินะคือคำที่มักจะกล่าวกันว่าสันติน่ะเป็นเพียงภาพมายาในระยะสั้น สงครามกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า พวกเราต้องการเลือดใหม่ที่ยอดเยี่ยม ขณะที่ฝั่งศัตรูของพวกเราก็เช่นกัน ดังนั้นข้าขอฝากเจ้าด้วย”

 

“รับทราบแล้ว ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

 

“จงระมัดระวังอสูรกายที่แท้จริงเอาไว้ให้ดี แล้วพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งเมื่อเจ้ากลับมา”

 

“แล้วข้าจะกลับไป”

 

จากนั้น แสงอันริบหรี่ก็ค่อยๆจางหายไป

 

แล้วประตูแสงก็ปิดลง

 

หางของจิ้งจอกขาวกางออกอีกครั้ง และคราวนี้แบ่งออกเป็น 18 หาง

 

มันเดินอย่างเชื่องช้าผ่านลานที่พัก ราวกับว่ากำลังขบคิดถึงวิธีการที่จะกระทำต่อไป

 

ในชั่วขณะหนึ่ง สายตาของจิ้งจอกขาวก็กระพริบไหว

 

“เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ ผู้เข้าแข่งขันแห่งลั่วชา ได้กลับลงมายังลั่วชาเฟิงอีกครั้ง”

 

“ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือชายที่สามารถสังหารผู้เข้าแข่งขันแห่งลั่วชาได้ … ดูเหมือนว่ามันจะถูกเรียกว่า ‘ฉีหยาน’ สินะ?”

 

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง

 

ร่างของจิ้งจอกขาวก็หายวับไปทันที มิอาจพบเห็นถึงร่องรอยของมันได้อีกเลย