หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.449 – ประจักษ์พยาน
ของที่เก็บสะสมไว้ในนิกายกวงหยาง สำหรับกู่ฉิงซานแล้วมันคืออะไรที่สำคัญเป็นอย่างมาก
เพราะนั่นคืออารยธรรมการฝึกยุทธที่เหนือล้ำยิ่งกว่าของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะเทคนิคค่ายกลของพวกเขา นับว่าหาที่ใดจะเทียบเปรียบได้
กู่ฉิงซานพาฉานนู่ ฉินรั่ว และว่านเอ๋อมาด้วยกัน มุ่งหน้าตรงไปยังคลังสมบัติของโถงเจียงซี
ขณะที่ในระหว่างทาง พวกเขามิได้พบเจอกับผู้ใดเลย
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
ช่วงเวลานี้ ตลอดทั่วทั้งเกาะ นอกเหนือไปจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่อาจพบเห็นผู้ใดได้อีกเลย
นี่มันช่างแตกต่างกับนิกายกวงหยางที่พวกเขาเข้ามาในตอนแรกเสียเหลือเกิน
ความเงียบงันที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดนี้ ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้า
ในแต่ละนิกาย เมื่อเกิดช่วงเวลานี้ขึ้น เหล่าผู้ฝึกยุทธจะได้รับคำสั่งขั้นเด็ดขาดให้อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง ทุกๆนิกายก็มีค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกที่เปิดใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวก็ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ขึ้น แต่ละนิกายก็จำเป็นต้องออกคำสั่งจำกัดพื้นที่ของเหล่าสาวกอยู่ดี
เพราะคือแนวทางปฏิบัติที่ได้เรียนรู้มาจากความเจ็บปวดมากมายที่เคยเกิดขึ้นในครั้งอดีต
มีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฏข้อบังคับดังกล่าว
นั่นเพราะเขาเป็นลูกชายของท่านผู้นำ และยังเป็นหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักที่มีอำนาจมากเป็นพิเศษอีกด้วย
“ว่านเอ๋อ”
กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าลงทันใด หันไปกล่าวทางว่านเอ๋อ
“เจ้าค่ะ นายน้อย”
“สถานการณ์เช่นนั้นมันอะไรกัน?”
ว่าแล้วกู่ฉิงซานก็ชี้ยังทิศทางหนึ่งและเอ่ยปากออกมา
ว่านเอ๋อมองตามไปยังทิศทางที่กู่ฉิงซานชี้ไป
ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนักบนท้องฟ้า บังเกิดแสงสีดำวูบไหวจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง
แสงสีดำที่สาดออกมา ส่งผลให้ในสายตาสามารถมองเห็นถึงปากใหญ่มากมายที่เต็มไปด้วยซี่ฟันแหลมๆปรากฏขึ้น
ปากใหญ่สีดำเหล่านี้มีขนาดเท่ากับสิ่งปลูกสร้างราวๆ4-5ชั้น ขณะที่แต่ละปากบ้างอ้า บ้างหุบ ราวกับกำลังคาดหวังบางสิ่งบางอย่างอยู่
นี่คือร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกา
ร่างไร้จิตสำนึกเหล่านี้กำลังรายล้อมอยู่รอบเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ สีหน้าท่าทีของว่านเอ๋อก็เปลี่ยนไปทันที
เธออดไม่ได้ที่จะเผลอก้าวถอยหลังกลับไป และคว้าจับมือของฉินรั่ว บีบมันจนแน่น
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว”
ฉินรั่วกอดหว่านเอ๋อและปลอมประโลมเบาๆ
ขณะที่ทั้งคนทั้งร่างของว่านเอ๋อสั่นกึกๆไม่หยุด และมิอาจเปล่งคำใดออกมาตอบรับคำของฉินรั่วได้
“นายน้อย” ฉินรั่วหันไปมองกู่ฉิงซานและอธิบาย “ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาน่ะ จะรับรู้ถึงกลิ่นอายของพลังวิญญาณได้ พวกมันจึงไปล้อมรอบในส่วนที่มีกลิ่นอายเล็ดลอดออกมา และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ”
“รออะไร?”
“ก็รอ-”
ฉินรั่วยังไม่ทันจะได้เอ่ยจนจบประโยค บนท้องฟ้าก็เริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ในเวลานี้ ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาได้ปกคลุมไปจนเกือบตลอดทั้งเกาะแล้ว
แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่จู่ๆก็มีเรือเหาะลำหนึ่งแล่นสวนออกมาจากเกาะ
เรือเหาะพุ่งผ่านช่องว่างที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างรวดเร็ว และสามารถฝ่าวงล้อมของร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามาได้อย่างง่ายดาย
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลงและเฝ้ามองถึงฉากนี้อย่างระมัดระวัง
แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปออกมา ว่าแท้จริงแล้วบนเรือเหาะลำนั้นมีแสงสลัวจางๆของ7-8ค่ายกลกระพริบไหวออกมาเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่านั่นจะต้องเป็นค่ายกลที่ใช้ป้องกันตัวจากร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาเป็นแน่
หนึ่งในนั้นคือค่ายกลที่ทำให้ชั้นอากาศโดยรอบของเรือเหาะเกิดความบิดเบือนเป็นระลอกคลื่น
ปรากฏการเช่นนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกเกิดการทำงาน
มันคงจะเป็นเพราะค่ายกลที่ว่านี้นี่เอง ที่ส่งผลให้ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามิอาจตระหนักถึงการมีอยู่ของเรือเหาะได้
เรือเหาะพุ่งผ่านไป มุ่งหายไปในท้องฟ้าอันกว้างไกล
ขณะที่บนเกาะลอยฟ้าดังกล่าว บังเกิดเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนที่ฟุ้งไปด้วยความสิ้นหวังดังขึ้น
“ไม่จริง!!”
“ท่านหัวหน้า! ท่านจะทิ้งพวกเราเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ!”
“ขโมยศิลาวิญญาณทั้งหมดของนิกายหลบหนีไป เจ้ามันไม่คู่ควรกับคำว่าผู้นำเลย!”
“หวังบิซี! ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นผี ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”
ขณะที่เสียงเหล่านั้นปะทุขึ้น ตลอดทั้งเกาะก็บังเกิดเสียงคร่ำครวญอีกมามายตามมา
แสงที่รายล้อมอยู่รอบเกาะทรุดโทรมลง และสุดท้ายก็สลายหายไปในความว่างเปล่า
ค่ายกลที่คอยปกป้องพวกเขาได้หายไปแล้วโดยสมบูรณ์แล้ว
-ปงงงง!
ทว่าพริบตานั้นเอง ร่างไร้สติทั้งหมดก็ถูกระเบิดการโจมตีเข้าใส่จนกระจายเป็นซากในฉับพลัน
พร้อมกับการปรากฏกายของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่กลางอากาศ ขณะที่ในมือของเขาผายออกด้วยวิชาลับ
คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณของคนผู้นี้ ไม่แตกต่างไปจากเย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยเลย
เขาคือผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าขั้นปลาย!
ที่เรียกได้ว่ากระทั่งในโลกใบนี้ ก็ยังเป็นตัวตนที่ทรงพลานุภาพยิ่ง!
เมื่อเสียง ปงงง! ดับลง ร่างไร้จิตสำนึกทั้งหมดก็ถูกทำลายหายไปในการโจมตีเดียว อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนกลับไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจใดๆเลย
เขาตะโกนด้วยความกระวนกระวาย “เหล่าอาวุโสและสาวกทั้งหลาย จงเร่งนำศิลาวิญญาณที่พวกเจ้าซุกซ่อนเก็บเอาไว้กับตัวไปเปิดใช้งานค่ายกลเร็วเข้า มิฉะนั้นโชคชะตาของทุกคนคงมิแคล้วตกตาย!”
บนเกาะลอยฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธมากมายได้ตกอยู่ในความอลหม่าน และเริ่มทำการรวบรวมศิลาวิญญาณทันที
“นายน้อย ข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะมีเวลาไม่มากพอ” ฉินรั่วกล่าวเสียงต่ำ
“เพราะเหตุใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เห็นแค่เพียงท่าทีที่พยายามจะสงบนิ่งของฉินรั่ว ทว่าสีหน้าของเธอกลับเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่กลบไม่มิดออกมา
เธอเฉลยว่า “เพราะร่างมีจิตสำนึกของมารโลกากำลังจะมา ซึ่งนั่นหมายความว่ามารโลกาได้ค้นพบพวกเขาแล้ว”
ว่านเอ๋อที่ยังสั่นเทาก็กล่าวออกมาเช่นกัน “นายน้อย โปรดรับชมด้วยตาตนเองเถิด นั่นคือ ‘พฤกษาแห่งมารโลกา’ ”
กู่ฉิงซานมองออกไป
และเห็นแค่เพียงเนื้อสีแดงสดที่สูงตระหง่าน คล้ายคลึงกับพฤกษายักษ์กำลังทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
และเนื้อที่ว่านี้มาจากร่างหลักของมารโลกา ที่อยู่บนพื้นโลก
เนื้อพฤกษายักษ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้น พวกมันก็เริ่มที่จะแตกกิ่งก้านสาขา
กิ่งก้านที่แยกออกมาเหล่านั้น ถูกปกคลุมไปด้วยผลไม้สีแดงสด
“โผล๊ะ!”
ผลไม้ที่ว่าเริ่มแยกออก
พร้อมกับการปรากฏ ‘หนังมนุษย์’ หลุดลอกออกมา และลอยค้างอยู่กลางเวหา
พวกมันเป็นเพียงหนังมนุษย์แห้งๆ ไร้ซึ่งเลือดและเนื้อ ทว่ากลับสามารถเคลื่อนไหว และเหินอากาศไปมาได้มิแตกต่างไปจากผู้ฝึกยุทธเลย
หนังมนุษย์มองไปยังเกาะลอยฟ้า และเปล่งเสียงหัวเราะที่แลดูฟั่นเฟือนออกมา
ในกระแสเสียงหัวเราะของพวกมัน ฟุ้งไปด้วยความเคียดแค้นอย่างหาที่ใดเปรียบ ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ซึ่งความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ยอด ยอดเยี่ยม”
หนังมนุษย์ตวาดเสียงดัง
ขณะที่เบื้องหลังเขา หนังมนุษย์มากมายที่ติดตามมาก็หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
“ยอด ยอดเยี่ยม”
พวกมันทุกตนต่างพากันตะโกนตามเขาออกมา
“ในที่สุดก็มีวิญญาณสดใหม่ที่จะต้องมาทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดชั่วนิจนิรันดร์ไปพร้อมกับพวกเราเพิ่มขึ้นอีกซักที” หนังมนุษย์เอ่ยกระซิบ
แต่แล้วจู่ๆใต้พื้นดินบังเกิดเสียงสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก
เสียงสะเทือนนี้ราวกับกำลังจะกระตุ้นเตือนเล็กน้อย
เพราะหลังจากที่ได้ยินมัน หนังมนุษย์ทั้งหมดก็หุบปากของพวกเขาลงทันที
ทั้งหมดกลายเป็นภาพติดตา และพรวดลงไปบนเกาะลอยฟ้าอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นตลอดทั้งเกาะก็ตกอยู่ในความโกลาหล
ความว่องไวของผู้ฝึกยุทธ มิอาจเทียบเคียงกับหนังมนุษย์ได้เลย
เห็นแค่เพียงเงาที่กระพริบผ่าน แล้วผู้ฝึกยุทธก็ถูกคว้าโอบกอดโดยหนังมนุษย์
ทันทีที่ถูกจับตัวไว้ เลือดและเนื้อตลอดทั้งร่างกายของผู้ฝึกยุทธก็หายไปโดยสมบูรณ์ และหลงเหลือเพียงหนังมนุษย์ที่เหี่ยวแห้งตนใหม่ปรากฏขึ้นมา
ขณะเดียวกันหนังมนุษย์ตนที่พึ่งโอบกอดผู้ฝึกยุทธมา จู่ๆก็บังเกิดถุงใบใหญ่ขึ้นบนหลังของเขา
ถุงใหญ่ใบนี้ คือส่วนผสมของเลือดเนื้อ และจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่พึ่งถูกดูดกลืนไปนั่นเอง
เพียงแค่สัมผัส … ผู้ฝึกยุทธก็ถูกพวกมันสังหารตายลงได้อย่างง่ายดาย
พริบตาเดียว ตลอดทั้งเกาะก็กลายเป็นลานประหาร!
ขณะเดียวกัน หนังมนุษย์ตนแล้วตนเล่าที่มีถุงใบใหญ่อยู่บนหลัง ก็ทยอยกันกลับไปยังพฤกษาแห่งมารโลกา
พฤกษาแห่งมารโลกาได้เปิดช่องว่างให้หนังมนุษย์ตนที่ว่าบินกลับเข้าไปภายในมัน
จนในท้ายที่สุด บนท้องฟ้า ก็เหลือเพียงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงมุ่งมั่นดิ้นรนต่อสู้อยู่
ขณะที่ฝูงหนังมนุษย์กระจายตัวกันห้อมล้อม และโถมโจมตีใส่เขาตลอดเวลา
“ไม่! มันจะต้องไม่เป็นแบบนี้!”
ชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเสียงที่เขาเปล่งออกมามันกลับช่างฟังดูสับสนและสิ้นหวังโดยแท้
เพราะไม่ว่าเขาคิดจะหลบหนีไปยังทิศทางใด ฝูงหนังมนุษย์ก็จะกระโจนไปปิดทาง ขณะที่มีอีกกลุ่มคอยไล่ตามเขามาอย่างกระชั้นชิด
ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป และถูกเหล่าหนังมนุษย์ปิดล้อมเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์
ร่องรอยของความหวาดกลัวบนใบหน้าของว่านเอ๋อเริ่มที่จะเด่นชัดขึ้น
ขณะที่กู่ฉิงซานมิอาจละตายตาไปจากการตะลุมบอลเบื้องบนได้เลย จนไม่ทันได้สังเกตุเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ
ฉานนู่หันไปมองว่านเอ๋อและเอ่ยถาม “นั่นเจ้าเป็นอะไรไป?”
“ร่างหลักของมารโลกากำลังจะเริ่มลงมือแล้ว! มันจะลงมือแล้ว!!”
ว่านเอ๋อตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“อย่ากลัวไปเลยว่านเอ๋อ” ฉินรั่วลูบแผ่นหลังว่านเอ๋อให้ผ่อนคลายลง “มีผู้ฝึกยุทธแค่คนเดียวเท่านั้น มารโลกาจะไม่ลงมือเองหรอก”
“จริงๆหรือ?”
“หลงเหลือผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่ มันไม่คุ้มค่าที่จะให้มารโลกาต้องใช้ความพยายามหรอก ไม่ต้องหวาดกลัวไปนะ น้องสาวว่านเอ๋อ”
ฉินรั่วกอดเธออย่างอ่อนโยน
ว่านเอ๋อไม่ได้จ้องมองไปบนท้องฟ้าอีกต่อไป แต่กลับซุกหน้าลงในอ้อมแขนของฉินรั่วแทน
อย่างไรก็ตาม ร่างของเธอก็ยังคงสั่นด้วยความกลัวอยู่ดี
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานและฉานนู่ที่มองมา ฉินรั่วก็ส่งสัญญาณตาให้พวกเขา
เธอส่งคำอธิบายผ่านจิตสัมผัสเทวะไปว่า “ทุกคนในโลกของว่านเอ๋อ ได้ถูกจับเป็นหนูทดลองของนิกายกวงหยางเพื่อใช้ทดสอบหาเบาะแสของมารโลกา”
“และมีว่านเอ๋อเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้”
“แล้วนางรอดชีวิตมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เพราะการทดสอบหาเบาะแสของมารโลกาได้เสร็จสิ้นลงพอดี ดังนั้นเธอจึงโชคดีที่รอดชีวิตมาได้”
“หมายความว่าได้ผลสรุปเกี่ยวกับการทดลองนี้มาแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่ นิกายกวงหยางได้ค้นพบว่าการทดลองใช้มนุษย์เป็นสิ่งล่อลวงนี้ ทำต่อไปมันก็ไร้ความหมาย ทุกกลยุทธ์ที่คิดค้นขึ้นมาใช้ต่อต้านมันล้วนล้มเหลว ดังนั้นจึงได้ล้มเลิกการทดลองที่ว่านั่นไป”
ทันใดนั้นเอง พื้นโลกก็บังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
ตามด้วยเสียงคำรามแห่งความพิโรธขจรขจายไปทั่วฟ้า
ในชั้นอากาศ กลิ่นอายของความตายค่อยๆแข็งกร้าว และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าวัยกลางคนบัดนี้นิ่งงัน เลิกที่จะขัดขืนแล้ว
ใบหน้าของเขาแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม และยกมือชูขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ข้าจางเต๋า ขอให้คำมั่นสาบานต่อสวรรค์และโลกในที่แห่งนี้ ว่าตลอดชีวิตนับจากนี้ไป จะตามจองล้างจองผลาญคนทรยศนิกาย หวังบิซีจะต้อง-”
คำสาบานของเขายังไม่ทันครบจบโดยสมบูรณ์
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ พริบตาเดียวเขาก็ถูกกระโดดโอบตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา และเริ่มถูกดูดเลือดเนื้อออกไปแล้ว
และสิ่งที่โอบกอดเขา มันมิใช่ร่างหนังมนุษย์ที่เหี่ยวแห้ง แต่กลับเป็น ‘ตัวดูด’ ที่มาจากร่างหลักของมารโลกาเลยโดยตรง พวกมันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่ไม่อาจตรวจจับได้ และโถมเข้าปกคลุมผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าเอาไว้โดยสมบูรณ์
ช่วงเวลานี้เอง แม้กระทั่งสีหน้าของกู่ฉิงซานก็ยังแปรเปลี่ยนกลับกลาย
นี่มันจะว่องไวเกินไปแล้ว!
ว่องไวชนิดที่แม้กระทั่งขีดสุดความว่างเปล่าก็ยังมิทันได้ตอบสนอง!
หากต้องพบเจอกับความว่องไวอันน่าสะพรึงเช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ย่อมมิอาจหลบเลี่ยงการไล่ล่าของมารโลกาไปได้อย่างแน่นอน
ร่างของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าส่ายไปมาอย่างไร้ทิศทาง
แต่กลับเห็นแค่เพียงตัวดูดที่กอดรัดเขาแน่นหนายิ่งขึ้น และเริ่มบิดตัวไปมาอย่างเมามัน
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าก็หายไป
เขาถูกกลืนกินโดยตัวดูดจนเกลี้ยง ซึ่งคราวนี้ไม่มีหลงเหลือเลยแม้กระทั่งหนังมนุษย์ที่ว่างเปล่า ..
เมื่อเผชิญกับฉากอันน่าผวาเช่นนี้ กู่ฉิงซานและฉานนู่ก็นิ่งงันไป จมลงสู่ความเงียบไปพักหนึ่ง
มีเพียงฉินรั่วที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“น้องสาวว่านเอ๋อ มันจบแล้วล่ะ”
เธอลูบหัวของว่านเอ๋อ และเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าลองมองดูสิ เห็นหรือไม่ว่ามารโลกามิได้เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ มาเถอะ เลิกหวาดกลัวได้แล้ว”