หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.448 – ความลับของนิกาย

 

“ระบบ?”

 

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงเรียกในจิตใจของเขา

 

เงียบ …

 

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ

 

เรื่องแบบนี้ .. มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

 

อย่างไรก็ตาม แม้เขาต้องการจะตรวจสอบเรื่องนี้มากเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไตร่ตรองเกี่ยวกับมันอยู่ดี

 

นั่นเพราะ .. นี่คงใกล้จะได้เวลาที่เย่หยิงเหมยจะกลับมาแล้ว

 

สามปรมาจารย์ตำหนักจะต้องเริ่มหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จะใช้จัดการกับหวังหงษ์เต๋าในไม่ช้า

 

ถ้าหากเขามาสายเกินไป คนที่เหลือก็อาจจะสงสัยได้

 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มาถึงเวทีหารืออย่างเป็นทางการในที่สุด

 

และก็เป็นเวลาที่เหมาะเจาะยิ่งนัก

 

เพราะเย่หยิงเหมยก็กำลังกลับมาพอดีเช่นกัน

 

“นี่คือสองสมบัติมนตราที่พวกเราได้ความพยายามฟูมฟักมันมาเป็นระยะเวลาหลายปี ข้าหวังว่าเจ้าจะมองหาโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในยามที่ใช้มันนะ” เย่หยิงเหมยเอ่ยปากออกมา

 

ขณะเดียวกัน เธอผายมือของตัวเองออกไป

 

ตามด้วยกลุ่มก้อนรังสีแสงสีน้ำเงินและแดงที่สาดแสงออกมา พวกมันทั้งสองลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเธออย่างเงียบๆ

 

ในส่วนของกลุ่มรังสีแสงสีแดง มันคือเข็มที่บางเบา – ราวกับเส้นผม

 

แม้เข็มแหลมจะลอยนิ่งอยู่เฉยๆในอากาศ ทว่ายามเมื่อสายลมพัดโชยผ่านมัน ก็จะถูกปลายอันแหลมคมเสียดสีจนบังเกิดเสียงหวีดหวิวกังวานไปทั่ว

 

ขณะที่อากาศบริเวณโดยรอบของเข็มแหลม ได้บังเกิดร่องรอยปริร้าวของชั้นมิติ ราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นกำลังฉีกกระชากมันอยู่ตลอดเวลา

 

เป็นไปได้มากทีเดียว ว่าเมื่อใดก็ตามที่สมบัติมนตราชิ้นนี้ถูกเปิดใช้งาน พลังอำนาจอันน่าสะพรึงย่อมไม่แคล้วที่จะปะทุออกมา

 

ในขณะที่รังสีแสงสีน้ำเงิน เป็นยันต์ที่วาววับและโปร่งใส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณภาพของมันยอดเยี่ยมมากเพียงใด

 

กล่าวได้เลยว่านี่คือหนึ่งในยันต์ที่มีคุณภาพดีเลิศที่สุด ที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยกวิญญาณ

 

ซึ่งมันแตกต่างไปจากกลุ่มก้อนรังสีแสงสีแดง ที่มิได้มีรูปร่างหรือเปล่งกลิ่นอายที่มีความพิเศษใดๆออกมา

 

กู่ฉิงซานจับจ้องลงไปยังยันต์หยกวิญญาณ และสัมผัสได้ว่าห้วงอารมณ์ภายในหัวใจตน อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา

 

“นี่คือยันต์ที่ข้าปรับแต่งขึ้น มันสามารถต้านทานการโจมตีของหวังหงษ์เต๋าได้ หรืออีกความหมายนึงก็คือ เจ้าจะต้องใช้โอกาสในช่วงเวลานั้นโจมตีเขา” เย่หยิงเหมยอธิบายออกมา

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าว่าเข้าใจ

 

เย่หยิงเหมยฉกาจที่สุดในด้านปรับแต่งยันต์ และก่อนหน้านี้ในยามเมื่อมอบของรับขวัญในการพานพบกันครั้งแรกแก่ ‘กู่ฉิงซาน’ นางก็ได้มอบยันต์ป้องกันให้แก่เขาไปใบหนึ่งเช่นกัน

 

เห็นได้ชัดว่านางมีความรอบรู้ในศาสตร์แขนงนี้

 

“เอาล่ะ เช่นนั้นที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าวออกมา

 

เย่หยิงเหมยลังเลเล็กน้อย

 

เธอมองไปยังสมบัติมนตราทั้งสองอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งผ่านพ้นไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่ยินดีที่จะตัดใจจากมัน

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมย” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แผนการในครานี้ เจ้าแค่ต้องจ่ายออกด้วยสิ่งที่อยู่ภายนอก ขณะที่ข้าต้องจ่ายออกด้วยสิ่งภายในอย่างการเดิมพันด้วยชีวิตของตนเองเชียวนา”

 

เซ่าหวูชุ่ย หันไปเอ่ยกับเย่หยิงเหมยผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ให้เขาไปเถอะ หากล้มเหลวเขาก็แค่ตกตาย และนั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา อีกอย่างหากปล่อยให้เขาลงมือ หวังหงษ์เต๋าก็จะไม่มีทางค้นพบได้ว่าพวกเราเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

 

เย่หยิงเหมยแม้จะได้ฟังแล้ว แต่ก็ยังลังเลอยู่ดี

 

นี่คือสมบัติมนตราที่เธอและเซ่าหวูชุ่ยต้องใช้ออกด้วยความพยายามมากมาย ทุ่มเทบากบั่นอยู่หลายปีดีดักจนรังสรรรมันออกมาได้สำเร็จในที่สุด

 

แต่ในเวลานี้ สมบัติมนตราที่ว่ากลับกำลังจะไปตกในมือของผู้อื่น

 

วิสัยทัศน์ของเธอจมอยู่กับสมบัติมนตราทั้งสอง และยังไม่เต็มใจที่จะมอบมันออกไป

 

ในช่วงเวลานั้นเอง จู่ๆสภาพอากาศก็เริ่มมืดครึ้มลงทันใด

 

บนท้องฟ้า พริบตาเดียวตลอดทั้งเกาะก็สูญสิ้นซึ่งความสว่างไสวไปโดยสมบูรณ์

 

ราวกับว่ามันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ทุกสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งเกาะพลันหยุดนิ่ง

 

นี่คือกฏที่แต่ละนิกายจะต้องปฏิบัติตาม

 

ที่ต้องบังคับกฏให้ทุกคนหยุดนิ่งในช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาถึง นั่นก็เป็นเพราะว่าต้องการที่จะป้องกันไม่ให้สายลับจากนิกายอื่น ฉวยจังหวะนี้ สบโอกาสลอบเข้าไปทำลายค่ายกลของนิกายได้ หากมีผู้ใดเคลื่อนกาย มันผู้นั้นก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที

 

ทว่าบนแท่นสูง สามปรมาจารย์ตำหนักกลับยังคงเคลื่อนไหวได้ตามสะดวก

 

อย่างแรกก็เพราะนี่อยู่ภายในนิกาย ซึ่งสภาพแวดล้อมมันจะแตกต่างไปจากเกาะส่วนตัวของฉีหยาน

 

เกาะส่วนตัวของฉีหยาน มีเพียงค่ายกลขนาดเล็กคอยรองรับเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้เอง ยามที่ ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือน ช่วงเวลานั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงอยู่นิ่งๆเฉยๆภายในค่ายกลขนาดเล็กเท่านั้น มิอาจฝืนทำอย่างอื่นได้

 

แต่สำหรับภายในนิกายกวงหยาง ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า มันได้ถูกครอบคลุมโดยค่ายกลทั้งหมด

 

ผู้ฝึกยุทธจึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวใดๆ

 

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดนี้ สีหน้าของสามปรมาจารย์ตำหนักก็ยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่ดี

 

เซ่าหวูชุ่ยจั่วยันต์ออกมา และจ้องมองมัน

 

บนยันต์ คำว่าลางร้ายกระพริบไหวไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

จนท้ายที่สุดแล้ว คำว่า ‘ลางร้าย’ ก็ได้ครอบคลุมทั่วทุกส่วนของยันต์

 

ช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือนแล้ว!

 

ตลอดทั้งผืนดิน บังเกิดเสียงคำรามอันหนักหน่วงกังวานขึ้น

 

เสียงคำรามนี้ขจรขจายไปตลอดทั้งโลกหล้า ราวกับเป็นการประกาศว่าทุกชีวิตจักต้องจบลงด้วยความตาย

 

มารโลกาได้ตื่นจากการหลับไหลแล้ว

 

ตลอดทั้งโลกพลันจมลงสู่ความเงียบ

 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนมิกล้าที่จะเปล่งเสียงใดๆออกมา

 

ภายในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก เย่หยิงเหมยกำลังตั้งใจฟังเสียงคำรามของมารโลกาอย่างเงียบๆ

 

“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไปเล็กน้อย” เย่หยิงเหมยเอ่ยพึมพำ “สังเกตหรือไม่ว่าครานี้มันตื่นเร็วขึ้นกว่าเดิม?”

 

เซ่าหวูชุ่ยหยิบยันต์ออกมากองหนึ่ง และเริ่มมองดูพวกมันทีละแผ่น ทีละแผ่นอย่างเป็นระมัดระวัง และในที่สุดก็เก็บยันต์ทั้งหมดกลับคืน

 

“เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ” เขาเอ่ยสนับสนุน “ในช่วงหลายสิบวันที่ผ่านมานี้ ช่วงเวลาที่มันตื่นจากการหลับไหลดูเหมือนว่าจะเร็วขึ้นยิ่งอย่างเดิมครึ่งชั่วยาม หากเทียบกับในครั้งอดีต”

 

ทั้งสองเงียบไป

 

มารโลกาตื่นจากการหลับไหลบ่อยขึ้น และเร็วขึ้น …

 

นี่มิใช่เป็นการบ่งบอกกลายๆว่า วันใดวันหนึ่ง มันจะตื่นขึ้นมาโดยไม่หลับไหลอีกเลยหรอกหรือ?

 

หากเป็นในกรณีเช่นนั้น แล้วผู้ฝึกยุทธจะเผชิญกับมารที่มิอาจต่อต้านตนนี้ได้อย่างไร?

 

ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกมิอาจทำงานได้ตลอดไป หากไม่มีการเติมเต็มศิลาวิญญาณ

 

และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะต้อง … ตาย!

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองทั้งสอง และในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ไม่ช้าก็เร็ว โลกใบนี้ก็จะดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุด ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าควรทุ่มสุดตัว และเลิกลังเลได้แล้ว”

 

เย่หยิงเหมยหันไปมองเขา ห้วงอารมณ์ภายในจิตใจค่อยๆคลายลงอย่างช้าๆ

 

นั่นสินะ ไม่ช้าก็เร็วโลกใบนี้ก็จะจบสิ้นลงโดยมารโลกา

 

เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้ ต่อสู้แบบทุ่มสุดตัวดูเล่า?

 

“ในเมื่อเจ้าได้เอ่ยคำมั่นสาบานต่อฟ้าดินไปแล้ว ข้าก็ยินดีที่จะมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่เจ้า ยังไงก็ตาม เจ้าจะต้องจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าหวังหงษ์เต๋าอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตมานานนับปี นั่นหมายความว่ากลยุทธ์ของเขาย่อมไร้ที่สุดสิ้น ชนิดที่เจ้ามิอาจจินตนาการได้” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสารภาพ “จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ข้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยได้อย่างเต็มปากว่ากระจ่างชัดถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา”

 

“ข้าเองก็มิแตกต่างจากสหายเซ่า” เย่หยิงเหมยกล่าว “แม้ว่าข้าจะใช้เวลาอยู่กับเขามานานปี แต่ข้าก็มิอาจล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาในเชิงลึกเช่นกัน”

 

“ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นโอกาส จงทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง อย่าได้ออมแรงไว้โดยเด็ดขาด” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสั่ง

 

กู่ฉิงซานมองไปยังทั้งสองอย่างระมัดระวัง และพบว่าท่าทีการแสดงออกของทั้งสองบัดนี้ช่างดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างแท้จริง

 

“พวกเจ้าวางใจได้ นี่มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตายของข้าเช่นกัน ข้าย่อมต้องทุ่มพยายามเต็มกำลัง ลงมือให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักที่เฝ้ามองเขาเอ่ยเช่นนั้น ก็บังเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา

 

เย่หยิงเหมยค่อยๆวาดมือของตนออกไปอย่างแผ่วเบา

 

หนึ่งแสงสีน้ำเงิน และหนึ่งแสงสีแดง ทั้งสองกลุ่มลอยล่องอย่างช้าๆมาตรงหน้าของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานรับเอาสมบัติมนตราทั้งสองมาอย่างระมัดระวัง

 

“สหายเซ่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

 

“เจ้าว่ามาสิ”

 

“ข้าได้ทำการสืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับหวังหงษ์เต๋ามาบ้างแล้ว และพบว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่เติบโตมาในนิกาย แถมยังได้เก็บสะสมกระบี่ และเทคนิคลับต่างๆที่ตนเคยได้เรียนรู้มา เอาไว้มากมายอีกด้วย”

 

“มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ว่าแต่สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อคืออะไร?”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ก็เจ้าน่ะเป็นปรมาจารย์ตำหนักเจียงซี ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งสมบัติทั้งหมดในนิกายนี่นา ดังนั้น ข้าจึงต้องการที่จะให้เจ้าช่วยให้ข้าได้เข้าไปยังตำหนักเจียงซี เพื่อดูสิ่งที่หวังหงษ์เต๋าได้เคยทำการศึกษามา”

 

พอได้ฟัง เซ่าหวูชุ่ยก็บังเกิดความลังเล

 

เทคนิคลับบางส่วนกล่าวได้ว่ามันทรงพลังยิ่ง และหวังหงษ์เต๋าก็ไม่เคยอนุญาตให้คนอื่นๆในนิกายได้แอบดูมันมาก่อนเลย

 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสมบัติลับในนิกาย ที่มีเพียงหวังหงษ์เต๋าและตัวเขาเองที่สามารถรับรู้ได้อยู่อีก

 

-เทคนิคลับมากมายที่หวังหงษ์เต๋าจงใจเลือกที่จะปกปิดเป็นการส่วนตัว

 

แล้วตอนนี้ เขาจะสามารถอนุญาตให้ฉีหยานได้เข้าไปดูมันจริงๆน่ะหรือ?

 

ต้องไม่ลืมนะว่าหวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ทั้งวิสัยทัศน์และพรสวรรค์ในความกระจ่างแจ้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปสามารถเทียบเปรียบได้

 

ดังนั้น เทคนิคลับที่เขาถึงขั้นลงทุน ศึกษา และพยายามเก็บมันเอาไว้ ย่อมต้องมีค่ามหาศาลอย่างแน่นอน!

 

เซ่าหวูชุ่ยลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเย่หยิงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆหัวเราะออกมา

 

“สหายเซ่า จนกระทั่งถึงเวลานี้ เจ้าก็ยังคิดจะทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านอยู่อีกหรือ?”

 

น้ำเสียงของเธอค่อนข้างกล่าวติดตลก

 

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ก็ทนไม่ไหวต้องพยักหน้าออกมา

 

นั่นสินะ วิชาที่หวังหงษ์เต๋าเก็บสะสมไว้น่ะยากที่จะเรียนรู้ และการที่จะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งย่อมเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่ง

 

วิชาเหล่านั้น ล้วนมิใช่สิ่งที่จะสามารถเรียนรู้ได้ในชั่วข้ามคืนได้!

 

ขณะที่ฉีหยานกำลังจะไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่ว่าในไม่ช้า

 

ดังนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ  ฉีหยานจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาต่างๆให้ได้มากที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีโอกาสรับมือกับกลยุทธ์ของหวังหงษ์เต๋าได้มากยิ่งขึ้น

 

แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่สำคัญก็คือ หวังหงษ์เต๋าได้ตระเตรียมวิชาต้องห้ามไว้มากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดอ่านวิชาของตนเองได้เนี่ยสิ

 

นอกเหนือไปจากหวังหงษ์เต๋า ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องใบหยก และหากแตะต้องมัน ใบหยกก็จะกลายเป็นผุยผงทันที

 

หากฉีหยานสัมผัสใบหยกในส่วนนั้น ใบหยกก็จะแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ดี

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่านอกเหนือไปจากหวังหงษ์เต๋าแล้ว ก็ไม่มีใครรู้วิธีที่จะควบคุมมารแมลงร้ายที่อยู่ในร่างกายของตนเองได้ แม้กระทั่งตัวฉีหยานเองก็ตาม

 

สรุปแล้ว เซ่าหวูชุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่ากู่ฉิงซานจะสามารถเข้าไปแอบดูเทคนิคลับที่ว่านั่นได้ และใช้มันบังคับควบคุมเขา

 

บางที การที่ถูกร้องขอออกมาเช่นนี้ มันอาจจะเป็นการดีสำหรับตัวเซ่าหวูชุ่ยเช่นกัน

 

“ก็ได้! เจ้าจงรับมันไป!”

 

ว่าแล้วเซ่าหวูชุ่ยก็โยนตราประทับออกไปทางกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานคว้ารับตราประทับ และถือมันไว้ในมือของเขา

 

“เจ้าทำถูกแล้วสหายเซ่า ยิ่งข้าได้รู้เกี่ยวกับวิชาของหวังหงษ์เต๋ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจักสามารถสังหารเขาได้มากขึ้นเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อ “เจ้าจะต้องอ่านวิชาเหล่านี้อย่างรอบคอบ แม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะฉกาจในด้านกระบี่ แต่เขาก็ยังรักที่จะศึกษาในวิชาการควบคุมคนตายเช่นกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ศึกษามันจนเชี่ยวชาญ และมีวิชาที่ทรงพลังในแขนงนั้นไว้ในครอบครองอยู่มากมาย”

 

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะศึกษาพวกมันอย่างละเอียดอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วเขาก็หันไปเอ่ยกับ ‘กู่ฉิงซาน’

 

“ศิษย์ข้า”

 

ฉานนู่ก้าวออกมาข้างหน้า และตอบรับ

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว “ไหนๆเจ้าก็บรรลุขอบเขตประทับเทพแล้ว เจ้าก็มาด้วยกันกับอาจารย์สิ บางทีอาจจะพบเจอกับเทคนิคดาบที่ต้องตาบ้างก็ได้นะ”

 

เทคนิคดาบ?

 

เซ่าหวูชุ่ยเงียบกันไปสักพักหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “หวังหงษ์เต๋ามิได้ครอบครองเทคนิคดาบ เขาเป็นผู้ใช้กระบี่ ..”

 

“มันไม่สำคัญหรอก เพียงแค่ดูมันก็ไม่นับว่าเสียหายนี่ อีกอย่าง จะได้เป็นการเปิดโลกกว้างในมุมมองของศิษย์ข้าอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉานนู่พูดต่อทันที “ศิษย์จะทำตามคำแนะนำของท่านอาจารย์”

 

แล้วกู่ฉิงซานก็นำ ‘กู่ฉิงซาน’ เดินออกไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย

 

เซ่าหวูชุ่ยต้องการจะเอ่ยอะไรออกไปมากกว่านี้ แต่กลับเห็นแค่เพียงทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ได้เดินจากแท่นเวทีไปไกลแล้ว

 

—ดูเหมือนว่าต่อให้ตนจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะฟังอยู่ดี

 

ริมฝีปากของเซ่าหวูชุ่ยสั่นระริก คำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมาจุกแน่นอยู่ในลำคอ จะเปล่งออกมาก็ไม่ได้ จะกลืนลงไปทันที ใจมันก็ไม่รู้สึกไม่ยินยอม …